สวัสดีครับ ต้องขอชี้แจงก่อนนะครับ
1.เรื่องที่เล่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริงครับ ไม่มีการเติมแต่งใดๆทั้งสิ้น
2.ในเนื้อเรื่องจะมีการสอดแทรกความเห็นของผมเป็นระยะๆ
3. ขึ้นอยู่กับความเชื่อและก็วิจารณญาณของแต่ละบุคคลนะครับ
4.ของดราม่าครับ
ณ วันทำงาน ผมเข้างานปกติ แล้วจู่ๆ พี่ A (นามสมมุติ ) ก็ชวนผมว่า “น้องไปปฏิบัติธรรมกันมั้ย” ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ผมก็คิดนิดนึงแล้วก็ตอบไปว่า “เดี๋ยวขอดูก่อนนะครับว่ามีติดธุระอะไรรึเปล่า” ซึ่งสุดท้ายก็นั่นแหละครับ ผมตอบตกลงไปปฏิบัติธรรมตามคำเชิญของพี่ A
เราออกเดินทางจากกันช่วงเที่ยงๆของวันเสาร์ โดยมีเพื่อนร่วมทางเพิ่มอีก 2 คนคือ พี่ B และน้อง C (นามสมมุติ) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม ก็ถึงสำนักสงฆ์(ขอไม่บอกชื่อแล้วกันนะครับ) ซึ่งพอไปถึงปรากฏว่ามีคนกำลังปฏิบัติธรรมอยู่จำนวนมาก กะคร่าวๆน่าจะเกือบๆ 100 คนได้ครับ
การปฏิบัติธรรมก็จะมี เดินจงกลม และนั่งสมาธิ ซึ่งแบ่งเป็น 3 รอบ คือเช้า บ่าย แล้วก็เย็น พวกผมไปทันรอบบ่าย เริ่มแรกเดินจงกลมก่อน กำหนดลมหายใจ ย่างหนอ เหยียบหนอ โดยส่วนตัวผมค่อนข้างชอบการเดินจงกลม เพราะรู้สึกว่ามีสมาธิดี อยู่กับตัวเองไม่วอกแวก ถัดมาเป็นการนั่งสมาธิ (สำนักสงฆ์ที่นี่นั่งสมาธิโดยมีจุดประสงฆ์เพื่อให้ผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรมบรรลุฌาณใน 1 วัน)
พี่ A อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับ "ฌาณ" ประมาณว่ามันเป็นภาวะที่จิตของเรานิ่ง เราสามารถรับรู้สิ่งต่างๆได้ดีขึ้น เช่น คนนี้ชอบเรา คนนี้เกลียดเราการรับรู้ก็จะชัดเจนขึ้น เวลามีความสุขก็จะสุขมากๆ แต่เวลาทุกข์ก็จะปล่อยวางได้
สำหรับการนั่งสมาธิ พระอาจารย์จะให้เรากำหนดลมหายใจ หายใจเข้าท่อง "พองหนอ" หายใจออกท่อง "ยุบหนอ" แล้วก็ตามด้วย "นั่งหนอ" (เพ็งสมาธิไปที่ก้น) "ถูกหนอ" (เพ่งสมาธิไปที่เหนือสะดือ 2 นิ้ว) โดยขณะนั่งสมาธิพระอาจารย์จะพูดคำพวกนี้ให้เราฟัง แล้วก็เร็วขึ้น เร็วขึ้น จนแทบจะพูดสี่คำนี้รวมเป็นคำเดียวกัน โดยส่วนตัวแล้วผมเคยฝึกสมาธิ โดยหายใจเข้า "พุทธ" หายใจออก "โธ" แบบช้าๆ เรื่อยๆ พอมาเจอแบบนี้ในใจผมก็คิดว่า “น่ารำคาญเสียงพระอาจารย์จัง ทำไมไม่หยุดซะที เราไม่มีสมาธิเลย”
แต่ตอนหลังมาทราบว่านั่นเค้าเรียกว่าการ “เชียร์” เพื่อให้เราบรรลุญาณ (คือจิตรวมเป็นหนึ่ง กล่าวคำสี่คำ พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ ถูกหนอให้กลายเป็นคำเดียว เพื่อให้จิตเรารวมเป็นหนึ่ง ต้องขอโทษพระอาจารย์ท่านนั้นด้วยที่จิตคิดไม่ดี)
ระหว่างนั่งสมาธิเราก็แอบเหลือบมอง อีกกลุ่มนึง (คือคนที่มาใหม่จะนั่งกลุ่มนึง ส่วนคนที่บรรลุฌาณแล้ว?จะนั่งอีกกลุ่มนึง) ผมก็เห็นคนนึงสั่นๆ ส่วนอีกคน หงายหลังลงไปนอนเลย ผมก็แอบหัวเราะในใจว่าเค้าให้มานั่งสมาธิไม่ใช่ให้มานอน (มาทราบทีหลังว่าคนที่นั่งสมาธิเข้าฌาน เมื่อถึงจุดนึง จิตจะดับแล้วก็วูบไป)
คราวนี้มารอบเย็น การเดินจงกลมผ่านไปด้วยดี แต่มาเริ่มมีปัญหาตรงนั่งสมาธิรอบเย็น คือขณะนั่งจะมีพระอาจารย์แล้วก็คนที่ บรรลุฌานแล้ว ? มากระตุ้นให้เราเร่งจังหวะการหายใจให้เร็วขึ้นๆๆๆ (โดยใช้เสียงกระตุ้น พร้อมทั้งเคาะไม้ให้จังหวะเร็วมากๆ) ผมแอบเปิดตามองเห็หลายคนหงายหลังนอนราบไป ซึ่งเมื่อผมแอบเปิดตาก็มีคนที่บรรลุฌาณ? เข้ามารุมประมาณ 3-4 คน บอกให้ปิดตา แล้วเร่งจังหวะการหายใจให้เร็วขึ้นอีก ซึ่งผมก็จำต้องทำตาม พวกคนเหล่านี้ก็ยังมากลุ้มรุมผมอย่างไม่หยุดยั้ง ผมจึงตัดสินใจ หงายหลังบ้างเพื่อให้คนเหล่านี้ออกไปซะที
ได้ผลครับพวกเค้าออกไป แต่ด้วยอะไรไม่ทราบ ผมยังคงจังหวะการหายใจถี่ต่อ ซักประมาณ 10 นาที ผมเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกายนั่นก็คือ มือและแขนทั้งสองข้างของผมเริ่มมีอาการชา และเกร็ง ผมไม่สามารถควบคุมมือและแขนของผมได้เลยในขณะนั้น แต่ผมยังพอรู้สึกตัวอยู่นะครับ ถึงแม้ว่าสติสัมปชัญญะจะไม่เต็มร้อยก็ตาม แขนผมเกร็ง และยกสูงขึ้น ประกบกับนิ้วมือที่ค่อยๆจีบ
แล้วผมก็ได้ยินเสียงพี่ A บอกว่าถ้าไม่ไหวก็คลายซะ ค่อยๆคลายปรากฏว่าได้ผลครับ อาการชาและอาการเกร็งดีขึ้น ผมเริ่มควบคุมมือและแขนได้บ้างแล้ว แต่ทันใดนั้น สติสัมปชัญญะของผมก็ขาดสะบั้น (คือวูบไปเลย ให้นึกถึงหน้าจอคอมพิวเตอร์เวลาไฟดับแล้วไม่มีไฟสำรองนะครับ อะไรประมาณนั้นเลย)
ผมวูบไปนานเท่าใดไม่ทราบ มารู้สึกตัวอีกทีพร้อมอาการปวดศีรษะอย่างมาก จนต้องเอามือทั้งสองข้างกุมขมับไว้ และพยายามชันตัวลุกขึ้นนั่ง แต่ปรากฏว่าผมไม่สามารถนั่งได้ครับ รู้สึกหัวหนักมาก แล้วตัวผมก็หงายหลังไปอีกรอบ ผมนอนแผ่ราบไปซักพักก็ได้ยินเสียงระฆังดังถี่ๆขึ้น ซึ่งขณะนี้อาการปวดหัวลดลงไปมาก และผมค่อยๆลืมตาขึ้น พร้อมทั้งพยายามลุกขึ้นนั่งอย่างทุลักทุเล ซึ่งเสียงระฆังนั้น ก็คือเสียงเลิกการนั่งสมาธินั่นเอง
ภายหลังผมมานั่งพิจารณาว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตัวผม ซึ่งผมคิดว่าร่างกายผมและหลายๆคนน่าจะเกิดภาวะที่เรียกว่า Hyperventilation คือเป็นภาวะสภาพจิตใจเกิดความเครียด และร่างกายมีการหายใจเข้าออกถี่ๆ ส่งผลให้ Co2 ในเลือดลดลง (ลองหารายละเอียดใน google ดูครับ) จนทำให้เกิดอาการดังกล่าว
เมื่อนั่งสมาธิ(อย่างบ้าคลั่ง ขอใช้คำนี้เถอะ ) จบสิ้น ทางพระอาจารย์ก็จะบอกว่าใครผ่านฌานบ้าง ซึ่งผ่านทั้งหมด 27 คน จาก 30 กว่าคน และผมเองก็ผ่าน(แบบงงๆ กับเค้าด้วย) พระอาจารย์ท่านก็บอกว่า คนที่ผ่านฌานให้นั่งอยู่ก่อน แล้วก็มีคนเอากระดาษมาให้เขียน ข้อมูลส่วนตัวลงไป เนื้อความประมาณว่า ได้มาปฏิบัติธรรมที่นี่ ตั้งแต่วันที่เท่าไหร่ถึงวันที่เท่าไหร่ และไม่ได้รับอันตรายทั้งทางด้านร่างกาย และทรัพย์สินใดๆจากที่นี่ พร้อมทั้งให้เซ็นชื่อรับรอง
มันจะคล้ายๆกับเวลา ผู้ป่วยเข้าโรงพยาบาลแล้วแพทย์ต้องทำการผ่าตัด (ซึ่งมีความเสี่ยง) ทางโรงพยาบาลจะให้เซ็นเอกสารเหล่านี้เพื่อว่าถ้าเกิดข้อผิดพลาดประการใดขึ้นมา ทางผู้ป่วยหรือญาติจะไม่สามารถเอาผิดโรงพยาบาลได้ ในเคสนี้ก็คือเราจะไม่สามารถเอาผิดทางสำนักสงฆ์ได้
หลังจากเซ็นเอกสารเสร็จ ทางพระอาจารย์ (ซึ่งคาดว่าเป็นเจ้าอาวาส) ก็มาบอกว่าคนที่ผ่านฌานนั้น ตอน 1 ทุ่มครึ่ง ให้มารวมตัวกัน หน้าศาลา เดี๋ยวจะพาไปเด็ดดอกไม้ (ในป่าช้า) ก็เป็นอันเสร็จพิธี (ซึ่งตอนแรกที่ผมตัดสินใจมาปฏิบัติธรรมนั้น พี่ A บอกว่าประมาณ 6 โมงก็เสร็จแล้ว พอทราบว่าต้องอยู่ต่อจนดึก ผมก็เริ่มรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก)
ระหว่างที่นั่งรอเวลา ก็มีอีป้า (โรคจิต) เข้ามาถามว่าไปป่าช้าไหน ผมและน้อง C ก็บอกชื่อป่าช้าตามที่ได้รับมอบหมายให้ไปเด็ดดอกไม้ แต่อีป้าก็มาเฉลยว่าการเด็ดดอกไม้นั้น คือการไปนั่งสมาธิในป่าช้า 2 ชั่วโมง !!!
เมื่อผมโดนหลอกให้ไปนั่งในป่าช้า
1.เรื่องที่เล่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริงครับ ไม่มีการเติมแต่งใดๆทั้งสิ้น
2.ในเนื้อเรื่องจะมีการสอดแทรกความเห็นของผมเป็นระยะๆ
3. ขึ้นอยู่กับความเชื่อและก็วิจารณญาณของแต่ละบุคคลนะครับ
4.ของดราม่าครับ
ณ วันทำงาน ผมเข้างานปกติ แล้วจู่ๆ พี่ A (นามสมมุติ ) ก็ชวนผมว่า “น้องไปปฏิบัติธรรมกันมั้ย” ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ผมก็คิดนิดนึงแล้วก็ตอบไปว่า “เดี๋ยวขอดูก่อนนะครับว่ามีติดธุระอะไรรึเปล่า” ซึ่งสุดท้ายก็นั่นแหละครับ ผมตอบตกลงไปปฏิบัติธรรมตามคำเชิญของพี่ A
เราออกเดินทางจากกันช่วงเที่ยงๆของวันเสาร์ โดยมีเพื่อนร่วมทางเพิ่มอีก 2 คนคือ พี่ B และน้อง C (นามสมมุติ) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม ก็ถึงสำนักสงฆ์(ขอไม่บอกชื่อแล้วกันนะครับ) ซึ่งพอไปถึงปรากฏว่ามีคนกำลังปฏิบัติธรรมอยู่จำนวนมาก กะคร่าวๆน่าจะเกือบๆ 100 คนได้ครับ
การปฏิบัติธรรมก็จะมี เดินจงกลม และนั่งสมาธิ ซึ่งแบ่งเป็น 3 รอบ คือเช้า บ่าย แล้วก็เย็น พวกผมไปทันรอบบ่าย เริ่มแรกเดินจงกลมก่อน กำหนดลมหายใจ ย่างหนอ เหยียบหนอ โดยส่วนตัวผมค่อนข้างชอบการเดินจงกลม เพราะรู้สึกว่ามีสมาธิดี อยู่กับตัวเองไม่วอกแวก ถัดมาเป็นการนั่งสมาธิ (สำนักสงฆ์ที่นี่นั่งสมาธิโดยมีจุดประสงฆ์เพื่อให้ผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรมบรรลุฌาณใน 1 วัน)
พี่ A อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับ "ฌาณ" ประมาณว่ามันเป็นภาวะที่จิตของเรานิ่ง เราสามารถรับรู้สิ่งต่างๆได้ดีขึ้น เช่น คนนี้ชอบเรา คนนี้เกลียดเราการรับรู้ก็จะชัดเจนขึ้น เวลามีความสุขก็จะสุขมากๆ แต่เวลาทุกข์ก็จะปล่อยวางได้
สำหรับการนั่งสมาธิ พระอาจารย์จะให้เรากำหนดลมหายใจ หายใจเข้าท่อง "พองหนอ" หายใจออกท่อง "ยุบหนอ" แล้วก็ตามด้วย "นั่งหนอ" (เพ็งสมาธิไปที่ก้น) "ถูกหนอ" (เพ่งสมาธิไปที่เหนือสะดือ 2 นิ้ว) โดยขณะนั่งสมาธิพระอาจารย์จะพูดคำพวกนี้ให้เราฟัง แล้วก็เร็วขึ้น เร็วขึ้น จนแทบจะพูดสี่คำนี้รวมเป็นคำเดียวกัน โดยส่วนตัวแล้วผมเคยฝึกสมาธิ โดยหายใจเข้า "พุทธ" หายใจออก "โธ" แบบช้าๆ เรื่อยๆ พอมาเจอแบบนี้ในใจผมก็คิดว่า “น่ารำคาญเสียงพระอาจารย์จัง ทำไมไม่หยุดซะที เราไม่มีสมาธิเลย”
แต่ตอนหลังมาทราบว่านั่นเค้าเรียกว่าการ “เชียร์” เพื่อให้เราบรรลุญาณ (คือจิตรวมเป็นหนึ่ง กล่าวคำสี่คำ พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ ถูกหนอให้กลายเป็นคำเดียว เพื่อให้จิตเรารวมเป็นหนึ่ง ต้องขอโทษพระอาจารย์ท่านนั้นด้วยที่จิตคิดไม่ดี)
ระหว่างนั่งสมาธิเราก็แอบเหลือบมอง อีกกลุ่มนึง (คือคนที่มาใหม่จะนั่งกลุ่มนึง ส่วนคนที่บรรลุฌาณแล้ว?จะนั่งอีกกลุ่มนึง) ผมก็เห็นคนนึงสั่นๆ ส่วนอีกคน หงายหลังลงไปนอนเลย ผมก็แอบหัวเราะในใจว่าเค้าให้มานั่งสมาธิไม่ใช่ให้มานอน (มาทราบทีหลังว่าคนที่นั่งสมาธิเข้าฌาน เมื่อถึงจุดนึง จิตจะดับแล้วก็วูบไป)
คราวนี้มารอบเย็น การเดินจงกลมผ่านไปด้วยดี แต่มาเริ่มมีปัญหาตรงนั่งสมาธิรอบเย็น คือขณะนั่งจะมีพระอาจารย์แล้วก็คนที่ บรรลุฌานแล้ว ? มากระตุ้นให้เราเร่งจังหวะการหายใจให้เร็วขึ้นๆๆๆ (โดยใช้เสียงกระตุ้น พร้อมทั้งเคาะไม้ให้จังหวะเร็วมากๆ) ผมแอบเปิดตามองเห็หลายคนหงายหลังนอนราบไป ซึ่งเมื่อผมแอบเปิดตาก็มีคนที่บรรลุฌาณ? เข้ามารุมประมาณ 3-4 คน บอกให้ปิดตา แล้วเร่งจังหวะการหายใจให้เร็วขึ้นอีก ซึ่งผมก็จำต้องทำตาม พวกคนเหล่านี้ก็ยังมากลุ้มรุมผมอย่างไม่หยุดยั้ง ผมจึงตัดสินใจ หงายหลังบ้างเพื่อให้คนเหล่านี้ออกไปซะที
ได้ผลครับพวกเค้าออกไป แต่ด้วยอะไรไม่ทราบ ผมยังคงจังหวะการหายใจถี่ต่อ ซักประมาณ 10 นาที ผมเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกายนั่นก็คือ มือและแขนทั้งสองข้างของผมเริ่มมีอาการชา และเกร็ง ผมไม่สามารถควบคุมมือและแขนของผมได้เลยในขณะนั้น แต่ผมยังพอรู้สึกตัวอยู่นะครับ ถึงแม้ว่าสติสัมปชัญญะจะไม่เต็มร้อยก็ตาม แขนผมเกร็ง และยกสูงขึ้น ประกบกับนิ้วมือที่ค่อยๆจีบ
แล้วผมก็ได้ยินเสียงพี่ A บอกว่าถ้าไม่ไหวก็คลายซะ ค่อยๆคลายปรากฏว่าได้ผลครับ อาการชาและอาการเกร็งดีขึ้น ผมเริ่มควบคุมมือและแขนได้บ้างแล้ว แต่ทันใดนั้น สติสัมปชัญญะของผมก็ขาดสะบั้น (คือวูบไปเลย ให้นึกถึงหน้าจอคอมพิวเตอร์เวลาไฟดับแล้วไม่มีไฟสำรองนะครับ อะไรประมาณนั้นเลย)
ผมวูบไปนานเท่าใดไม่ทราบ มารู้สึกตัวอีกทีพร้อมอาการปวดศีรษะอย่างมาก จนต้องเอามือทั้งสองข้างกุมขมับไว้ และพยายามชันตัวลุกขึ้นนั่ง แต่ปรากฏว่าผมไม่สามารถนั่งได้ครับ รู้สึกหัวหนักมาก แล้วตัวผมก็หงายหลังไปอีกรอบ ผมนอนแผ่ราบไปซักพักก็ได้ยินเสียงระฆังดังถี่ๆขึ้น ซึ่งขณะนี้อาการปวดหัวลดลงไปมาก และผมค่อยๆลืมตาขึ้น พร้อมทั้งพยายามลุกขึ้นนั่งอย่างทุลักทุเล ซึ่งเสียงระฆังนั้น ก็คือเสียงเลิกการนั่งสมาธินั่นเอง
ภายหลังผมมานั่งพิจารณาว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตัวผม ซึ่งผมคิดว่าร่างกายผมและหลายๆคนน่าจะเกิดภาวะที่เรียกว่า Hyperventilation คือเป็นภาวะสภาพจิตใจเกิดความเครียด และร่างกายมีการหายใจเข้าออกถี่ๆ ส่งผลให้ Co2 ในเลือดลดลง (ลองหารายละเอียดใน google ดูครับ) จนทำให้เกิดอาการดังกล่าว
เมื่อนั่งสมาธิ(อย่างบ้าคลั่ง ขอใช้คำนี้เถอะ ) จบสิ้น ทางพระอาจารย์ก็จะบอกว่าใครผ่านฌานบ้าง ซึ่งผ่านทั้งหมด 27 คน จาก 30 กว่าคน และผมเองก็ผ่าน(แบบงงๆ กับเค้าด้วย) พระอาจารย์ท่านก็บอกว่า คนที่ผ่านฌานให้นั่งอยู่ก่อน แล้วก็มีคนเอากระดาษมาให้เขียน ข้อมูลส่วนตัวลงไป เนื้อความประมาณว่า ได้มาปฏิบัติธรรมที่นี่ ตั้งแต่วันที่เท่าไหร่ถึงวันที่เท่าไหร่ และไม่ได้รับอันตรายทั้งทางด้านร่างกาย และทรัพย์สินใดๆจากที่นี่ พร้อมทั้งให้เซ็นชื่อรับรอง
มันจะคล้ายๆกับเวลา ผู้ป่วยเข้าโรงพยาบาลแล้วแพทย์ต้องทำการผ่าตัด (ซึ่งมีความเสี่ยง) ทางโรงพยาบาลจะให้เซ็นเอกสารเหล่านี้เพื่อว่าถ้าเกิดข้อผิดพลาดประการใดขึ้นมา ทางผู้ป่วยหรือญาติจะไม่สามารถเอาผิดโรงพยาบาลได้ ในเคสนี้ก็คือเราจะไม่สามารถเอาผิดทางสำนักสงฆ์ได้
หลังจากเซ็นเอกสารเสร็จ ทางพระอาจารย์ (ซึ่งคาดว่าเป็นเจ้าอาวาส) ก็มาบอกว่าคนที่ผ่านฌานนั้น ตอน 1 ทุ่มครึ่ง ให้มารวมตัวกัน หน้าศาลา เดี๋ยวจะพาไปเด็ดดอกไม้ (ในป่าช้า) ก็เป็นอันเสร็จพิธี (ซึ่งตอนแรกที่ผมตัดสินใจมาปฏิบัติธรรมนั้น พี่ A บอกว่าประมาณ 6 โมงก็เสร็จแล้ว พอทราบว่าต้องอยู่ต่อจนดึก ผมก็เริ่มรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก)
ระหว่างที่นั่งรอเวลา ก็มีอีป้า (โรคจิต) เข้ามาถามว่าไปป่าช้าไหน ผมและน้อง C ก็บอกชื่อป่าช้าตามที่ได้รับมอบหมายให้ไปเด็ดดอกไม้ แต่อีป้าก็มาเฉลยว่าการเด็ดดอกไม้นั้น คือการไปนั่งสมาธิในป่าช้า 2 ชั่วโมง !!!