Journey is Calling : From Lhasa ~ To Ladak ...

สวัสดีค่ะ...
หลังจากดองทริปนี้ไว้นานร่วมปี วันนี้ก็ตัดสินใจมาแชร์ประสบการณ์ลุยเดี่ยวนั่งรถไฟไปหลังคาโลก
ก่อนที่จะปล่อยให้ลมหิมาลัยโบกไปตกที่อินเดียเหนือ หรือเมืองเลห์ ลาดักส์ เมืองฮอตฮิตของขาเที่ยวชาวไทยนั่นเอง
(ไม่ได้พูดเว่อร์นะ ตอนไปเจอคนไทยเต็มเมือง)

ทริปนี้เกิดขึ้นราวๆ เมษายนปีที่แล้ว ตอนแรกตั้งใจจะไปทรานไซบีเรีย แต่พอจัดรูทรถไฟคำนวณงบเสร็จก็เกิดเปลี่ยนใจ
อยากไปทิเบต - เนปาล และเลห์  ก่อนหน้านั้น เรามาตั้งกระทู้ถามเรื่องการเดินทางจากทิเบต-ไปเลห์
แต่ก็ยังไม่มีใครมารีวิว เราเลยถือโอกาสนี้มาแบ่งปันวิธีการเดินทางของเรา ระยะเวลาทั้งหมด 10 กว่าวัน
แผนเปลี่ยนยันนาทีสุดท้าย (ไปคนเดียวจะเปลี่ยนยังไงก็ได้) สุดท้ายเราตัดเนปาลทิ้งนะคะ เพราะมันจะดูเป็นฉิ่งฉับทัวร์ไปหน่อย
เรายกให้ทริปนี้เป็นทริปเทิร์นโปรของ Solo Traveller แบบเราเลย เพราะได้ประสบการณ์ระทึกมากและคุ้มมาก

กระทู้นี้แค่อยากมาเล่าให้ฟังเฉยๆ ใครอยากได้ข้อมูลยังไง หลังไมค์ได้ค่ะ
การเดินทางแบ่งเป็น 2.5 ช่วงนะคะ (อ่านไม่ผิด 2.5 ช่วงจริงๆ)
ช่วงที่ 1 : กทม.-เฉิงตู-ลาซา  
ช่วงที่ 1.5 : ลาซา-เนปาล (แวะไปตกเครื่อง)
ช่วงที่ 2 : เนปาล - เลห์ ลาดักส์

หลังจากเราตัดสินใจว่าจะไปทิเบต เราก็หาข้อมูลคร่าวๆ และตัดสินใจเข้าเว็ปเอเจนซี่ที่เค้าแนะนำกัน
คือตอนแรกกะจะดูเป็นไกด์ไลน์เฉยๆแต่สายตาดันเหลือบไปเห็นคำว่า 'Join Tour '
อีเมล์ด้วยภาษาอังกฤษแบบงูๆปลาๆก็ถูกร่างขึ้น และส่งไปที่ Travel Agency ที่โน่นทันที
คือ แนะนำตัวประมาณว่า "อิชั้นเป็นสาวไทยใจกล้าเพียงหนึ่งเดียวที่อยากไปทิเบต รบกวนส่งแพคเกจที่น่าสนใจมาให้หน่อยค่า"
เงื่อนไขอื่นคือ ช่วงเวลาเดินทาง / ระยะเวลาที่จะอยู่ในทิเบต / จุดปลายทางหลังจากนั้น (ตอนนั้นบอกเพื่อขอคำปรึกษาไง
ว่ามีหนทางในการไปเลห์ ลาดักส์ต่อ โดยที่ไม่ต้องบินผ่านเดลีมั้ย) อ้อ กำชับด้วยว่า อิชั้นจะนั่งรถไฟไปจากปักกิ่งนะ จองตั๋วให้ด้วยค่า

หลังจากนั้นก็มีอีเมล์ตอบกลับมาจ้ะ
- ยูไม่ควรขึ้นจากปักกิ่งนะ เพราะรัฐบาลจีนค่อนข้างจะเข้มงวดเรื่องการซื้อตั๋วรถไฟ
แนะนำให้ขึ้นที่ซีหนิง (นั่งรถไฟ 20 ชม.) หรือเฉิงตู (นั่งรถไฟ 42 ชม.) //เราเลือกขึ้นที่เฉิงตู เนื่องเทียบวันลา ราคาตั๋วเครื่องบิน
และวันคู่ วันคี่ที่ที่รถจะเทียบชานชาลาที่เฉิงตู
- ส่งวีซ่ามาจะทำ permit ให้ การขอวีซ่าจากประเทศยู ระบุเป็น Type L และไม่ต้องแจ้งนะว่ามาทิเบต (ตอนนั้นเลยหาบริษัทที่รับยื่นวีซ่า ส่ง passport + เอกสารไป ไม่เกิน 3 วัน วีซ่าได้ จ่ายเงิน เค้าก็ส่ง passport กลับ แล้วเราก็สแกนส่งเอเจนซี่ที่โน่น)
- เลือกแพคเกจเป็น city tour 4 วันและโอนมัดจำบางส่วน ประมาณ 1/3 อ่ะ
- จากทิเบตข้ามไปเลห์เลยไม่ได้ เพราะติดเรื่องพรมแดน (ดูแผนที่จริงๆมันอยู่ติดกันนะ อารมณ์แบบเราอยู่เชียงราย จะข้ามไปลาวแต่ไม่ได้
ต้องบินไปตั้งหลักกทม. แล้วค่อยบินไปลาว) มีอีกทางนึงคือไปลงชายแดนเนปาลแล้วนั่งรถบัสไป (แต่จากเหตุแผ่นดินไหว สะพานข้ามแดนพังจ้า)

ตอนนั้นเราจองตั๋วจากทิเบตไปลงเนปาลแล้วกะเที่ยวเนปาล 1-2 วันแล้วค่อยบินไปเลห์ แต่หลังจากคำนวณวันลาแล้วเราคิดว่าเราไม่ควรละโมบ
ไม่งั้นจะไม่ได้ละเลียดที่ไหนเลย เราเลยตัดเนปาลออก แล้วก็ซื้อตั๋วจากเนปาลบินไปเดลี - เลห์ (เสียค่าตั๋วไปเนปาลฟรี เพราะมัวแต่ลังเล
จริงๆมีไฟล์ททิเบตไปเลห์เลยนะ แต่ตอนนั้น Booking ตั๋วก่อนทำทริป --" (ความผิดพลาดครั้งที่ 1)

หลังจากนั้นเราก็ไปวุ่นวายหาเสื้อผ้า ยา Diamox (ยาแก้แพ้ความสูง) และจัดการแผนที่เที่ยวที่เลห์ เพราะทิเบตนี่ทัวร์ 100% ไม่ต้องคิดอะไรแล้ว

กดปุ่มข้ามมาวันเดินทางเลย ไฟล์ทออก 1 ทุ่ม มาถึงไฟล์ทดีเลย์ ไม่พอโดนเรียกขอดูเอกสาร จากเคาเตอร์เช็คอินเพราะมีตั๋วไปไม่มีตั๋วกลับ
เลยอธิบายกันยืดยาวเลย ว่าจะกลับจากอินเดีย
ขอคั่นระบายความรู้สึกนิดนึง : ตอนนั้นโคตรกลัวเลย คือเราไม่ได้เดินทางคนเดียวครั้งแรก จริงๆไปคนเดียวตลอด ขึ้นเขา ลงห้วย ทั้งในทั้งนอก
แค่ไม่ใช่สายรีวิว แต่ครั้งนั้น รู้สึกกังวลมาก มากจนถึงขึ้นคิดว่า เอ๊ะ หรือไม่ไปแล้วดี แต่จ่ายไปหมดแล้วไง ไปก็ไป (เหมือนโดนบังคับเลยยยย)


สักเที่ยงคืน เราก็ไปถึงเฉิงตูโดยสวัสดิภาพแต่ไม่ราบรื่น คือโดนล่วงละเมิดสันติภาพจากพี่จีนตลอดไฟล์ท ทั้งน้ำลาย ทั้งสุขอนามัยในห้องน้ำ
ค่าแท็กซี่ราคา 200 หยวนตอนตี 1 และอื่นๆอีกมากมาย

วันถัดมา เรามีเวลาทั้งวันในเฉิงตู เพราะเรานัดเอเจนซี่ไว้ที่สถานีรถไฟตอน 6 โมงเย็น
ที่พักเราอยู่ใกล้สถานีรถไฟและวัด Wenshu (วัดดังและเป็นที่เที่ยวสำคัญ) เดินไปไม่เกิน 10 นาทีก็ถึง
คนหนาแน่นมาก รอบๆวัดมี Stone Sculture ด้วย วัดสวยงามตามท้องเรื่องแต่.....สงครามน้ำลายครั้งนี้หนักหนานัก
เดินไปหลบไป ขยับไป ผ่านไปครึ่งวันหมดแรงโคตรๆ ลงรถไฟใต้ดินจะไป Musuem ขึ้นเสร็จเดินตามป้ายไป ป้ายหายหาทางเข้าไม่เจอ
เออออออ....กลับไปนั่งตั้งสติที่โฮสเทลก็ได้ ไม่ไปไหนละ (อ้อ เดินกลับไป Old Town Street ข้างวัด Wenshu อีกรอบ เพราะต้องขึ้นรถไฟใต้ดินตรงนั้น)


ตัดมาที่ตอนเย็น เราเก็บของออกจากโฮสเทล นั่งรถไฟใต้ดินไปสถานีรถไฟบนดิน งงมะ!!!
เพราะนัดเจอกับเอเจนซี่ที่นั่น เพื่อรับ Permit ตั๋วรถไฟ จ่ายเงินที่เหลือ และเอารายละเอียดไกด์ที่ทิเบต
"เจน" >> Sales Agency ที่ดูแลเราน่ารักมากกกก (นี่ซื้อขนมไปฝากด้วยคือตลอดเดือนกว่าที่ดีลกันมาชีน่ารักและให้คำแนะนำดีมาก)
ที่นั่นได้เจอน้องคนไทยอีก 4 คนที่จะนั่งรถไฟไปขบวนเดียวกัน แต่ข่าวร้ายคือเราอยู่คนละโบกี้ นี่คือหน้าตาตั่วรถไฟสายหลังคาโลกที่หลายคนใฝ่ฝันนี่เรากำลังจะได้ขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงนี้แล้ว

กดปุ่ม Pause แปบ เดี๋ยวมาต่อนะ จะขึ้นคอมเม้นท์ใหม่ยิ้มยิ้ม

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่