คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
ผมก็เพิ่งฝึกจบตอนเดือนพฤษภาที่ผ่านมา
ผมไปฝึกที่บริษัท JTB ที่เป็นบริษัททัวร์ของญี่ปุ่น เพราะผมเรียนมาทางภาษาญี่ปุ่น ที่ผมมาฝึกที่นี่ เพราะตอนแรกคิดว่าอาจจะได้ออกทัวร์ แบบติดตามไปเป็นผู้ช่วยไกด์อะไรแบบนั้น แต่พอเริ่มฝึกงานวันแรกเลย เขาก็เอาผมไปอยู่สำนักงานใหญ่ที่อาคารหะรินธร บางรัก บรรยากาศมันก็เป็นแบบออฟฟิศเลย มีโต๊ะทำงานมีอะไร มีพนักงานทั้งคนไทยและคนญี่ปุ่น ส่วนใหญ่หน้าที่ที่ผมทำ ก็คือช่วยงานพี่พนักงานประจำคนหนึ่ง ต้องทำทั้ง ถ่ายเอกสาร ทำ DEPARTURE ถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่ามันคืออะไร เหมือนให้เราดูตามตารางของรายการทัวร์ว่า ไกด์คนนี้จะไปรับลูกทัวร์ตอนกี่โมง จะใช้รถยี่ห้ออะไร แล้วก็ต้องบันทึกลงไป
ตอนพักวันแรก ผมไปกินอาหารที่ฟู้ดคอร์ตกับพวกพี่พนักงาน เสร็จแล้วก็ขอตัวไปเดินเล่น คือตอนนั้นอารมณ์ของผมแบบมันเซ็งมาก ไม่ได้ออกทัวร์ ต้องมาทำงานที่ไม่ชอบ แล้วพอวันที่สองเป็นต้นมา โต๊ะที่ผมนั่งก็มีคอมมาตั้งให้ ก็พอเล่นเน็ตให้มันคลายเบื่อไปได้บ้าง ผมก็เปิดหาข้อมูลนั่นนี่อ่านไปเรื่อย แต่ไม่กล้าเล่นเฟซ ทุกครั้งที่ว่างก็จะเล่นเน็ตหมด ถึงเวลาพัก ผมก็จะเดินออกไปกินข้าวคนเดียว คือถ้าผมต้องอยู่ในสถานที่ที่ผมไม่ชอบ ไม่ชิน ผมชอบที่จะอยู่คนเดียวมากกว่า ไม่อยากอยู่กับใคร ชีวิตผมมันก็วนเวียนแบบนี้แหละ ช่วงแรกๆ
จนวันศุกร์ ก็มีคนมาบอกว่า จะให้ผมย้ายไปที่สาขาสีลมคอมเพล็กซ์ ที่ไม่ไกลกันนัก สามารถเดินถึงกันได้ อีกอย่าง ถ้าไปที่นั่น ผมก็จะได้เจอเพื่อนด้วย เพราะมีเพื่อนห้องเดียวกับผม ที่ผมแนะนำให้เขามาฝึกงานที่นี่นั่นแหละไปที่นั่น ตั้งแต่สัปดาห์ที่สองเป็นต้นมา ผมก็เลยได้ไปทำที่สีลมคอมเพล็กซ์ ซึ่งที่นี่มันก็จะมีทั้งส่วนที่เป็นเคาน์เตอร์รับลูกค้า แล้วก็ส่วนที่เป็นสำนักงานอยู่ข้างหลัง งานของที่นี่ก็จะแตกต่างกับตอนอยู่สำนักงานใหญ่ คือมันจะมีงานที่ต้องใช้คอมด้วยอะไรด้วย บางทีก็ต้องเอาใบงานของไกด์ไปใส่เก๊ะของไกด์แต่ละคนที่สำนักงานใหญ่ แต่เวลาที่ว่างนี่ก็ว่างจริงๆ เลยนะ เล่นเฟซ เล่นอะไรกันไป สนุกสนาน
นอกจากนี้ อีกงานของผมคือ การแจกโบรชัวร์ คือแพ็คเกจทัวร์ที่นี่มันจะเปลี่ยนเรื่อยๆ ถ้าหมดเวลาของแพ็คเกจเก่า ก็ต้องไปเปลี่ยน และผมนี่แหละ ที่ถูกหัวหน้าแผนกที่เป็นคนญี่ปุ่น (ผู้หญิง) ใช้ให้ไปแจกโบรชัวร์ตามโรงแรมหรืออพาร์ตเมนท์ต่างๆ ที่น่าจะมีคนญี่ปุ่นพักอยู่ โบรชัวร์นี่มันจะมาเป็นมัด มัดละ 25 เล่ม แรกๆ เขาก็ให้ผมไปแจก 3 มัด เท่ากับ 75 เล่ม หลังๆ นี่ให้เป็น 4 มัด คือ 100 เล่มเลย แล้วแบบทุกวัน พอเขาเห็นหน้าผม เขาจะพูดถึงเรื่องโบรชัวร์ทันทีเลย เคยมีครั้งนึง เขาเข้าบริษัทมาตอนบ่าย ตอนเช้าผมก็ถือโอกาสอู้ แต่พอเขาถามแล้วผมบอกว่ายังไม่ได้ไปแจก เขาก็ให้ผมออกไปแจกทันทีเลย ตอนบ่าย อากาศกำลังร้อนๆ ตอนนั้นเดือนเมษาด้วยมั้ง เวลาแจกนี่ผมเดินแจกเอาเลย ไม่มีการนั่งรถอะไรทั้งสิ้น บางครั้งผมก็รู้สึกว่าเขาสั่งผมแบบหน้าตาเฉย ไม่รู้สึกว่าผมเหนื่อยเลยก็มี หลังๆ นี่ผมเลยมักจะออกช่วง 9-10 โมง แดดยังไม่ร้อนมาก
มาช่วงท้าย เขายังให้ผมไปนั่งโต๊ะที่โรงแรมดุสิตธานีอีก คือเป็นโต๊ะให้ข้อมูล ถ้ามีลูกค้าญี่ปุ่นเข้ามาสอบถามอะไร ไม่ว่าจะเป็นแพ็คเกจทัวร์ หรือเขาอาจจะถามว่าแถวนั้นมีร้านอาหาร มีร้านของฝากอะไร ผมก็ต้องแนะนำ แต่ไม่ค่อยมีลูกค้าญี่ปุ่นเข้ามาถามผมเท่าไร มีเหมือนกัน แต่น้อย ที่ผมประทับใจคือ ผมเคยพาลูกค้าญี่ปุ่นไปหาร้านอาหารไทย (ในโรงแรม) หรือไม่ก็พาเขาไปดูพวกเวลาเปิด-ปิดของร้านของฝากในโรงแรม ผมชอบเหมือนกันนะ เวลาไปนั่งที่ดุสิตธานี คือบรรยากาศมันเงียบสงบ แล้วผมก็อยู่คนเดียว นั่งคิดนั่งทำอะไรไปได้เพลินๆ
ส่วนงานอื่นนอกเหนือจากนั้น ก็จะมีถ่ายเอกสาร แล้วก็มีครั้งนึง เขา (คนญี่ปุ่น) ให้ผมเจาะแล้วก็เอาเชือกร้อยเอกสารเก่าๆ เข้าด้วยกัน ซึ่งจริงๆ วิธีใช้เครื่องเจาะกระดาษ มันก็จะต้องพับกระดาษก่อนครึ่งนึง แล้วค่อยเจาะใช่มั้ยครับ แต่ผมไม่รู้ ผมก็เจาะไป จนสุดท้าย มันก็เบี้ยวๆ ไม่ตรงกันสักแผ่น เขาก็เลยมาสอนผม และบอกว่า "มันเป็นเรื่องพื้นฐานนะ" ผมก็แบบอึ้งไปเลย แต่มันก็ผิดที่ผมอ่ะ จะไปโทษเขาก็ไม่ได้
อาทิตย์สุดท้ายก็เป็นอาทิตย์ที่โลดโผนที่สุดแล้ว คือเพื่อนผมที่ฝึกงานด้วยกันแหละ เขาถูกพี่ที่แผนกของเขาใช้ให้เอากระเป๋าไปให้ลูกค้า เหมือนเป็นของขวัญ ของสมนาคุณอะไรแบบนั้น เพื่อนก็ลากผมไปด้วย วันแรกต้องไปที่ซอยพหลโยธิน 28 ใกล้ๆ ตึกช้าง กว่าจะหาบ้านของลูกค้าเจอนี่วนเวียนหลายรอบมาก เพราะบ้านเลขที่ในซอยนั้นมันไม่ได้เรียงตามลำดับ ส่วนอีกวันก็ต้องไปถึงแจ้งวัฒนะ เป็นวันสุดท้ายที่ฝึกงานด้วย รอบนี้ไปกันสามคน ครบแก๊งครับ วันนั้นมีพี่คนไทยที่แผนกของเพื่อนผม พาพวกผมสามคน แล้วก็มีเด็กจุฬาอีกคนที่เข้ามาฝึกทีหลังพวกผมไปเลี้ยงเอ็มเค แต่พอขึ้นมา ช่วงบ่ายๆ ผมก็ต้องไปแจกโบรชัวร์อีก คือผมอู้ไม่ไปแจกโบรชัวร์หลายวันไง ตอนแรกได้ยินว่าเขาจะให้ไปแจก 150 เล่มด้วย แต่ตอนที่ผมไปมันเหลือ 100 เล่ม ก็หยิบมา 100 เล่ม กลับมาเขายังบอกอีกว่า 100 เล่มเองเหรอ!!!
ก่อนจะฝึกงาน ผมก็ไม่อยากฝึกเลย คิดว่ามันต้องนานแน่ๆ กว่าจะฝึกจบ แต่เอาเข้าจริง พอผมชินแล้ว เวลามันกลับผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนสุดท้ายก็ผ่านการฝึกงาน มันก็เป็นอีกช่วงชีวิตที่น่าประทับใจ และผมจะไม่ลืมมันแน่นอน
ผมไปฝึกที่บริษัท JTB ที่เป็นบริษัททัวร์ของญี่ปุ่น เพราะผมเรียนมาทางภาษาญี่ปุ่น ที่ผมมาฝึกที่นี่ เพราะตอนแรกคิดว่าอาจจะได้ออกทัวร์ แบบติดตามไปเป็นผู้ช่วยไกด์อะไรแบบนั้น แต่พอเริ่มฝึกงานวันแรกเลย เขาก็เอาผมไปอยู่สำนักงานใหญ่ที่อาคารหะรินธร บางรัก บรรยากาศมันก็เป็นแบบออฟฟิศเลย มีโต๊ะทำงานมีอะไร มีพนักงานทั้งคนไทยและคนญี่ปุ่น ส่วนใหญ่หน้าที่ที่ผมทำ ก็คือช่วยงานพี่พนักงานประจำคนหนึ่ง ต้องทำทั้ง ถ่ายเอกสาร ทำ DEPARTURE ถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่ามันคืออะไร เหมือนให้เราดูตามตารางของรายการทัวร์ว่า ไกด์คนนี้จะไปรับลูกทัวร์ตอนกี่โมง จะใช้รถยี่ห้ออะไร แล้วก็ต้องบันทึกลงไป
ตอนพักวันแรก ผมไปกินอาหารที่ฟู้ดคอร์ตกับพวกพี่พนักงาน เสร็จแล้วก็ขอตัวไปเดินเล่น คือตอนนั้นอารมณ์ของผมแบบมันเซ็งมาก ไม่ได้ออกทัวร์ ต้องมาทำงานที่ไม่ชอบ แล้วพอวันที่สองเป็นต้นมา โต๊ะที่ผมนั่งก็มีคอมมาตั้งให้ ก็พอเล่นเน็ตให้มันคลายเบื่อไปได้บ้าง ผมก็เปิดหาข้อมูลนั่นนี่อ่านไปเรื่อย แต่ไม่กล้าเล่นเฟซ ทุกครั้งที่ว่างก็จะเล่นเน็ตหมด ถึงเวลาพัก ผมก็จะเดินออกไปกินข้าวคนเดียว คือถ้าผมต้องอยู่ในสถานที่ที่ผมไม่ชอบ ไม่ชิน ผมชอบที่จะอยู่คนเดียวมากกว่า ไม่อยากอยู่กับใคร ชีวิตผมมันก็วนเวียนแบบนี้แหละ ช่วงแรกๆ
จนวันศุกร์ ก็มีคนมาบอกว่า จะให้ผมย้ายไปที่สาขาสีลมคอมเพล็กซ์ ที่ไม่ไกลกันนัก สามารถเดินถึงกันได้ อีกอย่าง ถ้าไปที่นั่น ผมก็จะได้เจอเพื่อนด้วย เพราะมีเพื่อนห้องเดียวกับผม ที่ผมแนะนำให้เขามาฝึกงานที่นี่นั่นแหละไปที่นั่น ตั้งแต่สัปดาห์ที่สองเป็นต้นมา ผมก็เลยได้ไปทำที่สีลมคอมเพล็กซ์ ซึ่งที่นี่มันก็จะมีทั้งส่วนที่เป็นเคาน์เตอร์รับลูกค้า แล้วก็ส่วนที่เป็นสำนักงานอยู่ข้างหลัง งานของที่นี่ก็จะแตกต่างกับตอนอยู่สำนักงานใหญ่ คือมันจะมีงานที่ต้องใช้คอมด้วยอะไรด้วย บางทีก็ต้องเอาใบงานของไกด์ไปใส่เก๊ะของไกด์แต่ละคนที่สำนักงานใหญ่ แต่เวลาที่ว่างนี่ก็ว่างจริงๆ เลยนะ เล่นเฟซ เล่นอะไรกันไป สนุกสนาน
นอกจากนี้ อีกงานของผมคือ การแจกโบรชัวร์ คือแพ็คเกจทัวร์ที่นี่มันจะเปลี่ยนเรื่อยๆ ถ้าหมดเวลาของแพ็คเกจเก่า ก็ต้องไปเปลี่ยน และผมนี่แหละ ที่ถูกหัวหน้าแผนกที่เป็นคนญี่ปุ่น (ผู้หญิง) ใช้ให้ไปแจกโบรชัวร์ตามโรงแรมหรืออพาร์ตเมนท์ต่างๆ ที่น่าจะมีคนญี่ปุ่นพักอยู่ โบรชัวร์นี่มันจะมาเป็นมัด มัดละ 25 เล่ม แรกๆ เขาก็ให้ผมไปแจก 3 มัด เท่ากับ 75 เล่ม หลังๆ นี่ให้เป็น 4 มัด คือ 100 เล่มเลย แล้วแบบทุกวัน พอเขาเห็นหน้าผม เขาจะพูดถึงเรื่องโบรชัวร์ทันทีเลย เคยมีครั้งนึง เขาเข้าบริษัทมาตอนบ่าย ตอนเช้าผมก็ถือโอกาสอู้ แต่พอเขาถามแล้วผมบอกว่ายังไม่ได้ไปแจก เขาก็ให้ผมออกไปแจกทันทีเลย ตอนบ่าย อากาศกำลังร้อนๆ ตอนนั้นเดือนเมษาด้วยมั้ง เวลาแจกนี่ผมเดินแจกเอาเลย ไม่มีการนั่งรถอะไรทั้งสิ้น บางครั้งผมก็รู้สึกว่าเขาสั่งผมแบบหน้าตาเฉย ไม่รู้สึกว่าผมเหนื่อยเลยก็มี หลังๆ นี่ผมเลยมักจะออกช่วง 9-10 โมง แดดยังไม่ร้อนมาก
มาช่วงท้าย เขายังให้ผมไปนั่งโต๊ะที่โรงแรมดุสิตธานีอีก คือเป็นโต๊ะให้ข้อมูล ถ้ามีลูกค้าญี่ปุ่นเข้ามาสอบถามอะไร ไม่ว่าจะเป็นแพ็คเกจทัวร์ หรือเขาอาจจะถามว่าแถวนั้นมีร้านอาหาร มีร้านของฝากอะไร ผมก็ต้องแนะนำ แต่ไม่ค่อยมีลูกค้าญี่ปุ่นเข้ามาถามผมเท่าไร มีเหมือนกัน แต่น้อย ที่ผมประทับใจคือ ผมเคยพาลูกค้าญี่ปุ่นไปหาร้านอาหารไทย (ในโรงแรม) หรือไม่ก็พาเขาไปดูพวกเวลาเปิด-ปิดของร้านของฝากในโรงแรม ผมชอบเหมือนกันนะ เวลาไปนั่งที่ดุสิตธานี คือบรรยากาศมันเงียบสงบ แล้วผมก็อยู่คนเดียว นั่งคิดนั่งทำอะไรไปได้เพลินๆ
ส่วนงานอื่นนอกเหนือจากนั้น ก็จะมีถ่ายเอกสาร แล้วก็มีครั้งนึง เขา (คนญี่ปุ่น) ให้ผมเจาะแล้วก็เอาเชือกร้อยเอกสารเก่าๆ เข้าด้วยกัน ซึ่งจริงๆ วิธีใช้เครื่องเจาะกระดาษ มันก็จะต้องพับกระดาษก่อนครึ่งนึง แล้วค่อยเจาะใช่มั้ยครับ แต่ผมไม่รู้ ผมก็เจาะไป จนสุดท้าย มันก็เบี้ยวๆ ไม่ตรงกันสักแผ่น เขาก็เลยมาสอนผม และบอกว่า "มันเป็นเรื่องพื้นฐานนะ" ผมก็แบบอึ้งไปเลย แต่มันก็ผิดที่ผมอ่ะ จะไปโทษเขาก็ไม่ได้
อาทิตย์สุดท้ายก็เป็นอาทิตย์ที่โลดโผนที่สุดแล้ว คือเพื่อนผมที่ฝึกงานด้วยกันแหละ เขาถูกพี่ที่แผนกของเขาใช้ให้เอากระเป๋าไปให้ลูกค้า เหมือนเป็นของขวัญ ของสมนาคุณอะไรแบบนั้น เพื่อนก็ลากผมไปด้วย วันแรกต้องไปที่ซอยพหลโยธิน 28 ใกล้ๆ ตึกช้าง กว่าจะหาบ้านของลูกค้าเจอนี่วนเวียนหลายรอบมาก เพราะบ้านเลขที่ในซอยนั้นมันไม่ได้เรียงตามลำดับ ส่วนอีกวันก็ต้องไปถึงแจ้งวัฒนะ เป็นวันสุดท้ายที่ฝึกงานด้วย รอบนี้ไปกันสามคน ครบแก๊งครับ วันนั้นมีพี่คนไทยที่แผนกของเพื่อนผม พาพวกผมสามคน แล้วก็มีเด็กจุฬาอีกคนที่เข้ามาฝึกทีหลังพวกผมไปเลี้ยงเอ็มเค แต่พอขึ้นมา ช่วงบ่ายๆ ผมก็ต้องไปแจกโบรชัวร์อีก คือผมอู้ไม่ไปแจกโบรชัวร์หลายวันไง ตอนแรกได้ยินว่าเขาจะให้ไปแจก 150 เล่มด้วย แต่ตอนที่ผมไปมันเหลือ 100 เล่ม ก็หยิบมา 100 เล่ม กลับมาเขายังบอกอีกว่า 100 เล่มเองเหรอ!!!
ก่อนจะฝึกงาน ผมก็ไม่อยากฝึกเลย คิดว่ามันต้องนานแน่ๆ กว่าจะฝึกจบ แต่เอาเข้าจริง พอผมชินแล้ว เวลามันกลับผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนสุดท้ายก็ผ่านการฝึกงาน มันก็เป็นอีกช่วงชีวิตที่น่าประทับใจ และผมจะไม่ลืมมันแน่นอน
แสดงความคิดเห็น
มาแชร์ประสบการณ์การเป็นนักศึกษาฝึกงานกัน
ใครเคยมีประสบการณ์การเป็นเด็ก intern แบบเราบ้าง คือเราเคยไปฝึกงานบริษัทเล็กๆที่นึง
แต่ด้วยความอินดี้ของเรา เราก็เลยไปคนเดียวไม่ได้ชวนเพื่อนไป (กะไปหาเอาข้างหน้า 555)
วันๆนึงไม่มีอะไรทำเท่าไหร่เลย และก็ไม่ค่อยได้คุยกับใคร (เหงาปากมาก) เพราะพี่ๆเค้าก็นั่งทำงานของตัวเองกัน
เราเลยนั่งเล่น line บ้าง facebook บ้าง ท่องมันไปทุกเว็บที่รู้จัก ออกไปเดินเล่นบ้าง (ว่างจริงไรจริง)
เวลาไปกินข้าวก็ออกไปกินคนเดียว T^T เราเลยอยากแนะนำน้องๆที่จะไปเป็นนักศึกษาฝึกงานก็อย่าลืมเลือกที่ๆ
จะไปฝึกเอาให้ตรงกับสิ่งที่เราเรียนก็ดี (ถ้ามหาลัยที่ให้นักศึกษาหาที่ฝึกงานเอง) และก็อย่าลืมหาเพื่อนไปด้วยนะ 55555
แล้วเพื่อนๆที่มีประสบการณ์ฝึกงานเป็นไงบ้าง
เวลายังไม่มีงานทำ ทำไรกันหน่ะ???