สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ตอนนี้เราเพิ่งฝึกงานเสร็จและกำลังจะขึ้นปี 4 เรื่องของเรื่องคือเราอยากจะมาแชร์ประสบการณ์ฝึกงานภาคฤดูร้อนของเราตลอดระยะเวลา 2 เดือนให้ฟังค่ะ
เริ่มแรกเลยตอนนั้นทางมหาลัยให้เราไปหาที่ฝึกงานพอพ่อเรารู้พ่อเราเลยพาเราไปฝากไว้ให้กับบริษัทๆหนึ่ง เราก็ดีใจเพราะมันเป็นที่ๆใกล้บ้านและมันก็เป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงด้วย ทีนี้เราก็ส่งเอกสารยื่นเรื่องขอฝึกงานไปตามปกติ .. จากนั้นเริ่มแรกก็มีปัญหาแล้วค่ะ นั้นก็คือเขาไม่โทรติดต่อกลับมาหาเราเรื่องเอกสารในขณะที่เพื่อนๆเขาพี่ๆติดต่อให้ไปเอาเอกสารกันภายใน 2 สัปดาห์แรกแล้ว เราก็พยายามรออย่างใจเย็นจนกระทั้งก่อนถึงวันสุดท้ายที่เราแจ้งพี่เขาไปว่าขอเอกสารก็ยังไม่ได้รับการติดต่อกลับมา เราเลยตัดสินใจจะโทรไปถามพี่ที่บริษัทว่าเขากรอกเสร็จหรือยังปรากฎพอเราโทรไปปุ๊บเขาก็รับสายและพูดตัดบทว่า
" เดี๋ยวพี่โทรกลับตอนค่ำนะตอนนี้พี่ติดประชุมอยู่ "
เราก็รอไปแต่คืนนั้นเขาก็ไม่ได้โทรมา พอมาวันสุดท้ายที่เราบอกพี่เขาเราก็ลองโทรไปหาเขาอีกเขาก็ตัดสายเราทิ้ง วันต่อมาเราเลยขับรถไปหาเขาถึงบริษัทเพื่อที่จะทวงเอกสาร สรุปว่า .. เขายังไม่ได้กรอกเอกสารให้เราสักใบค่ะ ! เราก็หงุดหงิดได้แต่นั่งรอให้เขากรอกเสร็จ พอเขากรอกเสร็จปุ๊บเราก็ลองเช็คเอกสารดู ปรากฎว่าเขากรอกเอกสารให้เราไม่ครบค่ะ คงจะเพราะรีบด้วยเลยพลาดไป ทีนี้เราก็รอเขากรอกครบแล้วเราก็ถามเขาว่าซองจดหมายของมออยู่ที่ไหน เพราะเดิมทีตอนส่งเอกสารมาทางมอเขาจะเอาเอกสารทั้งหมดใส่ซองมอมาให้ค่ะ เขาก็เลยเดินไปหาซองให้เราสักพักแล้วเขาก็มาบอกเราว่าซองเอกสารหายไปแล้ว เอาซองบริษัทแทนได้ไหม .. เราก็เริ่มหงุดหงิดแล้วแต่ก็เออ ออไปไม่ได้โวยวายอะไร ..
จากนั้น 1 เดือนต่อมาถึงกำหนดที่เราจะเข้ามาฝึกปฏิบัติงานที่นี้จริงๆแล้วค่ะซึ่งในส่วนงานที่เราได้รับมอบหมายอยู่ในแผนก HR ด้านการจัดฝึกอบรม ช่วงสัปดาห์แรกที่เข้ามาทำงานก็ได้ทำงานนิดหน่อยเหมือนเด็กฝึกงานทั่วไปๆ ทำไปได้ประมาณ 3 วันทางพี่เลี้ยงคนเดิมก็ได้ขอเปลี่ยนพี่เลี้ยงให้กับเราเป็นพี่อีกคนหนึ่งเพราะเขาไม่สะดวกดูแลเรา ต่อมาเราก็เริ่มสังเกตได้แล้วค่ะว่าที่นี้การทำงานค่อนข้างไม่เป็นระบบและวุ่นวาย อย่างเช่น เวลาเราไปช่วยเขาจัดห้องฝึกอบรมที่มีการนัดวันเวลาขอจองห้องไว้ล่วงหน้าแล้ว บางครั้งก็จะมีพนักงานวิ่งหน้าตั้งเข้ามาบอกว่ามีแขกจะใช้ห้องนั้นเดี๋ยวนี้ .. ไม่ก็มีประชุมด่วน .. ทำให้เรากับป้าๆที่ช่วยจัดห้องอยู่ ต้องย้ายห้องแบบกะทันหันกัน
พอเข้าสัปดาห์ที่ 2 ช่วงนั้นก็มีหน่วยงานเข้ามาออดิทบริษัทพอดี (ออดิทคือการที่จะมีคนมาตรวจสอบบริษัทนะคะ เช่น ตรวจสอบบัญชี , ตรวจสอบเอกสาร , ตรวจสอบกระบวนการทำงาน อะไรแบบนี้เป็นต้นค่ะ) พี่ๆในแผนกเขาก็บอกกับเราว่าตอนนี้ทางบริษัทต้องการกำลังคนไปช่วยงานออดิทด่วน ด้วยความที่เราเป็นเด็กฝึกงานเราก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่แล้วถูกไหมคะ เราก็ต้องไป ซึ่งตอนนั้นทางหน่วยงานที่จะมาออดิทเขาต้องการเอกสารของกระบวนการทำงานเครื่องจักรต่างๆในบริษัท แล้วเหมือนกับว่าตอนนั้นบริษัทเขาใช้เครื่องจักรและกระบวนการอีกแบบหนึ่งซึ่งไม่ตรงกับที่ทางหน่วยงานออดิทเขาต้องการ .. ดังนั้นหน้าที่ๆเราต้องทำคือการเมคเอกสารให้ตรงตามที่เขาต้องการค่ะ ! แล้วเอกสารที่เขาให้ทำมันก็เป็นเอกสารที่ให้ติ๊กตามช่องเครื่องจักรต่างๆและมีความถี่ค่อนข้างเยอะประมาณ 30 กว่าช่องติดๆกัน แถมยังต้องเซ็นต์ชื่อกำกับเป็นชื่อช่างที่ทำเครื่องจักรด้วย ซึ่งถ้ามันเกิดผิดพลาดขึ้นมาบริษัทก็จะได้รับความเสียหายหลานล้านบาท แต่เราก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำไป ช่วงแรกๆทำผิดอยู่หลายแผ่นจนต้องทิ้งแล้วเขียนใหม่อยู่เป็น 10ๆ แผ่น แต่พอทำได้สัก 2 วันก็พอถูๆไถ ทำแบบนี้ไปประมาณอาทิตย์หนึ่งถึงเสร็จค่ะ
คราวนี้กลับมาเข้าสู่การฝึกปฏิบัติงานตามปกติโดยมีพี่เลี้ยงคนใหม่สอนงานค่ะ จากที่เรารู้สึกได้เขาเป็นคนสอนงานดีนะคะแต่บางครั้งจะสอนไวมากจนบางทีเราจดไม่ทันและไวจนถึงขนาดที่ว่าบางทีเขาคิดว่าเขาสอนแล้วแต่จริงๆเขายังไม่ได้สอนที่สำคัญเป็นคนอารมณ์เสียง่ายมากค่ะ ทีนี้มีอยู่วันหนึงเขาให้เราทำงานแต่เราทำไม่ได้เพราะงานอันนี้เขาไม่เคยสอนจริงๆ ซึ่งเป็นแบบนี้อยู่ค่อนข้างบ่อยจนกระทั้งฝึกงานจบ แล้วแต่ละคำพูดที่เขาพูดกับเราเวลาที่เราทำไม่ได้ก็อย่างเช่น
“ นี้ต้องให้ด่าใช่ไหมถึงจะทำได้ “
หรือบางทีเวลาเราทำงานส่วนหนึ่งเสร็จแล้วเราก็ถามเขาดูว่าเขาจะให้ทำอะไรอีกไหมเพราะไม่ได้มีการตกลงกันแต่แรกว่าจะให้เราทำถึงส่วนไหนๆ เช่น สมมติว่าเขาให้เราทำเอกสารพอเราทำเสร็จหลังอบรมเราก็ถามเขาว่า
“ มีอะไรให้ช่วยอีกไหมคะ ? ”
เขาก็ตอบกลับเรามาว่า
“ อย่าให้พี่ต้องบอกทุกเรื่อง ”
คือที่เราถามไม่ใช่ว่าเราไม่รู้นะคะว่าหน้าที่ต่อไปเราต้องทำอะไร แต่ที่เราถามเพราะจะได้ไม่ทำงานซ้ำกันกับพี่เขา เพราะว่าเวลาที่เราทำเอกสารหลังอบรมเสร็จแล้ว เราก็จะเอาข้อมูลในเอกสารไปกรอกในโปรแกรมใช่ไหมคะ แล้วบางครั้งพี่เขาก็จะกรอกเองแล้วให้เราไปทำอย่างอื่นต่อ แต่บางครั้งพี่เขาก็จะให้เรากรอก ซึ่งแต่ละครั้งที่ทำเนี้ยบางทีเขาก็ไม่ได้บอกเราว่าตกลงจะให้เราทำถึงแค่ไหนๆแบบนี้อะค่ะ (อย่างที่บอกไปข้างต้นว่าเขาเป็นคนไวมากไวถึงขนาดที่ว่าเขาคิดว่าเขาบอกแล้วแต่จริงๆเขายังไม่ได้บอก) ... แล้วงานจัดฝึกอบรมอะค่ะมันจะมีประมาณ 10 ขั้นตอนใช่ไหมคะแรกๆเราก็ได้ทำแค่จัดห้องกับทำเอกสารสำหรับฝึกอบรมพอเป็นพิธี แต่เริ่มพอเข้าช่วงสัปดาห์ที่ 3 เป็นต้นไปเขาเริ่มให้เราทำหน้าที่อื่นด้วย เช่น พิมพ์แล้วเย็บคู่มือเอกสาร , ช่วยจัดถาดขนมและอาหารสำหรับผู้เข้าอบรม , นั่งฟังวิทยากรบรรยายแล้วเขียนประเมินวิทยากรแทนเจ้าหน้าที่อบรมประจำ , จัดเก็บโต๊ะและเก้าอี้ เปิด - ปิดไฟห้อง , ตรวจคะแนนข้อสอบและแบบประเมิน , บันทึกข้อมูลหลังฝึกอบรมลงในโปรแกรม , ตรวจสอบเอกสาร , จัดเก็บเอกสาร … ว่าง่ายๆก็คือให้ทำทั้งกระบวนการฝึกอบรมเลยอะค่ะ ไม่ได้ทำแค่นิดๆหน่อยๆเป็นจ๊อบเล็กๆเหมือนของเพื่อนที่ไปฝึกที่อื่น แล้วก็มีหน้าที่อื่นอีกสารพัดอย่างแล้วแต่เข้าจะใช้ เช่น พาแขกและผู้สมัครงานไปยังห้องต่างๆภายในบริษัท , แก้ไขไฟล์งานต่างๆ , ตัดบัตรพนักงาน , ถ่ายวีดีโอ , คำนวนวัน เวลา ขาดงานของพนักงาน .. เราก็อดทนทำไปถือว่าเป็นประสบการณ์ แต่ถ้าวันไหนโดนด่ามากๆแล้วเครียดจนทนไม่ไหวก็จะแอบออกไปอ้วก ( ตลอดระยะเวลาที่เราไปฝึกงานเราอ้วกไปประมาณ 4 - 5 แล้วก็น้ำหนักลดไป 6.5 โลเลยค่ะ )
ทีนี้มีอยู่วันหนึ่งค่ะพี่เลี้ยงเราเขาให้เราไปถ่ายวีดีโอกิจกรรมๆหนึ่งในบริษัท ซึ่งกล้องตัวนั้นไม่เคยมีใครสอนเราถ่ายมาก่อน + มันเป็นกล้องภาษาญี่ปุ่นและอีก 2 นาทีงานจะเริ่ม เราเลยถามพี่ๆเขาว่า
“ ใครเป็นคนสอนหนูถ่ายวีดีโออะค่ะ ”
พี่เขาก็เลยชี้มาที่พี่คนหนึ่งในแผนกแล้วก็บอกว่าพี่คนนี้เป็นสอน ประเด็นคือพี่คนนั้นเขาเป็นใบ้ค่ะ ! เราก็คิดในใจว่าซวยละแต่ก็ลองดูเผื่อจะรู้เรื่อง ปรากฎว่าตอนเขาสอนเขาก็สอนเราเป็นภาษามือซึ่งเราไม่เข้าใจค่ะ TT เราเลยเอากระดาษกับปากกาให้พี่เขาเขียนอธิบาย ( ซึ่งตรงนี้เราขอบอกนิดนึงนะคะ ว่าคนที่เขาใช้ภาษามือเนี้ย เวลาเขาเขียนอธิบายอะไรก็แล้วแต่ เขาจะเขียนกลับหน้ากลับหลัง เช่น คำว่า “ ไปกินข้าวกัน ” เขาก็จะเขียนว่า “ ข้าวไปกินกัน ” แล้วนึกภาพออกไหมคะว่าตอนเขาเขียนอธิบายการทำงานของกล้องมันก็จะไม่ได้มีแค่ 2 - 3 คำ เขาต้องเขียนเป็นประโยคยาวๆ แต่ประโยคที่เขาเขียนมันก็จะกลับหน้ากลับหลังหมดสรุปคือเราอ่านแล้วไม่เข้าใจค่ะ ) มันเขียนกลับหน้ากลับหลังหมดเลย จนอีก 1 นาทีงานจะเริ่มแล้วเราเลยหากระดาษ + ปากกาจากแถวๆนั้นมาแล้วเขียนให้พี่เขาดูว่าเราไม่เข้าใจจริงๆ เขาถึงจะให้เราไปถ่ายรูปปกติแทน .. ต่อมามีอีกครั้งหนึ่งคราวนี้พี่เขาเรียกให้เราไปที่ห้องๆหนึ่งในบริษัทตอนนั้นกำลัวจะประชุมกันถึงหัวข้อการทำงานเกี่ยวกับอุปกรณ์ต่างๆในบริษัท ...แล้วพี่เลี้ยงเราเขาก็ไลน์มาหาเราว่า
“ ให้ถ่ายวีดีโอนะ จัดการให้ได้ด้วย ”
.. รอบนี้เป็นกล้องตัวใหม่วิธีการใช้ใหม่แต่เป็นภาษาญี่ปุ่นเหมือนเดิมค่ะ ! เราก็คิดในใจว่างานเข้าล่ะ พี่เขาก็ไม่เคยสอนเรามาก่อน เราเลยเดินไปหาพี่ที่เขาประชุมกันอยู่คนหนึ่งว่า
“ พี่คะ รบกวนพี่สอนหนูถ่ายวีดีโอหน่อยได้ไหม พอดีหนูไม่เคยใช้กล้องตัวนี้เลยอะค่ะ “
พี่เขาก็ช่วยเดินมาสอนเราค่ะ ทีนี้พอตอนกำลังจะกดอัดวีดีโอปรากฎว่าเมมโมรี่การ์ดมันเต็มถ่ายไม่ได้ เราก็เลยไลน์ไปหาพี่เลี้ยงเราว่า
“ พี่ค่ะ เมมโมรี่เต็มแล้วมันถ่ายไม่ได้ค่ะ ”
พี่เลี้ยงเราก็ตอบกลับมาว่า
“ บอกแล้วใช่ไหมไปแล้วจัดการให้มันได้ด้วย “
เราก็ตอบไปสั้นๆแค่ค่ะ เพราะไม่อยากจะพูดอะไรมากแล้ว
หรือเวลาที่พี่เขาจะสั่งงานอะไรผ่านไลน์มาแค่เราตอบช้าไปสักประมาณ 1 - 2 นาที เขาก็จะรัวสติ๊กเกอร์จิกมาหาเรามาประมาณ 40 - 50 อันเพื่อจะให้เราตอบสักที คือเราก็เช็คไลน์อยู่เป็นระยะๆแล้ว แต่บางครั้งเราก็หันไปทำงานเอกสารอยู่ไม่ก็ลุกไปเข้าห้องน้ำมา แล้วพอเราตอบเขาช้าเขาก็จะบอกกับเราประมาณว่า
“ จะตอบไหมหรือต้องให้โหด .. วันหลังเปิดเสียงไลน์ไว้นะจะได้ๆยิน “
คือถ้าเปิดเสียงไลน์เนี้ยมันก็รบกวนคนอื่นถูกไหมคะ อีกอย่างตัวเราเองเราก็พยายามดูไลน์ตลอดอยู่แล้วถึงจะทำงานอื่นอยู่ก็ตามตอบช้าสุดก็แค่ 2 - 3 นาทีไม่เกินนี้
แล้วพื่อนๆนึกออกไหมคะว่าตามโต๊ะออฟฟิตปกติแล้วมันจะมีโทรศัพท์ประจำโต๊ะแต่ละคนอยู่ พี่เลี้ยงเราก็บอกเราว่าให้เรารับโทรศัพท์ทุกเครื่องบนโต๊ะเวลาที่พี่ๆเขาไม่อยู่ โอเคเราก็รับ แต่บางครั้งเวลาที่พี่ๆเขาอยู่แล้วโทรศัพท์ดัง ด้วยความที่เราเกรงใจ + เราเห็นเขาอยู่ เราก็ไม่อยากรับแทน ซึ่งพอเราไม่รับเขาก็ตะคอกใส่เราว่า
“ ต้องให้พี่บอกกี่ทีว่าให้รับโทรศัพท์ด้วย ”
คือถ้าให้รับตอนที่พี่ๆเขาไม่อยู่นี้ยังพอเข้าใจนะคะ แต่นี้ให้รับตอนเขาอยู่ในออฟฟิตอยู่แล้วเราก็เกรงใจ + บางครั้งเราไม่สามารถมานั่งจ้องดูตลอดเวลาได้ว่าใครว่างเดินมารับหรือใครไม่ว่างเดินมารับเพราะเราก็มีงานของเราอยู่เยอะพอสมควร เท่านั้นไม่พอค่ะ ต่อมาเวลามือถือส่วนตัวใครดังขึ้นมาแล้วพี่เจ้าของมือถือไม่อยู่ เขาก็จะพูดกับเราแบบจิกๆประมาณว่าให้เราอะวิ่งไปรับมือถือส่วนตัวแทนพวกพี่ๆเขาด้วย ช่วงนั้นเวลาได้ยินเสียงโทรศัทพ์ในออฟฟิตทีนี้เราหลอนมาก ว่าง่ายๆก็เหมือนเป็นมือเป็นเท้าเขาดีๆนี้เองค่ะ
มาถึงช่วงสัปดาห์สุดท้ายก่อนที่เราจะฝึกงานเสร็จพี่เขาใช้ให้เราไปหยิบซองเบอร์โทรศัพท์ของเขาพอดี ประเด็นคือตอนนั้นเราดันไปเจอใบประเมินนักศึกษาฝึกงานของที่เขาต้องส่งให้กับทางบริษัทเองโดยเฉพาะ ในใบนั้นเกณฑ์การประเมินมันจะมีตั้งแต่ 1 - 5 คะแนนในแต่ละช่องนะคะ แต่ละข้อก็จะมีในด้านของความสามารถในการทำงาน จิตพิสัยอะไรประมาณนี้ในด้านของจิตพิสัยเราได้เต็ม 5 หมดค่ะ แต่ในด้านของการทำงานเราได้ 1 - 2 ไม่เกินนี้ซึ่งรวมๆทั้งหมด 200 คะแนนเราได้ประมาณ 150 กว่าๆ ถือว่าต่ำมากๆ ตอนนั้นเราเองก็กลุ่มใจแต่ไม่ได้บอกใครนอกจากพ่อแม่แล้วก็เพื่อนสนิทจนกระทั้งฝึกงานเสร็จ .. .
เราขออธิบายนิดนึงนะคะว่าวิธ๊การให้คะแนนวิชาฝึกปฏิบัติงานของเราเนี้ย 50 % จะมาจากอาจารย์ส่วนอีก 50 % จะมาจากบริษัท โดยคะแนนจากอาจารย์เนี้ยส่วนใหญ่เขาช่วยอยู่แล้ว แต่ละคนจะได้ไม่ต่ำกว่า 45 - 50 % เพราะมันเป็นคะแนนจากตัวรายงานและการพรีเซนต์ค่ะ ซึ่งตัวรายงานของเราก็มีแต่อาจารย์ชมว่าถูกต้องเป็นระเบียบ ฟอร์แมทการจัดวางและเนื้อหาถูกต้อง ใครที่ทำไม่ถูกอาจารย์ก็จะให้คนอื่นมาดูของเราเป็นตัวอย่างเลยค่ะ แล้วในตัวรายงานเราก็ใส่รูปการปฏิบัติงานของเราไปเยอะพอสมควร ( กว่าจะได้มาแต่ละรูปนี้ลำบากมากค่ะ ต้องตั้งกล้องถ่ายเองบ้าง ไม่ก็ต้องเดินไปรบกวนขอให้พี่ๆที่กำลังอบรมอยู่เดินออกมาระหว่างที่เขาอบรมอยู่ให้มาถ่ายรูปให้บ้าง ในขณะที่เพื่อนๆคนอื่นพี่เลี้ยงเขาอาสาถ่ายรูปให้ตลอด แต่ของเราไม่เคยมีโมเม้นแบบนั้นเลยค่ะ TT )
... มีต่อนะคะ ...
มาแชร์ประสบการณ์ฝึกงานแสนทรหดตลอดระยะเวลา 2 เดือนค่ะ
เริ่มแรกเลยตอนนั้นทางมหาลัยให้เราไปหาที่ฝึกงานพอพ่อเรารู้พ่อเราเลยพาเราไปฝากไว้ให้กับบริษัทๆหนึ่ง เราก็ดีใจเพราะมันเป็นที่ๆใกล้บ้านและมันก็เป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงด้วย ทีนี้เราก็ส่งเอกสารยื่นเรื่องขอฝึกงานไปตามปกติ .. จากนั้นเริ่มแรกก็มีปัญหาแล้วค่ะ นั้นก็คือเขาไม่โทรติดต่อกลับมาหาเราเรื่องเอกสารในขณะที่เพื่อนๆเขาพี่ๆติดต่อให้ไปเอาเอกสารกันภายใน 2 สัปดาห์แรกแล้ว เราก็พยายามรออย่างใจเย็นจนกระทั้งก่อนถึงวันสุดท้ายที่เราแจ้งพี่เขาไปว่าขอเอกสารก็ยังไม่ได้รับการติดต่อกลับมา เราเลยตัดสินใจจะโทรไปถามพี่ที่บริษัทว่าเขากรอกเสร็จหรือยังปรากฎพอเราโทรไปปุ๊บเขาก็รับสายและพูดตัดบทว่า
" เดี๋ยวพี่โทรกลับตอนค่ำนะตอนนี้พี่ติดประชุมอยู่ "
เราก็รอไปแต่คืนนั้นเขาก็ไม่ได้โทรมา พอมาวันสุดท้ายที่เราบอกพี่เขาเราก็ลองโทรไปหาเขาอีกเขาก็ตัดสายเราทิ้ง วันต่อมาเราเลยขับรถไปหาเขาถึงบริษัทเพื่อที่จะทวงเอกสาร สรุปว่า .. เขายังไม่ได้กรอกเอกสารให้เราสักใบค่ะ ! เราก็หงุดหงิดได้แต่นั่งรอให้เขากรอกเสร็จ พอเขากรอกเสร็จปุ๊บเราก็ลองเช็คเอกสารดู ปรากฎว่าเขากรอกเอกสารให้เราไม่ครบค่ะ คงจะเพราะรีบด้วยเลยพลาดไป ทีนี้เราก็รอเขากรอกครบแล้วเราก็ถามเขาว่าซองจดหมายของมออยู่ที่ไหน เพราะเดิมทีตอนส่งเอกสารมาทางมอเขาจะเอาเอกสารทั้งหมดใส่ซองมอมาให้ค่ะ เขาก็เลยเดินไปหาซองให้เราสักพักแล้วเขาก็มาบอกเราว่าซองเอกสารหายไปแล้ว เอาซองบริษัทแทนได้ไหม .. เราก็เริ่มหงุดหงิดแล้วแต่ก็เออ ออไปไม่ได้โวยวายอะไร ..
จากนั้น 1 เดือนต่อมาถึงกำหนดที่เราจะเข้ามาฝึกปฏิบัติงานที่นี้จริงๆแล้วค่ะซึ่งในส่วนงานที่เราได้รับมอบหมายอยู่ในแผนก HR ด้านการจัดฝึกอบรม ช่วงสัปดาห์แรกที่เข้ามาทำงานก็ได้ทำงานนิดหน่อยเหมือนเด็กฝึกงานทั่วไปๆ ทำไปได้ประมาณ 3 วันทางพี่เลี้ยงคนเดิมก็ได้ขอเปลี่ยนพี่เลี้ยงให้กับเราเป็นพี่อีกคนหนึ่งเพราะเขาไม่สะดวกดูแลเรา ต่อมาเราก็เริ่มสังเกตได้แล้วค่ะว่าที่นี้การทำงานค่อนข้างไม่เป็นระบบและวุ่นวาย อย่างเช่น เวลาเราไปช่วยเขาจัดห้องฝึกอบรมที่มีการนัดวันเวลาขอจองห้องไว้ล่วงหน้าแล้ว บางครั้งก็จะมีพนักงานวิ่งหน้าตั้งเข้ามาบอกว่ามีแขกจะใช้ห้องนั้นเดี๋ยวนี้ .. ไม่ก็มีประชุมด่วน .. ทำให้เรากับป้าๆที่ช่วยจัดห้องอยู่ ต้องย้ายห้องแบบกะทันหันกัน
พอเข้าสัปดาห์ที่ 2 ช่วงนั้นก็มีหน่วยงานเข้ามาออดิทบริษัทพอดี (ออดิทคือการที่จะมีคนมาตรวจสอบบริษัทนะคะ เช่น ตรวจสอบบัญชี , ตรวจสอบเอกสาร , ตรวจสอบกระบวนการทำงาน อะไรแบบนี้เป็นต้นค่ะ) พี่ๆในแผนกเขาก็บอกกับเราว่าตอนนี้ทางบริษัทต้องการกำลังคนไปช่วยงานออดิทด่วน ด้วยความที่เราเป็นเด็กฝึกงานเราก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่แล้วถูกไหมคะ เราก็ต้องไป ซึ่งตอนนั้นทางหน่วยงานที่จะมาออดิทเขาต้องการเอกสารของกระบวนการทำงานเครื่องจักรต่างๆในบริษัท แล้วเหมือนกับว่าตอนนั้นบริษัทเขาใช้เครื่องจักรและกระบวนการอีกแบบหนึ่งซึ่งไม่ตรงกับที่ทางหน่วยงานออดิทเขาต้องการ .. ดังนั้นหน้าที่ๆเราต้องทำคือการเมคเอกสารให้ตรงตามที่เขาต้องการค่ะ ! แล้วเอกสารที่เขาให้ทำมันก็เป็นเอกสารที่ให้ติ๊กตามช่องเครื่องจักรต่างๆและมีความถี่ค่อนข้างเยอะประมาณ 30 กว่าช่องติดๆกัน แถมยังต้องเซ็นต์ชื่อกำกับเป็นชื่อช่างที่ทำเครื่องจักรด้วย ซึ่งถ้ามันเกิดผิดพลาดขึ้นมาบริษัทก็จะได้รับความเสียหายหลานล้านบาท แต่เราก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำไป ช่วงแรกๆทำผิดอยู่หลายแผ่นจนต้องทิ้งแล้วเขียนใหม่อยู่เป็น 10ๆ แผ่น แต่พอทำได้สัก 2 วันก็พอถูๆไถ ทำแบบนี้ไปประมาณอาทิตย์หนึ่งถึงเสร็จค่ะ
คราวนี้กลับมาเข้าสู่การฝึกปฏิบัติงานตามปกติโดยมีพี่เลี้ยงคนใหม่สอนงานค่ะ จากที่เรารู้สึกได้เขาเป็นคนสอนงานดีนะคะแต่บางครั้งจะสอนไวมากจนบางทีเราจดไม่ทันและไวจนถึงขนาดที่ว่าบางทีเขาคิดว่าเขาสอนแล้วแต่จริงๆเขายังไม่ได้สอนที่สำคัญเป็นคนอารมณ์เสียง่ายมากค่ะ ทีนี้มีอยู่วันหนึงเขาให้เราทำงานแต่เราทำไม่ได้เพราะงานอันนี้เขาไม่เคยสอนจริงๆ ซึ่งเป็นแบบนี้อยู่ค่อนข้างบ่อยจนกระทั้งฝึกงานจบ แล้วแต่ละคำพูดที่เขาพูดกับเราเวลาที่เราทำไม่ได้ก็อย่างเช่น
“ นี้ต้องให้ด่าใช่ไหมถึงจะทำได้ “
หรือบางทีเวลาเราทำงานส่วนหนึ่งเสร็จแล้วเราก็ถามเขาดูว่าเขาจะให้ทำอะไรอีกไหมเพราะไม่ได้มีการตกลงกันแต่แรกว่าจะให้เราทำถึงส่วนไหนๆ เช่น สมมติว่าเขาให้เราทำเอกสารพอเราทำเสร็จหลังอบรมเราก็ถามเขาว่า
“ มีอะไรให้ช่วยอีกไหมคะ ? ”
เขาก็ตอบกลับเรามาว่า
“ อย่าให้พี่ต้องบอกทุกเรื่อง ”
คือที่เราถามไม่ใช่ว่าเราไม่รู้นะคะว่าหน้าที่ต่อไปเราต้องทำอะไร แต่ที่เราถามเพราะจะได้ไม่ทำงานซ้ำกันกับพี่เขา เพราะว่าเวลาที่เราทำเอกสารหลังอบรมเสร็จแล้ว เราก็จะเอาข้อมูลในเอกสารไปกรอกในโปรแกรมใช่ไหมคะ แล้วบางครั้งพี่เขาก็จะกรอกเองแล้วให้เราไปทำอย่างอื่นต่อ แต่บางครั้งพี่เขาก็จะให้เรากรอก ซึ่งแต่ละครั้งที่ทำเนี้ยบางทีเขาก็ไม่ได้บอกเราว่าตกลงจะให้เราทำถึงแค่ไหนๆแบบนี้อะค่ะ (อย่างที่บอกไปข้างต้นว่าเขาเป็นคนไวมากไวถึงขนาดที่ว่าเขาคิดว่าเขาบอกแล้วแต่จริงๆเขายังไม่ได้บอก) ... แล้วงานจัดฝึกอบรมอะค่ะมันจะมีประมาณ 10 ขั้นตอนใช่ไหมคะแรกๆเราก็ได้ทำแค่จัดห้องกับทำเอกสารสำหรับฝึกอบรมพอเป็นพิธี แต่เริ่มพอเข้าช่วงสัปดาห์ที่ 3 เป็นต้นไปเขาเริ่มให้เราทำหน้าที่อื่นด้วย เช่น พิมพ์แล้วเย็บคู่มือเอกสาร , ช่วยจัดถาดขนมและอาหารสำหรับผู้เข้าอบรม , นั่งฟังวิทยากรบรรยายแล้วเขียนประเมินวิทยากรแทนเจ้าหน้าที่อบรมประจำ , จัดเก็บโต๊ะและเก้าอี้ เปิด - ปิดไฟห้อง , ตรวจคะแนนข้อสอบและแบบประเมิน , บันทึกข้อมูลหลังฝึกอบรมลงในโปรแกรม , ตรวจสอบเอกสาร , จัดเก็บเอกสาร … ว่าง่ายๆก็คือให้ทำทั้งกระบวนการฝึกอบรมเลยอะค่ะ ไม่ได้ทำแค่นิดๆหน่อยๆเป็นจ๊อบเล็กๆเหมือนของเพื่อนที่ไปฝึกที่อื่น แล้วก็มีหน้าที่อื่นอีกสารพัดอย่างแล้วแต่เข้าจะใช้ เช่น พาแขกและผู้สมัครงานไปยังห้องต่างๆภายในบริษัท , แก้ไขไฟล์งานต่างๆ , ตัดบัตรพนักงาน , ถ่ายวีดีโอ , คำนวนวัน เวลา ขาดงานของพนักงาน .. เราก็อดทนทำไปถือว่าเป็นประสบการณ์ แต่ถ้าวันไหนโดนด่ามากๆแล้วเครียดจนทนไม่ไหวก็จะแอบออกไปอ้วก ( ตลอดระยะเวลาที่เราไปฝึกงานเราอ้วกไปประมาณ 4 - 5 แล้วก็น้ำหนักลดไป 6.5 โลเลยค่ะ )
ทีนี้มีอยู่วันหนึ่งค่ะพี่เลี้ยงเราเขาให้เราไปถ่ายวีดีโอกิจกรรมๆหนึ่งในบริษัท ซึ่งกล้องตัวนั้นไม่เคยมีใครสอนเราถ่ายมาก่อน + มันเป็นกล้องภาษาญี่ปุ่นและอีก 2 นาทีงานจะเริ่ม เราเลยถามพี่ๆเขาว่า
“ ใครเป็นคนสอนหนูถ่ายวีดีโออะค่ะ ”
พี่เขาก็เลยชี้มาที่พี่คนหนึ่งในแผนกแล้วก็บอกว่าพี่คนนี้เป็นสอน ประเด็นคือพี่คนนั้นเขาเป็นใบ้ค่ะ ! เราก็คิดในใจว่าซวยละแต่ก็ลองดูเผื่อจะรู้เรื่อง ปรากฎว่าตอนเขาสอนเขาก็สอนเราเป็นภาษามือซึ่งเราไม่เข้าใจค่ะ TT เราเลยเอากระดาษกับปากกาให้พี่เขาเขียนอธิบาย ( ซึ่งตรงนี้เราขอบอกนิดนึงนะคะ ว่าคนที่เขาใช้ภาษามือเนี้ย เวลาเขาเขียนอธิบายอะไรก็แล้วแต่ เขาจะเขียนกลับหน้ากลับหลัง เช่น คำว่า “ ไปกินข้าวกัน ” เขาก็จะเขียนว่า “ ข้าวไปกินกัน ” แล้วนึกภาพออกไหมคะว่าตอนเขาเขียนอธิบายการทำงานของกล้องมันก็จะไม่ได้มีแค่ 2 - 3 คำ เขาต้องเขียนเป็นประโยคยาวๆ แต่ประโยคที่เขาเขียนมันก็จะกลับหน้ากลับหลังหมดสรุปคือเราอ่านแล้วไม่เข้าใจค่ะ ) มันเขียนกลับหน้ากลับหลังหมดเลย จนอีก 1 นาทีงานจะเริ่มแล้วเราเลยหากระดาษ + ปากกาจากแถวๆนั้นมาแล้วเขียนให้พี่เขาดูว่าเราไม่เข้าใจจริงๆ เขาถึงจะให้เราไปถ่ายรูปปกติแทน .. ต่อมามีอีกครั้งหนึ่งคราวนี้พี่เขาเรียกให้เราไปที่ห้องๆหนึ่งในบริษัทตอนนั้นกำลัวจะประชุมกันถึงหัวข้อการทำงานเกี่ยวกับอุปกรณ์ต่างๆในบริษัท ...แล้วพี่เลี้ยงเราเขาก็ไลน์มาหาเราว่า
“ ให้ถ่ายวีดีโอนะ จัดการให้ได้ด้วย ”
.. รอบนี้เป็นกล้องตัวใหม่วิธีการใช้ใหม่แต่เป็นภาษาญี่ปุ่นเหมือนเดิมค่ะ ! เราก็คิดในใจว่างานเข้าล่ะ พี่เขาก็ไม่เคยสอนเรามาก่อน เราเลยเดินไปหาพี่ที่เขาประชุมกันอยู่คนหนึ่งว่า
“ พี่คะ รบกวนพี่สอนหนูถ่ายวีดีโอหน่อยได้ไหม พอดีหนูไม่เคยใช้กล้องตัวนี้เลยอะค่ะ “
พี่เขาก็ช่วยเดินมาสอนเราค่ะ ทีนี้พอตอนกำลังจะกดอัดวีดีโอปรากฎว่าเมมโมรี่การ์ดมันเต็มถ่ายไม่ได้ เราก็เลยไลน์ไปหาพี่เลี้ยงเราว่า
“ พี่ค่ะ เมมโมรี่เต็มแล้วมันถ่ายไม่ได้ค่ะ ”
พี่เลี้ยงเราก็ตอบกลับมาว่า
“ บอกแล้วใช่ไหมไปแล้วจัดการให้มันได้ด้วย “
เราก็ตอบไปสั้นๆแค่ค่ะ เพราะไม่อยากจะพูดอะไรมากแล้ว
หรือเวลาที่พี่เขาจะสั่งงานอะไรผ่านไลน์มาแค่เราตอบช้าไปสักประมาณ 1 - 2 นาที เขาก็จะรัวสติ๊กเกอร์จิกมาหาเรามาประมาณ 40 - 50 อันเพื่อจะให้เราตอบสักที คือเราก็เช็คไลน์อยู่เป็นระยะๆแล้ว แต่บางครั้งเราก็หันไปทำงานเอกสารอยู่ไม่ก็ลุกไปเข้าห้องน้ำมา แล้วพอเราตอบเขาช้าเขาก็จะบอกกับเราประมาณว่า
“ จะตอบไหมหรือต้องให้โหด .. วันหลังเปิดเสียงไลน์ไว้นะจะได้ๆยิน “
คือถ้าเปิดเสียงไลน์เนี้ยมันก็รบกวนคนอื่นถูกไหมคะ อีกอย่างตัวเราเองเราก็พยายามดูไลน์ตลอดอยู่แล้วถึงจะทำงานอื่นอยู่ก็ตามตอบช้าสุดก็แค่ 2 - 3 นาทีไม่เกินนี้
แล้วพื่อนๆนึกออกไหมคะว่าตามโต๊ะออฟฟิตปกติแล้วมันจะมีโทรศัพท์ประจำโต๊ะแต่ละคนอยู่ พี่เลี้ยงเราก็บอกเราว่าให้เรารับโทรศัพท์ทุกเครื่องบนโต๊ะเวลาที่พี่ๆเขาไม่อยู่ โอเคเราก็รับ แต่บางครั้งเวลาที่พี่ๆเขาอยู่แล้วโทรศัพท์ดัง ด้วยความที่เราเกรงใจ + เราเห็นเขาอยู่ เราก็ไม่อยากรับแทน ซึ่งพอเราไม่รับเขาก็ตะคอกใส่เราว่า
“ ต้องให้พี่บอกกี่ทีว่าให้รับโทรศัพท์ด้วย ”
คือถ้าให้รับตอนที่พี่ๆเขาไม่อยู่นี้ยังพอเข้าใจนะคะ แต่นี้ให้รับตอนเขาอยู่ในออฟฟิตอยู่แล้วเราก็เกรงใจ + บางครั้งเราไม่สามารถมานั่งจ้องดูตลอดเวลาได้ว่าใครว่างเดินมารับหรือใครไม่ว่างเดินมารับเพราะเราก็มีงานของเราอยู่เยอะพอสมควร เท่านั้นไม่พอค่ะ ต่อมาเวลามือถือส่วนตัวใครดังขึ้นมาแล้วพี่เจ้าของมือถือไม่อยู่ เขาก็จะพูดกับเราแบบจิกๆประมาณว่าให้เราอะวิ่งไปรับมือถือส่วนตัวแทนพวกพี่ๆเขาด้วย ช่วงนั้นเวลาได้ยินเสียงโทรศัทพ์ในออฟฟิตทีนี้เราหลอนมาก ว่าง่ายๆก็เหมือนเป็นมือเป็นเท้าเขาดีๆนี้เองค่ะ
มาถึงช่วงสัปดาห์สุดท้ายก่อนที่เราจะฝึกงานเสร็จพี่เขาใช้ให้เราไปหยิบซองเบอร์โทรศัพท์ของเขาพอดี ประเด็นคือตอนนั้นเราดันไปเจอใบประเมินนักศึกษาฝึกงานของที่เขาต้องส่งให้กับทางบริษัทเองโดยเฉพาะ ในใบนั้นเกณฑ์การประเมินมันจะมีตั้งแต่ 1 - 5 คะแนนในแต่ละช่องนะคะ แต่ละข้อก็จะมีในด้านของความสามารถในการทำงาน จิตพิสัยอะไรประมาณนี้ในด้านของจิตพิสัยเราได้เต็ม 5 หมดค่ะ แต่ในด้านของการทำงานเราได้ 1 - 2 ไม่เกินนี้ซึ่งรวมๆทั้งหมด 200 คะแนนเราได้ประมาณ 150 กว่าๆ ถือว่าต่ำมากๆ ตอนนั้นเราเองก็กลุ่มใจแต่ไม่ได้บอกใครนอกจากพ่อแม่แล้วก็เพื่อนสนิทจนกระทั้งฝึกงานเสร็จ .. .
เราขออธิบายนิดนึงนะคะว่าวิธ๊การให้คะแนนวิชาฝึกปฏิบัติงานของเราเนี้ย 50 % จะมาจากอาจารย์ส่วนอีก 50 % จะมาจากบริษัท โดยคะแนนจากอาจารย์เนี้ยส่วนใหญ่เขาช่วยอยู่แล้ว แต่ละคนจะได้ไม่ต่ำกว่า 45 - 50 % เพราะมันเป็นคะแนนจากตัวรายงานและการพรีเซนต์ค่ะ ซึ่งตัวรายงานของเราก็มีแต่อาจารย์ชมว่าถูกต้องเป็นระเบียบ ฟอร์แมทการจัดวางและเนื้อหาถูกต้อง ใครที่ทำไม่ถูกอาจารย์ก็จะให้คนอื่นมาดูของเราเป็นตัวอย่างเลยค่ะ แล้วในตัวรายงานเราก็ใส่รูปการปฏิบัติงานของเราไปเยอะพอสมควร ( กว่าจะได้มาแต่ละรูปนี้ลำบากมากค่ะ ต้องตั้งกล้องถ่ายเองบ้าง ไม่ก็ต้องเดินไปรบกวนขอให้พี่ๆที่กำลังอบรมอยู่เดินออกมาระหว่างที่เขาอบรมอยู่ให้มาถ่ายรูปให้บ้าง ในขณะที่เพื่อนๆคนอื่นพี่เลี้ยงเขาอาสาถ่ายรูปให้ตลอด แต่ของเราไม่เคยมีโมเม้นแบบนั้นเลยค่ะ TT )
... มีต่อนะคะ ...