ประสบการณ์ การนั่งกรรมฐานคนเดียว กับศพ (อาจารย์)

สวัสดีค่ะ ชื่อเม้านะคะ (นามสมมุติ) จะขอเล่าประสบการณ์ที่ผ่านมาแล้วประมาณ3เดือน ที่ได้พบเจอมากับตัวเองแะไม่เคยลืมสัมผัส เสียง กลิ่น และแสงได้เลยค่ะ เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ อาจจะมีคนเคยไป หรือสัมผัสมาแล้ว ก็จะขอเล่าในส่วนที่ตัวเองได้เจอมากับตัว โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ หากมีความคิดที่แตกต่างหรือจะบอกว่าแหกตาก็ไม่ว่ากันค่ะ เพราะเม้าเชื่อค่ะว่าที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นสิ่งที่เรียกว่า ผี จริงๆค่ะ

ปกติเม้าจะชชอบทำบุญกับพี่สาวค่ะ ก็ส่วนมากพี่สาวจะชอบชวนไปเวลาว่างๆ บางวันไป3-4วัดเลยก็มี ให้อาหารปลา ถวายสังฆทาน อะไรที่ทำให้เราสุขใจ ทำแล้วสบายใจ ไม่ฟุ้งซ่าน เป็นหทางดับทุกข์ที่ดีที่สุดเลยค่ะ จนวันที่ 4/5/60 ที่ผ่านมา หลวงพี่ที่รู้จัก ได้ติดต่อพี่สาวมา หลังจากที่ไม่ได้ติดต่อกันมานาน เห็นท่านบอกว่า กำลังนั่งสมาธิอยู่ แล้วเกิดจิตนึกถึงพี่สาวเรา ต้องบอกให้รับรู้  ให้มาลองปฏิบัติธรรมที่วัดที่หลวงพี่อยู่ค่ะ พี่สาวเราก็เป็นอันตกลงเลยค่ะ เพราะท่านอาจจะรู้ก็ได้ค่ะ ว่าตอนนี้กำลังมีทุกข์ จึงตัดสินใจไปกันค่ะ กรุงเทพ-พิจิตร

ไปกัน 4 คนค่ะ พี่สาวเรา เรา เฮีย (เฮียเป็นคนชอบทำบุญค่ะ จิตใจ การคิด การพูดแกเป็นคนที่ดีมาก) และพี่สาวที่อยู่ข้างบ้านค่ะ เห็นบอกมีทุกข์เลยไปด้วย เนื่องจากพี่สาวเราเป็นคนชวน

วัดแห่งหนึ่ง จังหวัดพิจิตร 4/5/60

ออกเดินทางตอนตี4 ถึงประมาณ6 โมงเห็นจะได้ (อันนี้ไม่แน่ใจนะคะว่าตรงไหม เพราะผ่านมาหลายเดือนก็ลืมบ้างแล้วล่ะค่ะ) ก็ไปรับหลวงพี่ที่กุฏิก่อนค่ะ อันนี้ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงพักอยู่คนละที่กับวัด เม้าก็ไม่ได้สนใจจุดนี้ซักเท่าไหร่ เมื่อถึงวัดแล้ว ก็เป็นอย่างที่เราคิดจริงๆค่ะ ป่ารอบด้าน และในวัดไม่ใช่แบบวัดทั่วไปค่ะ เพราะเป็นวัดป่า เนื้อที่หลายไร่ และเงียบมาก พอมาถึงก็จัดการอะไรนิดหน่อยซึ่งจำไม่ค่อยได้ค่ะว่าทำอะไร หลวงพี่ก็แนะว่าขั้นแรก จะต้องนั่งวิปัสสนาญาณค่ะ (อันนี้ยอมรับค่ะว่าไม่รู้จริงๆ ประมาณเปิดทวาร ฝึกจิตให้ผ่าน เพื่อทำขั้นสุดท้ายค่ะ

ทีแรกก็เดินจงกลมค่ะ ท่องตามที่พี่เลี้ยงบอก ก็เดินไปมาในศาลา คนก็เยอะพอสมควรเลยค่ะ ความรู้สึกตอนที่เริ่มนั่ง เพื่อให้ผ่านนั้น ต้องท่อง "พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ ถูกหนอ" จนเร็วขึ้นเหลือแต่คำว่า "หนอ" ค่ะ รัวๆ จนรู้สึกหน้ามืด ตัวเกร็ง หายใจไม่ออก แล้วก็ล้มลงไปเลยค่ะ (ต้องลองดูค่ะว่ารู้สึกแบบไหน เราอธิบายได้ไม่ค่อยเก่งนัก) ส่วนเฮียเป็นคนแรกเลยค่ะที่ผ่านในหลายๆคน แถมมีอาการรุนแรงมาก หลวงพี่บอกว่าเฮียมีบุญ บารมีเยอะ

จะขอเล่าแบรวบรัดนะคะ ตอนนี้ 23 : 43 น. อยู่คนเดียวด้วย เล่าเอง จะหลอนเอง ฮ่าๆ

หลังจากผ่านขั้นแรกไป ก็มีพี่เลี้ยงเอาป้ายมาให้เลือก เป็นป้ายแขวนคอ พร้อมกับบอกว่า

"เป็นชื่อของอาจารย์ที่จะมาสอน"

ไอ้เราก็มองป้ายที่เลือกมาเป็นชื่อของอาจารย์ ด้านบนเขียนว่า สาย 4 นี่ก็เริ่มมองหาคนล่ะ อาจารย์ของเราจะเป็นยังไงน้อ ก่อนจะออกจากศาลาก็มีพี่คนนึง (พี่แกอยู่ปฏิบัติยาว10วัน)  พี่แกเดินมาถามว่า

"ได้สายอะไร อาจารย์อะไรหรอ?"

พี่แกยิ้มแบบแปลกๆ เราก็บอกไป

"สาย4ค่ะพี่ แล้วอาจารย์จะให้ทำอะไรหรอคะ นั่งสมาธิในป่าแล้วอาจารย์ยืนสอนงี้อ่อคะ...?"

ในใจเราอ่ะ นึกว่าจะนั่งอยู่บนหิน แล้วอาจารย์จะยืนสอนไรงี้ (โธ่ว คิดได้ไง ประสบการณ์แปลกใหม่ไปไหม?)

พี่แกไม่ตอบแต่ยิ้มกรุ่มกริ่มแล้วขำเบาๆ หื้ม อะไรของพี่เขา ก็เลยเดินออกมาด้านนอก เพื่อที่จะไปกินนข้าว ถึงเวลาพักเริ่มปฏิบัติขั้นสุดท้ายตอนทุ่มนึง ก่อนเวลาที่จะมาถึงก็เป็นเวลานั่งพัก เสวนากันต่างๆนาๆ หลวงพี่ที่รู้จักกันก็มานั่งที่เก้าอี้ เรา4คนนั่งด้านล่าง แล้วถามนู่นนี่นั่น

ก็ได้ถามนะว่าให้ทำอะไรคะ จนหลวงพี่ได้เฉลยว่า

"ไอ้ป้ายทที่ห้อยคอโยมเนี่ย.. เป็นชื่อของคนที่ตายแล้วนะ แต่เป็นอาจารย์ที่จะมาสอนโยม"

จ้า ในหัวตอนนั้นแบบ ห้ะ อะไรนะ ก็งง.กับสิ่งที่หลวงพี่บอก ก็มองหน้ากับพวกพี่ๆ อะไรคือการที่อาจารย์เสียแล้ว จะมาสอน? จะมาสอนแบบไหนล่ะเนี่ หลวงพี่ก็เฉลยว่า

"เราจะต้องไปนั่งสมาธิ(กรรมฐาน)กับศพของอาจารย์ที่เสียแล้วนะ"

ห่ะ!! ในใจตอนนั้นตกใจ แล้วก็สงสัยมาก อะไรกัน ไปนั่งกับอาจารย์ -_-!! แต่ความพีคมันอยู่ตรงที่แต่ล่ะคนได้กันคนล่ะสาย คนละอาจารย์ ถามว่าความรู้สึกตอนนั้นกลัวมั้ย กลัวมาก แต่ไม่มีอาการใดๆออกมา ซึ่งมันไม่ทำก็ไม่ได้ เพราะยังไงก็เลี่ยงไม่ได้ ถ้าเลือกอาจารย์แล้ว ถ้าไม่ทำคือมีตามถึงที่ เพราะหลวงพี่เล่าว่าเคยมีคนลองดีค่ะ ไม่ไปนั่งก็โดนตามถึงบ้าน (อยากรู้หลังไมค์มาก็ได้ค่ะ ฮ่าๆ) หลังจากนั้นพอทุ่มนึงก็ถึงเวลาปฏิบัติกรรมฐาน

อากาศในวันนั้นโ ค ต ร เป็นใจค่ะ สัญญาณบ่งบอกถึงฝนจะตก แต่ดีที่ยังไม่มีลม แต่รู้สึกได้ว่าฝนจะตกแน่นอนในคืนนี้ เมฆนี่พร้อมใจกันตั้งเค้ารอวันตกลงมาซะด้วย

แต่ละคนก็จะมีพี่เลี้ยงไปส่งประมาณ6-7คน (ส่วนมากก็เคยทำมาก่อนแล้ว) ซึ่งแต่ล่ะที่อยู่ห่างกันเป็นกิโล ระหว่างทางเดินก็มีแค่ถนน สองข้างทางมีต้นไม้รายล้อม มืดมิด เงียบสนิท มีแค่พี่เลี้ยงที่มีไฟฉายอันสองอันนมือเพื่อให้เห็นถนนได้เพียงนิดหน่อย ในใจนี่ต้องสงบให้ถึงที่สุด (พยายามเก๊ก ฮ่าๆ) กลัวมาก แบบ เฮ้ย นี่เราจะได้ทำจริงๆอ่อเนี่ย พยายามกลั้นใจ ไม่กลัว ไม่ออกอาการใดๆ คิดตลอด เอาน่า ยังไงก็ต้องผ่านไป ใจดีสู้ผี

พอถึงแล้วก็มีสะพานไม้เล็กๆข้ามไปประมาณสิบกว่าก้าว รอบๆมีแต่ต้นไม้ พอถึงเท่านั้นละจ้ะ อือหือ อกอิชั้นจิแตก พยายามไม่กลัวให้ถึงที่สุด เท่าที่ตาสังเกตได้รอบๆนะ จะเป็นหลังคาสังกะสีและมีเสาร์ไม่กี่ต้น ด้านซ้ายมีชุดไทย สะไบสีเขียว กระโปรงสีไรไม่รู้จำไม่ได้ เพราะแบบเห็นปุ้บ หันหน้าหนี ฮ่า ชุดห้อยอยู่ตรงเสาร์ ด้านขวามีโรงเปล่า (พี่เลี้ยงบอกไม่มีอะไรอยู่ด้านใน) ทำจากไม้ ล็อคกุญแจไว้ถ้าจำไม่ผิด อยู่ในหลุมซึ่งไม่ได้กลบดิน ตรงหน้ามีกุฎอันเล็กๆห้อยอยู่ ถัดไปนิดนึงด้านหน้ากุฏมีกระถางธูปและของอีกนิดหน่อย ถัดไปนิดถึงมีโรงศพซึ่งมีศพของอาจารย์อยู่ด้านใน แต่ไม่ได้กลบดิน ถัดไปก็เป็นโรงอีกอันนึง ซึ่งอยู่บนสุด (น่าจะตั้งอยู่บนโต๊ะสูงๆ เอาไว้สำหรับถ้าฝนตกน่าจะยกโรงของอาจารย์ขึ้นไว้ด้านบน) ด้านหน้าโรงมีรูปของอาจารย์วางอยู่ ด้านซ้ายถัดเข้ามาก็มีรูปของคนที่เสียแล้ววางเรียงรายอยู่ ด้านข้างเป็นไม้ที่ถูกตอกเรียงกันเป็นผนังซึ่งมีข้างเดียว บรรยากาศโ ค ต ร จะวังเวง มืด เงียบ อือหือ จะเป็นลม พี่เลี้ยงก็จัดแจงเอาเบาะวางไว้ในกุฏ ให้เราเข้าไปนั่งขัดสมาด หลับตาลง แล้วเอากุฏลง แล้วเริ่มโดยการท่องบทสวด ก่อนจะเริ่มพี่เลี้ยงถามว่า "ดูหน้าอาจารย์ไหม" แหม เราตอบทันทีทันใดค่ะว่า "ไม่ค่ะ!!" โธ่ ใครจะกล้าดู พอเริ่มบทสวด จำได้แค่ว่า ให้ผีทั้งป่าช้าลุกขึ้นมาหลอก มาหลอน แบบจัดหนัก ให้อาจารย์มาสอน ให้ได้ข้อใดข้อนึงกลับไป ประมาณนี้ค่ะ มีกฎด้วยนะ จะไม่ลืมตา ไม่วิ่งหนี ไม่ออกจากกุฏ อะไรแบบนี้ค่ะ พี่เลี้ยงบอกถ้าอยากรู้ "ให้ลองลืมตา" บ๊ะ ใครมันจิกล้าลืม!!  หลังจากสวดจบ พี่เลี้ยงก็มากระซิบผ่านกุฏว่า

"ถ้าเกิดอะไรขึ้นอย่าตกใจนะ ท่องหนอไว้ดีสุด หนออย่างเดียวเลยนะ หนอรัวๆเลย"

อีนี่ตกใจล่ะ ตายล่ะ พี่เค้าจะไปกันล่ะ ตกใจแต่ต้องมีสมาธิให้มากที่สุด พยายามไม่กระโตกกระตาก

"หนออย่างเดียวเลยหรอคะ!"

ถามไปก็เท่านั้น พวกพี่เลี้ยงเดินหนีแล้วค่ะ มาส่งแล้วก็ไปพากันเดินออกไปทั้งหมด ซึ่งตอนนี้เหลือเราแค่คนเดียวที่นั่งอยู่ในกุฏ การนั่งจะต้องกำหนดจิตไปที่คำว่า พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ ถูกหนอ

พอพี่เลี้ยงไปเท่านั้นล่ะ หลับตาปุ้บ เงียบสนิท ขนลุก วังเวงจนเมื่อไหร่จะครบ 2 ชม. ทั้งที่เพิ่งเริ่ม (ลืมบอก ต้องนั่ง 2 ชม. แล้วพี่เลี้ยงถึงจะมารับ)

ไอ้เราก็ "พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ" รัวๆเลยจ้ะ แต่โคตรเวรกรรม คำสุดท้ายดันลืมไปสะดื้อๆ ก็ท่องแค่ 3 คำนี้ไปมา


ในใจก็คิดแล้วนะ 'จะเจอแบบไหนน้อ'

เท่านั้นล่ะ นั่งไม่ถึงยี่สิบนาที รูหูอันกว้างๆของข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียง

ก้อกแก้กๆ ก้อกๆแก้ก ซึ่งรู้เลยว่าเสียงกุญแจโรงเปล่าด้านหลัง อือหือ อีนี่ก็หนอรัวๆเลยจ้ะ ตกใจแต่ทำไรไม่ได้ น้ำตาจะไหล หัวใจตอนนี้อยู่ตาหลุ่มเสียแล้ว ก็หนออย่างเดียวรัวๆไปจนปากแห้งคอแห้ง ยังไม่พอนะ ไม่ให้หายใจหายคอ ต่อด้วยเสียงเคาะโรงด้านหลัง

ก๊อก ก๊อก ก๊อก 4-5 ครั้ง

ห่วยยยย เอาแล้ววววว มาแบบนี้เลยรึ

ก็พยายามไม่คิดอะไร ก็หนอๆวนไปวนมา นั่งจนเหน็บแหลก ขาซ้ายชาไป จนชาไปครึ่งท่อนล่าง ไม่กล้าขยับ โธ่ ในใจเมื่อไหร่จะมีคนมารับ ใจจะขาด ไม่กล้ากระดุกกระดิกเลยด้วยซ้ำ ประมาณครึ่งชม.ผ่านไป ได้ยินเสียงคนเดินไปเดินมา เสียงที่แบบ ฟังรู้เลยว่าไม่ใช่เสียงคนเดิน เสียงที่ไร้น้ำหนักและเบาหวิว สักพักได้ยินเสียงมอไซต์ รถยนต์ แว้นไปแว้นมา ก็คิดนะ ในวัดป่ามีถนนใหญ่ด้วยหรอเนี่ย แต่จิตจะหลุดหลายรอบจริงๆต้องพยายามท่องหนอ กำหนด ดึงจิตกลับมา (มารู้ทีหลังว่าแถวนี้เคยมีวัยรุ่นขับมอไซต์ละโดนยิงตาย)

สักพักติดต่อกันเลยค่ะ มีเสียงคนคุยกันซุบซิบๆ อีนี่ก็ เฮ้ย ครบสองชั่วโมงล่ะหรอเนี่ย พี่มารับแล้ว แล้วเสียงก็เงียบหายไป เพราะเสียงมันเบาหวิว เสียงที่ซุบซิบ เสียงที่ไม่น่าจะใช่คน จ้า อีนี่ก็ ไม่ใช่ล่ะๆ ก็พยายามนั่งต่อ ในใจนี่ถึงถึงตอนที่พี่เลี้ยงมารับ นึกถึงตอนขึ้นรถกลับบ้าน ผ่านไปอีก ไม่รู้เวลาเท่าไหร่

เสียงดนตรีไทย!!! ลอยมาปะทะขี้หู อือหือ เอางี้เลยหรือ เอาแบบนี้เลยหรืออออออ ได้ยินเท่านั้นแหละ หนอรัวๆจนปากนี่แห้งเกรอะกรัง คอแห้ง ไม่กล้าหยุดกลืนน้ำลายเลยค่า สักพักก็เงียบไง  อีนี่ก็เริ่มผ่อนตัวเอง ปล่อยตัวตามสบาย เอาน่า เดี๋ยวก็ผ่านไป

สักพัก เสียงเด็กน้อย เหมือนยืนคุยกันอยู่ด้านหลัง เป็นเสียงเด็กคุยกัน อือหือ เอาแบบนี้อีกแล้วหรา!  แต่ต้องใจแข็ง พยายามไม่คิดอะไร เสียงเงียบหายไปเกือบชั่วโมง จะบอกก่อนว่ามันเงียบมาก สงัด ไม่มีเสียงลม ไม่มีลมพัด ไม่มีเสียงอะไรเลย

พีคสุดที่ได้เจอเลยนะ หลังจากเสียงเงียบหายไป อีนี่ก็รู้สึกได้ละ ได้ยินเสียงเดินสามสี่ก้าว ด้านนอกกุฏใกล้ๆเลยจ้า เดินวนไปทางขวา(ซึ่งบอกได้เลยว่าได้ยินข้างหลังตรงกุฎเลย ไม่น่าจะมีใครมา ถ้ามาต้องได้ยินเสียงเท้ามาก่อนอยู่แล้ว) ละก็เงียบไปแปปนึง แต่รู้สึกได้เลยว่าอาจารย์ยังไม่ไป

มือ มือที่อ่อนนุ่มสัมผัสเบาหวิว สัมผัสอยู่ด้านนอกกุฏ ก่อนจะค่อยๆปะทะที่หลังเบาๆ ปะทะเสร็จก็หายไป โอ้ย อีนี่ก็สะดุ้งสุดตัว หนอรัวๆเลยจ้า พยายามไม่จิตหาย แล้วพยายามปล่อยตัวตามสบาย จะบอกว่าลมไม่มี นิ่งสนิท ยัง ยังไม่จบ มือแบบเดิมเลยจ้า มาสัมผัสวางที่แขนซ้าย รู้สึกได้ว่ามันเย็นนิดหน่อย ก่อนจะหายไป แต่ไอ้เราก็นั่งท่องไป ทั้งรู้สึกโล่งใจ บอกไม่ถูก แบบรู้ว่ายังไงเค้าก็คงไม่ทำอะไรเรา คิดในใจละ

"ยังดีที่อาจารย์ยังมาสัมผัสเรา"

ก็นั่งต่อไปเรื่อยๆ ความกลัวก็ยังไม่หายไป เหน็บก็มาๆหายๆ เจ็บปวดรวดร้าวเหลือเกิน ผ่านไปจนน่าจะเกือบครบ2ชม. เสียงจ้ะ เสียงดังที่โรงด้านหลังอีกแล้ว มาแค่แปปเดียว ก็หายไป

ตามด้วยเสียงดัง ปังๆ เป็นเสียงของผนังด้านซ้ายที่เป็นไม้ เหมือนมันสั่นหรืออะไรสักอย่างเนี้ยแหละ ละก็หายไป ในใจนี่แบบ โอ้ย ขาก็ปวด คอก็แห้ง เหงื่อนี่ได้ได้เป็นกะละมังเลยอ่ะ อากาศร้อนมาก ไม่มีลม ไม่มีอะไรเลย เมื่อไหร่หนอ ที่พี่เลี้ยงจะมารับ หลังๆที่ใกล้จะถึงเวลา ลมเริ่มมาล่ะ ฝนจะตก ผ้ากุฏก็ปลิวจ้ะ โอ้ย ใจจิขาด ขออย่างเดียว อย่าให้หลุดเล้ย ลมเริ่มมา เริ่มปวดหัวสองข้าง จะอ้วก จะวูป แต่ต้องใจแข็ง แล้วสวรรค์ก็มาโปรด แสงจ้ะ แสงขาวๆแวบมา อีนี่แบบดีใจมาก แต่เอะใจ อ้าว ทำไมไม่มีเสียงคนเดิน ไม่ใช่ล่ะ โอ้ย ยังอีกหรือนี่ ท่องหนอจนปากแห้งยิ่งกว่าแห้งแล้ว

จนอีกสักพัก เสียงคนเดินมาเป็นกลุ่ม เสียงคุยกัน แสงไฟฉาย ใช่เลย อยากตะโกนโห่ร้องดีใจมากวินาทีนั้น ใช่จริงๆ พี่เลี้ยงมาแล้ว ละไอ้เราก็ถามนะ ลืมตาได้ยังคะ ไอ้เราก็ลืมตา แล้วแบบ โล่งใจ เป็นอะไรที่ดีใจมาก ก็สวดไปบทนึง แล้วเดินออกมา อ้อลืม ถ้าผ่านจุดนี้ไปได้ สามารถขอพรได้หนึ่งข้อ เป็นพรวิเศษ ตอนที่ข้ามสะพาน อีนี่ก็ถามล่ะ

"ตอนที่หนูนั่งอยู่มีใครมาตรวจอะไรมั้ยคะ"

เพราะสงสัยมาก หรือจะเป็นมือพระ เฮ้ย จิบ้าหรือ พระจะมาจับตัวได้อย่างไรกัน (เพราะกลัวมากเลยคิดอะไรแบบนี้)

"ไม่มีหรอก ไม่มีใครกล้ามา"

ใช่ ลุงเค้าพูดถูก เพราะมันมืดมาก ขนาดมารับ ยังมากันตั้งหลายคน


#ยังไม่จบค่ะ ขอเล่าสาระสำคัญอีกนิดนะค้า
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่