สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
มีสิครับ สมัยก่อนม้าในไทยต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศ อย่างสมัยสุโขทัยหรืออยุธยาก็นำมาจากจีน
หรือจากอินเดีย แล้วก็มีการแบ่งชนชั้นของม้ากันด้วยครับ และม้าที่แข็งแรงเริ่มสายพันธุ์ฝรั่ง
เริ่มเข้ามาในสมัยอยุธยาแต่ช่วงแรกไม่นิยมเพราะตัวใหญ่เลี้ยงยาก พยศ คนไทยคุ้นชินกับม้าแกลบ
ม้าเล็กจากจีนอินเดียมาก่อน อยู่ๆมาเจอม้าฝรั่งก็เอาไม่อยู่จึงไม่นิยมในช่วงแรกแต่สุดท้ายม้าพวกนี้
ก็เข้ามามีบทบาทมากในประวัติศาสตร์ไทยตั้งแต่ใช้งานแบกขน งานขนส่งหรือกระทั่งออกศึก
การค้าม้านี่ก็มีการแบ่งระดับอย่างที่บอกครับ แล้วสมัยโบราณม้ามีการควบคุมจากทางการเสียด้วย
ถึงขนาดตั้ง"กรมม้า"มาดูแลกันเลย
ม้าที่มีมูลค่าไม่สูงคือพวก ม้าเล็ก ม้าแกลบ ส่วนมากสามัญชนทั่วๆไปมักใช้งานตามบ้าน งานแบกขน
ขี่เล่นๆไปไหนมาไหน แต่วิ่งไม่ค่อยเร็วความอึดก็น้อยหน่อย แต่ข้อดีคือกินไม่เปลือง
เทียบสมัยนี้คงเหมือนอีโค่คาร์ได้มั้งครับ
ถ้าเป็นบ้านของผู้มีอันจะกินหรือขุนนางระดับท่านขุน คุณหลวง ก็จะเลี้ยงม้าอีกระดับที่มีมูลค่าสูง
แข็งแรงวิ่งได้เร็วแต่มักไม่ค่อยใช้งานเท่าไหร่ นัยว่าเลี้ยงเพื่อประดับบารมีและไว้ขี่โชว์ ขุนนางบางคน
ก็อาจได้รับพระราชทานม้าจากพระเจ้าแผ่นดินไว้ใช้ส่วนตัวและงานราชการด้วยเช่นกัน
ส่วนม้าระดับสูงที่สีสวย แข็งแกร่ง รูปร่างดีตรงตามตำรา ก็จะมีเฉพาะชนชั้นสูงขุนนางผู้ใหญ่
หรือระดับแม่ทัพขึ้นไป โดยมากจะใช้ราชการโดยเฉพาะการศึกมีการแต่งองค์ทรงเครื่อง
ไม่เหมือนม้าทั่วๆไป แต่ในยามสงบก็เลี้ยงไว้เพื่อประดับบารมีไม่ค่อยใช้งานเพราะปกติ
จะมีม้างานอยู่แล้ว
ส่วนม้าของเชื้อพระวงศ์หรือพระเจ้าแผ่นดินคงไม่ต้องบอกว่าเป็นม้าระดับไหน
เพราะแน่นอนว่าต้องเป็นม้าที่เพอร์เฟคที่สุดในยุคนั้นเท่านั้นครับ
หรือจากอินเดีย แล้วก็มีการแบ่งชนชั้นของม้ากันด้วยครับ และม้าที่แข็งแรงเริ่มสายพันธุ์ฝรั่ง
เริ่มเข้ามาในสมัยอยุธยาแต่ช่วงแรกไม่นิยมเพราะตัวใหญ่เลี้ยงยาก พยศ คนไทยคุ้นชินกับม้าแกลบ
ม้าเล็กจากจีนอินเดียมาก่อน อยู่ๆมาเจอม้าฝรั่งก็เอาไม่อยู่จึงไม่นิยมในช่วงแรกแต่สุดท้ายม้าพวกนี้
ก็เข้ามามีบทบาทมากในประวัติศาสตร์ไทยตั้งแต่ใช้งานแบกขน งานขนส่งหรือกระทั่งออกศึก
การค้าม้านี่ก็มีการแบ่งระดับอย่างที่บอกครับ แล้วสมัยโบราณม้ามีการควบคุมจากทางการเสียด้วย
ถึงขนาดตั้ง"กรมม้า"มาดูแลกันเลย
ม้าที่มีมูลค่าไม่สูงคือพวก ม้าเล็ก ม้าแกลบ ส่วนมากสามัญชนทั่วๆไปมักใช้งานตามบ้าน งานแบกขน
ขี่เล่นๆไปไหนมาไหน แต่วิ่งไม่ค่อยเร็วความอึดก็น้อยหน่อย แต่ข้อดีคือกินไม่เปลือง
เทียบสมัยนี้คงเหมือนอีโค่คาร์ได้มั้งครับ
ถ้าเป็นบ้านของผู้มีอันจะกินหรือขุนนางระดับท่านขุน คุณหลวง ก็จะเลี้ยงม้าอีกระดับที่มีมูลค่าสูง
แข็งแรงวิ่งได้เร็วแต่มักไม่ค่อยใช้งานเท่าไหร่ นัยว่าเลี้ยงเพื่อประดับบารมีและไว้ขี่โชว์ ขุนนางบางคน
ก็อาจได้รับพระราชทานม้าจากพระเจ้าแผ่นดินไว้ใช้ส่วนตัวและงานราชการด้วยเช่นกัน
ส่วนม้าระดับสูงที่สีสวย แข็งแกร่ง รูปร่างดีตรงตามตำรา ก็จะมีเฉพาะชนชั้นสูงขุนนางผู้ใหญ่
หรือระดับแม่ทัพขึ้นไป โดยมากจะใช้ราชการโดยเฉพาะการศึกมีการแต่งองค์ทรงเครื่อง
ไม่เหมือนม้าทั่วๆไป แต่ในยามสงบก็เลี้ยงไว้เพื่อประดับบารมีไม่ค่อยใช้งานเพราะปกติ
จะมีม้างานอยู่แล้ว
ส่วนม้าของเชื้อพระวงศ์หรือพระเจ้าแผ่นดินคงไม่ต้องบอกว่าเป็นม้าระดับไหน
เพราะแน่นอนว่าต้องเป็นม้าที่เพอร์เฟคที่สุดในยุคนั้นเท่านั้นครับ
ความคิดเห็นที่ 17
สุดยอดของม้าน่าจะเป็นอาชาเหงื่อโลหิต Akhal-tekin หรือฉายา อาชาจากสวรรค์
เมื่อมันออกวิ่ง เหงื่อที่ไหลออกมาจะเป็นสีโลหิต ถิ่นกำเนิดอยู่ที่ประเทศเติร์กเมนิสถาน ปัจจุบันม้าพันธุ์นี้เหลือเพียงแค่ 1,250 ตัวในโลกเท่านั้น นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า เหงื่อของม้าพันธุ์นี้เป็นสีแดงเนื่องจากปรสิตที่เกาะที่ผิวหนัง ทำให้เหงื่อของม้ามีเลือดเจือปน
---------------------------
ส่วนการจัดลำดับของม้าราวกับจัดอันดับนางงามนั้น ในต่างประเทศที่ใช้ม้าในสงครามและในชีวิตประจำวัน เขาก็มีการแยกแยะกัน แต่ทางไทยเรานั้นแต่เดิมไม่ค่อยจะได้ใช้ม้าในชีวิตประจำวันกัน ส่วนในกองทัพก็มีทหารม้าอยู่บ้าง แต่ม้าพันธุ์ดีตัวโตๆนั้นก็ต้องสั่งซื้อจากแดนไกล เช่นจากเปอร์เซีย ทหารม้าจึงมีจำนวนจำกัด
มาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ เมื่อเริ่มรับวิธีการทางทหารมาจากฝรั่ง ก็เริ่มพัฒนาสายพันธุ์ม้าโดยซื้อมาจากต่างประเทศและเริ่มผสมพันธุ์ บำรุงพันธุ์ขึ้นในประเทศ แต่ทหารม้าของเรานั้นไม่ได้ออกรบในสงครามใหญ่แบบของฝรั่ง ก็มาถึงยุคของรถยนต์และรถเกราะ เมื่อมีการสั่งรถเกราะเข้ามาก็จึงนำไปสังกัดไว้ในกรมทหารม้า กลายเป็นทหารม้าและยานเกราะ นัยว่าทหารเหล่านี้ไม่ต้องเดิน ไม่ขี่ม้าก็ขี่รถเกราะ และในต่างประเทศยังมีการเรียกทหารม้าอากาศ ก็คือกรมทหารม้าเปลี่ยนจากม้าและยานเกราะไปนั่งเฮลิคอปเตอร์กันชิปแทน
ม้าในกองทัพสยาม สมัยรัชกาลที่ 6
เมื่อมันออกวิ่ง เหงื่อที่ไหลออกมาจะเป็นสีโลหิต ถิ่นกำเนิดอยู่ที่ประเทศเติร์กเมนิสถาน ปัจจุบันม้าพันธุ์นี้เหลือเพียงแค่ 1,250 ตัวในโลกเท่านั้น นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า เหงื่อของม้าพันธุ์นี้เป็นสีแดงเนื่องจากปรสิตที่เกาะที่ผิวหนัง ทำให้เหงื่อของม้ามีเลือดเจือปน
---------------------------
ส่วนการจัดลำดับของม้าราวกับจัดอันดับนางงามนั้น ในต่างประเทศที่ใช้ม้าในสงครามและในชีวิตประจำวัน เขาก็มีการแยกแยะกัน แต่ทางไทยเรานั้นแต่เดิมไม่ค่อยจะได้ใช้ม้าในชีวิตประจำวันกัน ส่วนในกองทัพก็มีทหารม้าอยู่บ้าง แต่ม้าพันธุ์ดีตัวโตๆนั้นก็ต้องสั่งซื้อจากแดนไกล เช่นจากเปอร์เซีย ทหารม้าจึงมีจำนวนจำกัด
มาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ เมื่อเริ่มรับวิธีการทางทหารมาจากฝรั่ง ก็เริ่มพัฒนาสายพันธุ์ม้าโดยซื้อมาจากต่างประเทศและเริ่มผสมพันธุ์ บำรุงพันธุ์ขึ้นในประเทศ แต่ทหารม้าของเรานั้นไม่ได้ออกรบในสงครามใหญ่แบบของฝรั่ง ก็มาถึงยุคของรถยนต์และรถเกราะ เมื่อมีการสั่งรถเกราะเข้ามาก็จึงนำไปสังกัดไว้ในกรมทหารม้า กลายเป็นทหารม้าและยานเกราะ นัยว่าทหารเหล่านี้ไม่ต้องเดิน ไม่ขี่ม้าก็ขี่รถเกราะ และในต่างประเทศยังมีการเรียกทหารม้าอากาศ ก็คือกรมทหารม้าเปลี่ยนจากม้าและยานเกราะไปนั่งเฮลิคอปเตอร์กันชิปแทน
ม้าในกองทัพสยาม สมัยรัชกาลที่ 6
แสดงความคิดเห็น
ม้าในสมัยก่อนมีแบบแบ่งเกรด เช่น ม้าตลาด ม้าหรู ม้าสปอร์ต เหมือนรถยนต์สมัยนี้ไหมครับ
มันจะมีติ่งม้าเหมือนติ่งรถยนต์สมัยนี้ไหมครับ
ประมาณว่า ม้าข้าซื้อง่ายขายคล่อง ราคาไม่ตก ม้าข้าไม่กั๊กออฟชั่นนะเฟ้ย ม้าข้าเป็นม้าแรงสูง ม้าข้าประหยัดหญ้า ม้าข้าวิ่งไว