มาแชร์ประสบการณ์ฝึกงานแสนทรหดตลอดระยะเวลา 2 เดือนค่ะ

สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ตอนนี้เราเพิ่งฝึกงานเสร็จและกำลังจะขึ้นปี 4  เรื่องของเรื่องคือเราอยากจะมาแชร์ประสบการณ์ฝึกงานภาคฤดูร้อนของเราตลอดระยะเวลา 2 เดือนให้ฟังค่ะ    

   เริ่มแรกเลยตอนนั้นทางมหาลัยให้เราไปหาที่ฝึกงานพอพ่อเรารู้พ่อเราเลยพาเราไปฝากไว้ให้กับบริษัทๆหนึ่ง  เราก็ดีใจเพราะมันเป็นที่ๆใกล้บ้านและมันก็เป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงด้วย  ทีนี้เราก็ส่งเอกสารยื่นเรื่องขอฝึกงานไปตามปกติ .. จากนั้นเริ่มแรกก็มีปัญหาแล้วค่ะ  นั้นก็คือเขาไม่โทรติดต่อกลับมาหาเราเรื่องเอกสารในขณะที่เพื่อนๆเขาพี่ๆติดต่อให้ไปเอาเอกสารกันภายใน  2 สัปดาห์แรกแล้ว  เราก็พยายามรออย่างใจเย็นจนกระทั้งก่อนถึงวันสุดท้ายที่เราแจ้งพี่เขาไปว่าขอเอกสารก็ยังไม่ได้รับการติดต่อกลับมา  เราเลยตัดสินใจจะโทรไปถามพี่ที่บริษัทว่าเขากรอกเสร็จหรือยังปรากฎพอเราโทรไปปุ๊บเขาก็รับสายและพูดตัดบทว่า

" เดี๋ยวพี่โทรกลับตอนค่ำนะตอนนี้พี่ติดประชุมอยู่ "

เราก็รอไปแต่คืนนั้นเขาก็ไม่ได้โทรมา  พอมาวันสุดท้ายที่เราบอกพี่เขาเราก็ลองโทรไปหาเขาอีกเขาก็ตัดสายเราทิ้ง   วันต่อมาเราเลยขับรถไปหาเขาถึงบริษัทเพื่อที่จะทวงเอกสาร  สรุปว่า .. เขายังไม่ได้กรอกเอกสารให้เราสักใบค่ะ !  เราก็หงุดหงิดได้แต่นั่งรอให้เขากรอกเสร็จ  พอเขากรอกเสร็จปุ๊บเราก็ลองเช็คเอกสารดู  ปรากฎว่าเขากรอกเอกสารให้เราไม่ครบค่ะ  คงจะเพราะรีบด้วยเลยพลาดไป  ทีนี้เราก็รอเขากรอกครบแล้วเราก็ถามเขาว่าซองจดหมายของมออยู่ที่ไหน  เพราะเดิมทีตอนส่งเอกสารมาทางมอเขาจะเอาเอกสารทั้งหมดใส่ซองมอมาให้ค่ะ  เขาก็เลยเดินไปหาซองให้เราสักพักแล้วเขาก็มาบอกเราว่าซองเอกสารหายไปแล้ว  เอาซองบริษัทแทนได้ไหม .. เราก็เริ่มหงุดหงิดแล้วแต่ก็เออ ออไปไม่ได้โวยวายอะไร ..

  จากนั้น 1 เดือนต่อมาถึงกำหนดที่เราจะเข้ามาฝึกปฏิบัติงานที่นี้จริงๆแล้วค่ะซึ่งในส่วนงานที่เราได้รับมอบหมายอยู่ในแผนก  HR  ด้านการจัดฝึกอบรม  ช่วงสัปดาห์แรกที่เข้ามาทำงานก็ได้ทำงานนิดหน่อยเหมือนเด็กฝึกงานทั่วไปๆ ทำไปได้ประมาณ 3 วันทางพี่เลี้ยงคนเดิมก็ได้ขอเปลี่ยนพี่เลี้ยงให้กับเราเป็นพี่อีกคนหนึ่งเพราะเขาไม่สะดวกดูแลเรา   ต่อมาเราก็เริ่มสังเกตได้แล้วค่ะว่าที่นี้การทำงานค่อนข้างไม่เป็นระบบและวุ่นวาย   อย่างเช่น  เวลาเราไปช่วยเขาจัดห้องฝึกอบรมที่มีการนัดวันเวลาขอจองห้องไว้ล่วงหน้าแล้ว   บางครั้งก็จะมีพนักงานวิ่งหน้าตั้งเข้ามาบอกว่ามีแขกจะใช้ห้องนั้นเดี๋ยวนี้   .. ไม่ก็มีประชุมด่วน ..  ทำให้เรากับป้าๆที่ช่วยจัดห้องอยู่  ต้องย้ายห้องแบบกะทันหันกัน

   พอเข้าสัปดาห์ที่ 2 ช่วงนั้นก็มีหน่วยงานเข้ามาออดิทบริษัทพอดี (ออดิทคือการที่จะมีคนมาตรวจสอบบริษัทนะคะ  เช่น  ตรวจสอบบัญชี , ตรวจสอบเอกสาร , ตรวจสอบกระบวนการทำงาน อะไรแบบนี้เป็นต้นค่ะ)  พี่ๆในแผนกเขาก็บอกกับเราว่าตอนนี้ทางบริษัทต้องการกำลังคนไปช่วยงานออดิทด่วน  ด้วยความที่เราเป็นเด็กฝึกงานเราก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่แล้วถูกไหมคะ  เราก็ต้องไป   ซึ่งตอนนั้นทางหน่วยงานที่จะมาออดิทเขาต้องการเอกสารของกระบวนการทำงานเครื่องจักรต่างๆในบริษัท  แล้วเหมือนกับว่าตอนนั้นบริษัทเขาใช้เครื่องจักรและกระบวนการอีกแบบหนึ่งซึ่งไม่ตรงกับที่ทางหน่วยงานออดิทเขาต้องการ  .. ดังนั้นหน้าที่ๆเราต้องทำคือการเมคเอกสารให้ตรงตามที่เขาต้องการค่ะ !   แล้วเอกสารที่เขาให้ทำมันก็เป็นเอกสารที่ให้ติ๊กตามช่องเครื่องจักรต่างๆและมีความถี่ค่อนข้างเยอะประมาณ 30 กว่าช่องติดๆกัน  แถมยังต้องเซ็นต์ชื่อกำกับเป็นชื่อช่างที่ทำเครื่องจักรด้วย   ซึ่งถ้ามันเกิดผิดพลาดขึ้นมาบริษัทก็จะได้รับความเสียหายหลานล้านบาท   แต่เราก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำไป   ช่วงแรกๆทำผิดอยู่หลายแผ่นจนต้องทิ้งแล้วเขียนใหม่อยู่เป็น 10ๆ แผ่น   แต่พอทำได้สัก 2 วันก็พอถูๆไถ  ทำแบบนี้ไปประมาณอาทิตย์หนึ่งถึงเสร็จค่ะ
    
      คราวนี้กลับมาเข้าสู่การฝึกปฏิบัติงานตามปกติโดยมีพี่เลี้ยงคนใหม่สอนงานค่ะ  จากที่เรารู้สึกได้เขาเป็นคนสอนงานดีนะคะแต่บางครั้งจะสอนไวมากจนบางทีเราจดไม่ทันและไวจนถึงขนาดที่ว่าบางทีเขาคิดว่าเขาสอนแล้วแต่จริงๆเขายังไม่ได้สอนที่สำคัญเป็นคนอารมณ์เสียง่ายมากค่ะ   ทีนี้มีอยู่วันหนึงเขาให้เราทำงานแต่เราทำไม่ได้เพราะงานอันนี้เขาไม่เคยสอนจริงๆ   ซึ่งเป็นแบบนี้อยู่ค่อนข้างบ่อยจนกระทั้งฝึกงานจบ  แล้วแต่ละคำพูดที่เขาพูดกับเราเวลาที่เราทำไม่ได้ก็อย่างเช่น

“ นี้ต้องให้ด่าใช่ไหมถึงจะทำได้ “

  หรือบางทีเวลาเราทำงานส่วนหนึ่งเสร็จแล้วเราก็ถามเขาดูว่าเขาจะให้ทำอะไรอีกไหมเพราะไม่ได้มีการตกลงกันแต่แรกว่าจะให้เราทำถึงส่วนไหนๆ  เช่น  สมมติว่าเขาให้เราทำเอกสารพอเราทำเสร็จหลังอบรมเราก็ถามเขาว่า

“ มีอะไรให้ช่วยอีกไหมคะ ? ”

เขาก็ตอบกลับเรามาว่า

“ อย่าให้พี่ต้องบอกทุกเรื่อง ”

คือที่เราถามไม่ใช่ว่าเราไม่รู้นะคะว่าหน้าที่ต่อไปเราต้องทำอะไร  แต่ที่เราถามเพราะจะได้ไม่ทำงานซ้ำกันกับพี่เขา  เพราะว่าเวลาที่เราทำเอกสารหลังอบรมเสร็จแล้ว  เราก็จะเอาข้อมูลในเอกสารไปกรอกในโปรแกรมใช่ไหมคะ  แล้วบางครั้งพี่เขาก็จะกรอกเองแล้วให้เราไปทำอย่างอื่นต่อ  แต่บางครั้งพี่เขาก็จะให้เรากรอก   ซึ่งแต่ละครั้งที่ทำเนี้ยบางทีเขาก็ไม่ได้บอกเราว่าตกลงจะให้เราทำถึงแค่ไหนๆแบบนี้อะค่ะ  (อย่างที่บอกไปข้างต้นว่าเขาเป็นคนไวมากไวถึงขนาดที่ว่าเขาคิดว่าเขาบอกแล้วแต่จริงๆเขายังไม่ได้บอก)     ... แล้วงานจัดฝึกอบรมอะค่ะมันจะมีประมาณ 10 ขั้นตอนใช่ไหมคะแรกๆเราก็ได้ทำแค่จัดห้องกับทำเอกสารสำหรับฝึกอบรมพอเป็นพิธี   แต่เริ่มพอเข้าช่วงสัปดาห์ที่ 3 เป็นต้นไปเขาเริ่มให้เราทำหน้าที่อื่นด้วย  เช่น  พิมพ์แล้วเย็บคู่มือเอกสาร ,   ช่วยจัดถาดขนมและอาหารสำหรับผู้เข้าอบรม  ,  นั่งฟังวิทยากรบรรยายแล้วเขียนประเมินวิทยากรแทนเจ้าหน้าที่อบรมประจำ  , จัดเก็บโต๊ะและเก้าอี้  เปิด - ปิดไฟห้อง  ,  ตรวจคะแนนข้อสอบและแบบประเมิน ,  บันทึกข้อมูลหลังฝึกอบรมลงในโปรแกรม , ตรวจสอบเอกสาร , จัดเก็บเอกสาร   …  ว่าง่ายๆก็คือให้ทำทั้งกระบวนการฝึกอบรมเลยอะค่ะ  ไม่ได้ทำแค่นิดๆหน่อยๆเป็นจ๊อบเล็กๆเหมือนของเพื่อนที่ไปฝึกที่อื่น  แล้วก็มีหน้าที่อื่นอีกสารพัดอย่างแล้วแต่เข้าจะใช้   เช่น  พาแขกและผู้สมัครงานไปยังห้องต่างๆภายในบริษัท  , แก้ไขไฟล์งานต่างๆ ,  ตัดบัตรพนักงาน ,  ถ่ายวีดีโอ , คำนวนวัน  เวลา  ขาดงานของพนักงาน  .. เราก็อดทนทำไปถือว่าเป็นประสบการณ์   แต่ถ้าวันไหนโดนด่ามากๆแล้วเครียดจนทนไม่ไหวก็จะแอบออกไปอ้วก  ( ตลอดระยะเวลาที่เราไปฝึกงานเราอ้วกไปประมาณ 4 - 5  แล้วก็น้ำหนักลดไป 6.5 โลเลยค่ะ )

    ทีนี้มีอยู่วันหนึ่งค่ะพี่เลี้ยงเราเขาให้เราไปถ่ายวีดีโอกิจกรรมๆหนึ่งในบริษัท ซึ่งกล้องตัวนั้นไม่เคยมีใครสอนเราถ่ายมาก่อน + มันเป็นกล้องภาษาญี่ปุ่นและอีก 2 นาทีงานจะเริ่ม  เราเลยถามพี่ๆเขาว่า

“ ใครเป็นคนสอนหนูถ่ายวีดีโออะค่ะ ”

พี่เขาก็เลยชี้มาที่พี่คนหนึ่งในแผนกแล้วก็บอกว่าพี่คนนี้เป็นสอน  ประเด็นคือพี่คนนั้นเขาเป็นใบ้ค่ะ  !  เราก็คิดในใจว่าซวยละแต่ก็ลองดูเผื่อจะรู้เรื่อง  ปรากฎว่าตอนเขาสอนเขาก็สอนเราเป็นภาษามือซึ่งเราไม่เข้าใจค่ะ TT เราเลยเอากระดาษกับปากกาให้พี่เขาเขียนอธิบาย  ( ซึ่งตรงนี้เราขอบอกนิดนึงนะคะ ว่าคนที่เขาใช้ภาษามือเนี้ย  เวลาเขาเขียนอธิบายอะไรก็แล้วแต่  เขาจะเขียนกลับหน้ากลับหลัง เช่น  คำว่า “ ไปกินข้าวกัน ” เขาก็จะเขียนว่า  “ ข้าวไปกินกัน ”  แล้วนึกภาพออกไหมคะว่าตอนเขาเขียนอธิบายการทำงานของกล้องมันก็จะไม่ได้มีแค่ 2 - 3 คำ เขาต้องเขียนเป็นประโยคยาวๆ  แต่ประโยคที่เขาเขียนมันก็จะกลับหน้ากลับหลังหมดสรุปคือเราอ่านแล้วไม่เข้าใจค่ะ )  มันเขียนกลับหน้ากลับหลังหมดเลย    จนอีก 1 นาทีงานจะเริ่มแล้วเราเลยหากระดาษ + ปากกาจากแถวๆนั้นมาแล้วเขียนให้พี่เขาดูว่าเราไม่เข้าใจจริงๆ  เขาถึงจะให้เราไปถ่ายรูปปกติแทน ..  ต่อมามีอีกครั้งหนึ่งคราวนี้พี่เขาเรียกให้เราไปที่ห้องๆหนึ่งในบริษัทตอนนั้นกำลัวจะประชุมกันถึงหัวข้อการทำงานเกี่ยวกับอุปกรณ์ต่างๆในบริษัท  ...แล้วพี่เลี้ยงเราเขาก็ไลน์มาหาเราว่า

“ ให้ถ่ายวีดีโอนะ  จัดการให้ได้ด้วย ”

..  รอบนี้เป็นกล้องตัวใหม่วิธีการใช้ใหม่แต่เป็นภาษาญี่ปุ่นเหมือนเดิมค่ะ  ! เราก็คิดในใจว่างานเข้าล่ะ  พี่เขาก็ไม่เคยสอนเรามาก่อน  เราเลยเดินไปหาพี่ที่เขาประชุมกันอยู่คนหนึ่งว่า

“ พี่คะ  รบกวนพี่สอนหนูถ่ายวีดีโอหน่อยได้ไหม  พอดีหนูไม่เคยใช้กล้องตัวนี้เลยอะค่ะ  “  

พี่เขาก็ช่วยเดินมาสอนเราค่ะ  ทีนี้พอตอนกำลังจะกดอัดวีดีโอปรากฎว่าเมมโมรี่การ์ดมันเต็มถ่ายไม่ได้  เราก็เลยไลน์ไปหาพี่เลี้ยงเราว่า

“ พี่ค่ะ  เมมโมรี่เต็มแล้วมันถ่ายไม่ได้ค่ะ ”  

พี่เลี้ยงเราก็ตอบกลับมาว่า

“ บอกแล้วใช่ไหมไปแล้วจัดการให้มันได้ด้วย “

เราก็ตอบไปสั้นๆแค่ค่ะ  เพราะไม่อยากจะพูดอะไรมากแล้ว

  หรือเวลาที่พี่เขาจะสั่งงานอะไรผ่านไลน์มาแค่เราตอบช้าไปสักประมาณ 1 - 2 นาที  เขาก็จะรัวสติ๊กเกอร์จิกมาหาเรามาประมาณ  40 - 50 อันเพื่อจะให้เราตอบสักที   คือเราก็เช็คไลน์อยู่เป็นระยะๆแล้ว  แต่บางครั้งเราก็หันไปทำงานเอกสารอยู่ไม่ก็ลุกไปเข้าห้องน้ำมา  แล้วพอเราตอบเขาช้าเขาก็จะบอกกับเราประมาณว่า

“ จะตอบไหมหรือต้องให้โหด .. วันหลังเปิดเสียงไลน์ไว้นะจะได้ๆยิน “

   คือถ้าเปิดเสียงไลน์เนี้ยมันก็รบกวนคนอื่นถูกไหมคะ  อีกอย่างตัวเราเองเราก็พยายามดูไลน์ตลอดอยู่แล้วถึงจะทำงานอื่นอยู่ก็ตามตอบช้าสุดก็แค่ 2 - 3 นาทีไม่เกินนี้

   แล้วพื่อนๆนึกออกไหมคะว่าตามโต๊ะออฟฟิตปกติแล้วมันจะมีโทรศัพท์ประจำโต๊ะแต่ละคนอยู่  พี่เลี้ยงเราก็บอกเราว่าให้เรารับโทรศัพท์ทุกเครื่องบนโต๊ะเวลาที่พี่ๆเขาไม่อยู่  โอเคเราก็รับ  แต่บางครั้งเวลาที่พี่ๆเขาอยู่แล้วโทรศัพท์ดัง  ด้วยความที่เราเกรงใจ + เราเห็นเขาอยู่   เราก็ไม่อยากรับแทน  ซึ่งพอเราไม่รับเขาก็ตะคอกใส่เราว่า

“ ต้องให้พี่บอกกี่ทีว่าให้รับโทรศัพท์ด้วย ”

   คือถ้าให้รับตอนที่พี่ๆเขาไม่อยู่นี้ยังพอเข้าใจนะคะ  แต่นี้ให้รับตอนเขาอยู่ในออฟฟิตอยู่แล้วเราก็เกรงใจ + บางครั้งเราไม่สามารถมานั่งจ้องดูตลอดเวลาได้ว่าใครว่างเดินมารับหรือใครไม่ว่างเดินมารับเพราะเราก็มีงานของเราอยู่เยอะพอสมควร  เท่านั้นไม่พอค่ะ   ต่อมาเวลามือถือส่วนตัวใครดังขึ้นมาแล้วพี่เจ้าของมือถือไม่อยู่   เขาก็จะพูดกับเราแบบจิกๆประมาณว่าให้เราอะวิ่งไปรับมือถือส่วนตัวแทนพวกพี่ๆเขาด้วย  ช่วงนั้นเวลาได้ยินเสียงโทรศัทพ์ในออฟฟิตทีนี้เราหลอนมาก  ว่าง่ายๆก็เหมือนเป็นมือเป็นเท้าเขาดีๆนี้เองค่ะ

   มาถึงช่วงสัปดาห์สุดท้ายก่อนที่เราจะฝึกงานเสร็จพี่เขาใช้ให้เราไปหยิบซองเบอร์โทรศัพท์ของเขาพอดี   ประเด็นคือตอนนั้นเราดันไปเจอใบประเมินนักศึกษาฝึกงานของที่เขาต้องส่งให้กับทางบริษัทเองโดยเฉพาะ   ในใบนั้นเกณฑ์การประเมินมันจะมีตั้งแต่ 1 - 5 คะแนนในแต่ละช่องนะคะ  แต่ละข้อก็จะมีในด้านของความสามารถในการทำงาน  จิตพิสัยอะไรประมาณนี้ในด้านของจิตพิสัยเราได้เต็ม 5 หมดค่ะ  แต่ในด้านของการทำงานเราได้ 1 - 2 ไม่เกินนี้ซึ่งรวมๆทั้งหมด 200  คะแนนเราได้ประมาณ  150  กว่าๆ ถือว่าต่ำมากๆ  ตอนนั้นเราเองก็กลุ่มใจแต่ไม่ได้บอกใครนอกจากพ่อแม่แล้วก็เพื่อนสนิทจนกระทั้งฝึกงานเสร็จ .. .

  เราขออธิบายนิดนึงนะคะว่าวิธ๊การให้คะแนนวิชาฝึกปฏิบัติงานของเราเนี้ย  50 % จะมาจากอาจารย์ส่วนอีก 50 %  จะมาจากบริษัท   โดยคะแนนจากอาจารย์เนี้ยส่วนใหญ่เขาช่วยอยู่แล้ว  แต่ละคนจะได้ไม่ต่ำกว่า 45 - 50 % เพราะมันเป็นคะแนนจากตัวรายงานและการพรีเซนต์ค่ะ  ซึ่งตัวรายงานของเราก็มีแต่อาจารย์ชมว่าถูกต้องเป็นระเบียบ  ฟอร์แมทการจัดวางและเนื้อหาถูกต้อง   ใครที่ทำไม่ถูกอาจารย์ก็จะให้คนอื่นมาดูของเราเป็นตัวอย่างเลยค่ะ    แล้วในตัวรายงานเราก็ใส่รูปการปฏิบัติงานของเราไปเยอะพอสมควร   ( กว่าจะได้มาแต่ละรูปนี้ลำบากมากค่ะ   ต้องตั้งกล้องถ่ายเองบ้าง  ไม่ก็ต้องเดินไปรบกวนขอให้พี่ๆที่กำลังอบรมอยู่เดินออกมาระหว่างที่เขาอบรมอยู่ให้มาถ่ายรูปให้บ้าง  ในขณะที่เพื่อนๆคนอื่นพี่เลี้ยงเขาอาสาถ่ายรูปให้ตลอด  แต่ของเราไม่เคยมีโมเม้นแบบนั้นเลยค่ะ  TT  )  

    ... มีต่อนะคะ ...
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่