(ขอนุญาตใช้ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต)
เมื่อสมัยเรายังเด็กน้อย ทุก ๆ ปิดภาคเรียนพ่อแม่มักจะส่งไปอยู่กับตายายที่ต่างจังหวัด เพื่อให้ได้ใกล้ชิดกับญาติผู้ใหญ่
ไปอยู่เหนือบ้างอิสานบ้าง ในวัยเด็กพวกเรามักจะเล่นกันสนุกสนานจนลืมเวลา ทำให้ตายายต้องถือไม้เรียวมาตามเข้าบ้าน
เป็นประจำ ยิ่งเวลาปิดเทอมช่วงฤดูหนาวก็จะได้เจอกับการก่อกองไฟผิงอยู่หน้าบ้านแล้วเอามัน เอาเผือกมาอังไฟกินร้อน ๆ
ยายเป่าเผือกให้ฟู่ ๆ แล้วป้อนใส่ปากเราคำ ใส่ปากน้องชายคำ มันอร๊อย อร่อย ^^ เช้ามาตายายพาจูงควายเข้านา มีลูกควาย
เดินตาม น้องชายก็ขี่หลังควายไปนา แลดูรักควายตัวนี้มาก พร้อมตั้งชื่อให้ว่า “อีเหลียม” เราก็วิ่งนำหน้าลิ่ว แวะดูรูปูนาตามคันนา
เอามือแหย่รูปู ปูหนีบมือ ร้องไห้โฮ 555
เรื่องที่จะเล่าวันนี้เกี่ยวกับควายที่ชื่อ อีเหลียม ขอใช้คำว่าอีเหลียมเพราะในภาคอิสานเรียกอีแบบนี้ก็ไม่ใช่คำหยาบอะไร
น้องชายเรายังเด็กมากตอนที่ขี่หลังอีเหลียม แต่อีเหลียมก็เหมือนจะเข้าใจภาษาคน มันจะนั่งลงให้น้องชายเราปีนขึ้น
แล้วค่อย ๆ เดินจากบ้านไปนา มันก็ดูรักน้องชายเราเหมือนกัน ใครว่าควายวิ่งเล่นไม่เป็นไม่เชื่อหรอกเพราะอีเหลียมนี่แหละ
ที่มันวิ่งเล่นกับน้องชายเราตอนเด็ก อาจจะเพราะวัยใกล้เคียงกัน อีเหลียมเป็นลูกควายที่อายุไม่กี่ปี ความเป็นเด็กของมันยังมีอยู่
แต่มันไม่ได้วิ่งเล่นด้วยความปราดเปรียวเหมือนสุนัขหรือสัตว์ชนิดอื่น เพราะควายเป็นสัตว์ที่เชื่องช้า กว่าจะก้าว กว่าจะอ้าปาก
และเมื่อใกล้เปิดเทอมก็ถึงเวลาล่ำลา น้องชายมักจะเข้าไปในคอกแล้วกอดหอมแล้วบอวก่า “ปิดเทอมจะกลับมาใหม่เด้อ”
แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลานแต่ละคนก็โตขึ้น ปิดเทอมบางครั้งก็ไม่ได้กลับบ้านยาย เพราะบางครั้งก็กลับบ้านปู่ย่าที่เหนือบ้าง
ดังนั้นจึงไม่ได้กลับบ้านยายที่อิสานในทุกสามเดือนอีกแล้ว จะเหลือแค่ปีละครั้งหรือนานทีครั้ง ซึ่งเมื่อพวกเราโตขึ้นและ
กลับบ้านยายก็ไม่ได้มีช่วงเวลาที่ไปเล่นกับควายหรือไปนาเพราะมีกิจกรรมอื่น ๆ ให้ทำอีกเยอะแยะไปหมด
เมื่ออีเหลียมอายุได้ประมาณ 5 ปี ถือว่าเป็นช่วงที่โตเต็มวัยใช้แรงงานได้เต็มที่ เรากับน้องชายก็ได้ไปบ้านยายอีกครั้ง
ซึ่งครั้งนี้ น้องชายเราก็โตตามวัยใกล้เคียงกับควาย (ไม่แน่ใจอายุควายนับแบบไหน) เมื่อไปถึงทักทายตายายหอมกอด
จนพอใจ พวกเราก็ลงจากบ้านไม้ยกพื้นแล้วอ้อมไปทางด้านหลังของบ้าน ก็เจอกับคอกควายซึ่งมีควายอยู่ 3 ตัว ขนาด
ไล่เลี่ยกัน ดูแล้วไม่เห็นความแตกต่างและจำไม่ได้เลยว่าอีเหลียมคือตัวไหน แต่ทันใดนั้น เมื่อน้องชายเราโผล่หน้าเข้า
ไปในคอก ปรากฏว่าควายตัวหนึ่งค่อย ๆ เดินเข้ามาหาแล้วยื่นจมูกมาปะทะกับหน้าน้องชาย เราก็ตกใจรีบคว้าแขนน้องชาย
ออกห่างจากคอก แล้วควายก็ส่งเสียงร้อง ออ ออ (ประมาณนี้) น้องชายก็สะบัดแขนเราออกแล้วมุดเข้าคอกควายวิ่งไปกอด
ควายตัวนั้นก็ร้อง ออ ออ แล้วพยักหน้าเอาจมูกถูตัวน้องชายเรา
“อีเหลียมแม่นบ่?” น้องชายเราลูบควายตัวนั้นพร้อมถามว่าใช่อีเหลียมหรือเปล่า
มันส่งเสียงร้อง ออ ออ แล้วยายลงมาก็บอกว่า เอ้า จำกันได้ด้วยหรอเนี่ย คิดว่าจะลืมหน้ากันไปแล้วซะอีก นี่คือสิ่งที่เราเห็น
ว่าควายเป็นสัตว์ความจำดี จริง ๆ
ควายอีเหลียม
เมื่อสมัยเรายังเด็กน้อย ทุก ๆ ปิดภาคเรียนพ่อแม่มักจะส่งไปอยู่กับตายายที่ต่างจังหวัด เพื่อให้ได้ใกล้ชิดกับญาติผู้ใหญ่
ไปอยู่เหนือบ้างอิสานบ้าง ในวัยเด็กพวกเรามักจะเล่นกันสนุกสนานจนลืมเวลา ทำให้ตายายต้องถือไม้เรียวมาตามเข้าบ้าน
เป็นประจำ ยิ่งเวลาปิดเทอมช่วงฤดูหนาวก็จะได้เจอกับการก่อกองไฟผิงอยู่หน้าบ้านแล้วเอามัน เอาเผือกมาอังไฟกินร้อน ๆ
ยายเป่าเผือกให้ฟู่ ๆ แล้วป้อนใส่ปากเราคำ ใส่ปากน้องชายคำ มันอร๊อย อร่อย ^^ เช้ามาตายายพาจูงควายเข้านา มีลูกควาย
เดินตาม น้องชายก็ขี่หลังควายไปนา แลดูรักควายตัวนี้มาก พร้อมตั้งชื่อให้ว่า “อีเหลียม” เราก็วิ่งนำหน้าลิ่ว แวะดูรูปูนาตามคันนา
เอามือแหย่รูปู ปูหนีบมือ ร้องไห้โฮ 555
เรื่องที่จะเล่าวันนี้เกี่ยวกับควายที่ชื่อ อีเหลียม ขอใช้คำว่าอีเหลียมเพราะในภาคอิสานเรียกอีแบบนี้ก็ไม่ใช่คำหยาบอะไร
น้องชายเรายังเด็กมากตอนที่ขี่หลังอีเหลียม แต่อีเหลียมก็เหมือนจะเข้าใจภาษาคน มันจะนั่งลงให้น้องชายเราปีนขึ้น
แล้วค่อย ๆ เดินจากบ้านไปนา มันก็ดูรักน้องชายเราเหมือนกัน ใครว่าควายวิ่งเล่นไม่เป็นไม่เชื่อหรอกเพราะอีเหลียมนี่แหละ
ที่มันวิ่งเล่นกับน้องชายเราตอนเด็ก อาจจะเพราะวัยใกล้เคียงกัน อีเหลียมเป็นลูกควายที่อายุไม่กี่ปี ความเป็นเด็กของมันยังมีอยู่
แต่มันไม่ได้วิ่งเล่นด้วยความปราดเปรียวเหมือนสุนัขหรือสัตว์ชนิดอื่น เพราะควายเป็นสัตว์ที่เชื่องช้า กว่าจะก้าว กว่าจะอ้าปาก
และเมื่อใกล้เปิดเทอมก็ถึงเวลาล่ำลา น้องชายมักจะเข้าไปในคอกแล้วกอดหอมแล้วบอวก่า “ปิดเทอมจะกลับมาใหม่เด้อ”
แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลานแต่ละคนก็โตขึ้น ปิดเทอมบางครั้งก็ไม่ได้กลับบ้านยาย เพราะบางครั้งก็กลับบ้านปู่ย่าที่เหนือบ้าง
ดังนั้นจึงไม่ได้กลับบ้านยายที่อิสานในทุกสามเดือนอีกแล้ว จะเหลือแค่ปีละครั้งหรือนานทีครั้ง ซึ่งเมื่อพวกเราโตขึ้นและ
กลับบ้านยายก็ไม่ได้มีช่วงเวลาที่ไปเล่นกับควายหรือไปนาเพราะมีกิจกรรมอื่น ๆ ให้ทำอีกเยอะแยะไปหมด
เมื่ออีเหลียมอายุได้ประมาณ 5 ปี ถือว่าเป็นช่วงที่โตเต็มวัยใช้แรงงานได้เต็มที่ เรากับน้องชายก็ได้ไปบ้านยายอีกครั้ง
ซึ่งครั้งนี้ น้องชายเราก็โตตามวัยใกล้เคียงกับควาย (ไม่แน่ใจอายุควายนับแบบไหน) เมื่อไปถึงทักทายตายายหอมกอด
จนพอใจ พวกเราก็ลงจากบ้านไม้ยกพื้นแล้วอ้อมไปทางด้านหลังของบ้าน ก็เจอกับคอกควายซึ่งมีควายอยู่ 3 ตัว ขนาด
ไล่เลี่ยกัน ดูแล้วไม่เห็นความแตกต่างและจำไม่ได้เลยว่าอีเหลียมคือตัวไหน แต่ทันใดนั้น เมื่อน้องชายเราโผล่หน้าเข้า
ไปในคอก ปรากฏว่าควายตัวหนึ่งค่อย ๆ เดินเข้ามาหาแล้วยื่นจมูกมาปะทะกับหน้าน้องชาย เราก็ตกใจรีบคว้าแขนน้องชาย
ออกห่างจากคอก แล้วควายก็ส่งเสียงร้อง ออ ออ (ประมาณนี้) น้องชายก็สะบัดแขนเราออกแล้วมุดเข้าคอกควายวิ่งไปกอด
ควายตัวนั้นก็ร้อง ออ ออ แล้วพยักหน้าเอาจมูกถูตัวน้องชายเรา
“อีเหลียมแม่นบ่?” น้องชายเราลูบควายตัวนั้นพร้อมถามว่าใช่อีเหลียมหรือเปล่า
มันส่งเสียงร้อง ออ ออ แล้วยายลงมาก็บอกว่า เอ้า จำกันได้ด้วยหรอเนี่ย คิดว่าจะลืมหน้ากันไปแล้วซะอีก นี่คือสิ่งที่เราเห็น
ว่าควายเป็นสัตว์ความจำดี จริง ๆ