สวัสดีทุกคนเรามีเรื่องมาเล่าสู่กันฟัง
เมื่อวันที่ 26 พ.ค. ที่ผ่านมาเวลาประมาณตี5 ช่วงเวลาที่หลายคนยังไม่ตื่น จู่ๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ปลายสายเป็นเบอร์โรงพยาบาล โทรมาว่ารู้จักพ่อเราไหม ท่านเป็นอะไรกับเราที่ยังไม่ตื่นดีก็บอกว่าเป็นพ่อค่ะ เขาก็ทวนว่าเป็นเพื่อนใช่ไหมคะ เราเลยเริ่มหงุดหงิดลุกจากเตียงไปเปิดไฟห้องแล้วย้ำกับปลายสายไปว่าเป็นพ่อค่ะ เขาก็แจ้งมาว่าตอนนี้ท่านประสบอุบัติเหตุ อยากให้เราไปหาตอนนี้ได้ไหม ณ ตอนนั้นเราอยากไปเดี๋ยวนั้นเลยแต่เราไปไม่ได้เพราะเราอยู่ขอนแก่นส่วนพ่อกับแม่ไปทำงานที่สมุทรปราการเราเลยบอกว่าไปไม่ได้พยาบาลก็ถามว่ามีเบอร์ใครพอจะมาที่โรงพยาบาลได้ในตอนนี้ไหม ตอนนั้นสมองเราตื้อไปหมดคิดหาใครไม่ออก อยู่ๆก็นึกถึงเบอร์พี่สาว(ลูกป้า) เลยให้เบอร์พี่สาว(ลูกป้า)ไป พอวางสายจากพยาบาลเราก็โทรหาแม่ แต่โทรเท่าไหร่ก็โทรไม่ติด เราจึงโทรพี่บอกว่าพ่อประสบอุบัติเหตุไปดูให้หน่อยได้ไหม พี่บอกว่าไปไม่ได้เพราะอยู่ปากเกร็ดไกลจากพ่อมากเดี๋ยวจะโทรหาแม่ให้ ด้วยความที่เราร้อนใจปนโมโหจึงตะคอกใส่พี่ว่า "โทรทำไมไปไม่ได้ก็ไม่ต้องไป ส่วนโทรหาแม่เค้าโทรแล้วโทรไม่ติด"แล้วเราก็ตัดสายไปจากนั้นเราก็โทรหาป้าแต่ลุงรับบอกว่าป้านึ่งข้าวอยู่แต่ลุงก็เอาโทรศัพย์ไปให้ป้า เราบอกป้าว่ามีโทรศัพท์จากโรงพยาบาลโทรมาบอกว่าพ่อประสบอุบัติเหตุและเราก็ติดต่อแม่ไม่ได้ ป้าบอกไม่เป็นไรเดี๋ยวโทรหาน้าให้น้าไปดูให้ใจเย็นๆ (ลืมไปเลยว่าน้าอยู่บางนาใกล้พ่อกับแม่แถมมีไปไหนมาไหนความเร็วมาก) ตือตอนนั้นมันเย็นไม่ได้หรอกผู้หญิงคนเดียวกับสถานการณ์แบบนี้ ร้อนลน อยู่ไม่ได้ โทรหาทุกคนที่น่าจะไปโรงพยาบาลนี้ได้ พยายามโทรหาแม่เริ่มแปลกใจที่แม่ไม่ยอมรับสาย มันนานเกินไป มันนานเกินไปจริง เราเริ่มกระวนกระวาย น้ำตาก็ไหล รู้ตัวแล้วว่ามันต้องมีเรื่องแน่ๆ เราเลยตั้งสติทั้งน้ำตาเข้าห้องน้ำอาบน้ำ แต่งตัวระหว่างนั้นก็คิดว่าทำไมโทรหาแม่ไม่ได้ แล้วทำไมพยาบาลต้องโทรหาเรา หรือแม่ประสบอุบัติเหตุด้วยแล้วแม่เป็นนอะไรไหมแม่ยิ่งเป็นเบาหวานอยู่แล้วถ้าแม่มีแผลจะหายไวไหม คิดไปต่างๆนา พอซักพักเราเลยโทรหาน้าแกบอกว่ากำลังจะไปหาพ่ออีก10 นาที่โทรมาใหม่นะ เราก็รอ ฟ้าเริ่มสว่างเราโทรหาป้าอีกครั้งแต่รอบนี้พี่ชายข้างบ้านรับสาย แล้วเราก็ได้ยินเสียงป้ากรีดร้องดังมาก เรายิ่งสติแตกไปกันใหญ่อยู่ๆพี่ชายก็บอกให้เตรียมตัวไว้นะจะให้ญาติไปรับกลับบ้านแล้วไปหาพ่อกับแม่ที่กรุงเทพกัน ตอนนั้นเราคิดเลยว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆ เลยถามพี่ไปว่า"พ่อเป็นอะไร ตอบหนูหน่อยพ่อเป็นอะไร"พี่ชายเลยบอกว่า "พ่อไม่เป็นไร" (ต่างคนต่างตะโกนใส่กัน)
"แล้วแม่(ป้า)ร้องทำไม"
"ไม่มีไรหรอก พ่อไม่เป็นไรหรอกตอนนี้อยู่ไอซียู เตรียมตัวกลับบ้านหล่ะ" เราร้อนใจมากน้ำตาก็ไหลไม่หยุดพอวางสายเราเลยรีบโทรหาน้า
ถามน้าว่า"พ่อเป็นไงบ้าง"
น้าก็บอกว่า "ตอนนี้พ่ออยู่ไอซียูหมอกำลังช่วยอยุ่ "
"แล้วแม่หล่ะน้า เป็นไรไหม แม่อยู่ไหน" น้าไม่ยอมตอบแต่ให้คุยกับน้าที่อยู่ข้างห้องแม่แทน
"น้ากบ แม่หนูหล่ะ เแม่หนูอยู่ไหน เป็นไงบ้าง"
"น้องทำใจดีๆนะ แม่เราเสียแล้ว "
เท่านั้นหล่ะตื้อไปหมดทั้งร้องไห้ ทั้งร้องลั่นห้อง น้าแกบอกให้เราตั้งสติ เราเลยถามว่าตอนนี้ใครมันจะตั้งสติได้หล่ะน้า แล้วมันเกิดอะไรขึ้น น้าแกเล่าให้ฟังว่ารถมันขับมาชนพ่อกับแม่ที่กลับมาจากไปจ่ายตลาด ตอนนี้น้าจะจับตัวมันได้แล้วมั้งมันหนี ตอนนั้นเราทั้งเสียใจทั้งโกรธที่ตอนนั้นไม่ได้อยู่ใกล้ๆท่าน ทั้งโกรธและเกลียดไอ้คนที่พรากพ่อกับแม่ไปจากเรา พอเราวางสายจากน้าเราก็รีบโทรหาพี่สาวทันที บอกข่าวเรื่องแม่ พี่ก็เล้าให้ฟังว่าเมื่อวานแม่ยังโทรมาเล่นกับเค้าอยู่เลย เราเลยเล่าให้แกฟังว่าเมื่อวันก่อนแม่โทรมายถามว่ามีเงินใช้ไหม ไม่เห็นยืมเงินแม่ใช้บ้าง แกพูดเชิงอยากให้ยืมเงินท่านเพราะท่านเห็นว่าเรายืมเงิน พี่สาว(ลูกป้า) และแม่(ป้า) แล้วเราให้ดอกด้วย500 เราเลยยืมแม่ไป2000 แล้วเมื่อวานตอนเที่ยงพ่อยังโทรมาบอกว่าโอนเงินเข้าให้แล้วอยู่เลยพอคุยกับพี่เสร็จเราก็แต่งตัวเก็บของกลับบ้านประมาณ7 โมงเช้า ญาติก็มารับ ขี่มาได้ซักพักพี่สาว(ลูกป้า)ก็โทรมาทั้งร้องไห้เราเลยบอกว่าหนูรู้แล้วไม่ต้องพูดหรอกหนูไม่อยากได้ยินมันอีกแกก็ร้องเราก็ร้อง แกบอกว่าจะพาแม่กลับบ้าน ให้เราไปรอแม่ที่บ้าน เราตกลง ระหว่างนั้นก็ร้องไห้ตลอดทางจนถึงบ้าน พอลงรถก็มีญาติมากอดเราพาเราเดินไปหาแม่(ป้า)ที่นั่งร้องไห้เราก็เข้าไปกอด ณ ตอนนั้นกอดกันร้องไห้ พอสายๆเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเราไม่รู้ว่าเป็นใครในตอนนั้นเราเลยให้แม่(ป้า)รับสายปลายสายบอกว่าพ่อเราเสีย ป้าเราเดินออกไปข้างบ้านแล้วร้องออกมาอย่างดังทั้งร้องไห้ ว่าไปอีกแล้ว ตายอีกคนแล้ว สิ บ เหลือให้เลย ติ จั๊กคน" เราร้องไห้จนไม่มีแรงจะร้อง ซักพักก็มีคนโทรมาบอกว่าหมอปั๊มหัวใจพ่อกลับมาได้แล้ว เราชื้นใจไปเปราะนึงว่าอย่างน้อยก็เหลือพ่อ ช่วงเช้าญาติและเพื่อนบ้านหลายคนมาช่วยเตรียมงาน พอประมาณช่วงบ่ายเราที่กำลังจะเดิไปบ้านน้า พอเดินไปถึงหน้าประตูเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นพี่สาวเราโทรมาบอกว่าพ่อเสียแล้วเรานี้ทรุดไปตรงหน้าบ้านอากาศร้อนๆแดดเปรี้ยงๆพ่อ(ลุง)เลยรีบมาพยุงเราเข้าบ้าน แม่(ป้า)ก็มานั่งกอดเราไว้ ความจริงศพแม่จะได้ออกโรงพยาบาลตอนบ่าย แต่วันนั้นพ่อเสียพี่สาว(ลูกป้า)เลยอยากเอาท่านทั้งสองออกมาพร้อมกันเพราะสมัยตอนยังมีชีวิตอยู่ไม่ว่าแม่จะด่า จะว่าพ่อขนาดไหน สิ่งที่พ่อทำคือยิ้ม พอแม่กลับจากขายกับข้าวพอก็จะมาบีบ มานวดให้ พ่อยอมให้แม่ทุกอย่างขนาดเคยพูดกับ แม่(ป้า)ว่าถ้าส่งเราเรียนจบ ก็จะไปบวชละ แม่ก็พูดเชิงหยอกว่าถ้าพ่อบวชจะพาเราไปหาหรอกเพราะเดี๋ยวพ่อมีเงิน 55555 พี่สาว(ลูกป้า)บอกว่าถ้าเอาศพออกจะให้เอาขึ้นคันเดียวกัน แกรักกัน แกรอกลับบ้านพร้อมกันซึ่งทุกคนไม่เห็นด้วยเพราะรถมูลนิธิให้ขึ้นได้ศพละคัน พี่สาว(ลูกป้า)เราไม่ยอมเราก็อยากให้พ่อกับแม่ไปด้วยกัน พี่สาว(ลูกป้า)ก็เลยจ้างรถตนรู้จักให้เอาศพท่านมาด้วยกันโดยที่ให้อีกคันขับเชิดหน้าขบวนหลอกตา คืนนั้นหลายคนโทรมาแสดงความเสียใจกับเราและมีน้องสาขาจากมหาวิทยาลัยส่งข้อความมาถามข่าว ถามไปถามมาจนได้รู้ว่าเป็นญาติกันทั้งที่ตลอด3ปีไม่เคยรู้เลย นี้หล่ะน้า ถ้าพ่อแม่ไม่ตายก็คงไม่รู้ว่าเป็นพี่น้องกัน
วันที่27 พ.ค.ศพมาถึงตอนเย็น เรามารอรับพ่อกับแม่ที่วัด ความจริงจะเอาไว้ที่บ้านที่หมู่บ้านเราไม่เคยมีเรื่องแบบนี้คือเสียพร้อมกันหน่ะ ผู้ใหญ่เลยเสนอให้เอามาไว้ที่วัด เราอยากดูหน้าพ่อกับแม่ก่อนเข้าโรงเย็นแต่ทุกคนทั้งงจับทั้งห้ามไม่ให้เราไปดูกลัวน้ำตาโดนท่าน ผู้ใหญ่แนะนำว่าให้เผามันที่28เลยเหตุผลเดิมมู่บ้านเราไม่เคยมีเรื่องแบบนี้คือเสียพร้อมกันหน่ะ คืนนั้นเรานอนเฝ้าพ่อกับแม่ที่วัด
วันที่28 พ.ค. ตอนบ่ายคู่กรณีมาตอนนั้นเรานั่งอยู่หน้าศพกำลังจับบังศกุลให้แม่สายตาเรามองไปเห็นพอดี รู้เลยใช่แน่ๆสัญชาตญาณมันบอกตอนนั้นใจเราเต้นแรงมากเราพยามยามไม่มองหน้าคู่กรณีมาไหว้ศพพ่อเรากำลังจะเข้ามาไหว้ของแม่เรา เรานั่งเอียงข้างให้ผู้ใหญ่ฝั่งเราเลยเข้ามาบอกเราว่าคนนี้เป็นคู่กรณีหันมาหน่อยพยายามจับเราหันเราก็ไม่หันสุดท้ายเราก้มไปร้องไห้ที่ตักแม่(ป้า) ท่านบอกคู่กรณีว่าเรายังไม่พร้อมให้ไปเตรียมตัวบวชหน้าไฟ พอคู้กรณีไปแล้วแม่(ป้า)จับเรานั่งแล้วกราบแม่คู่กรณีคืนเพราะตอนที่เราก้มหน้าร้องไห้แม่คู่กรณีกราบเราจะได้ไม่ถือเป็นบาปติดตัว และงานก็ผ่านไปอย่างราบรื่นคู่กรณีบวชหน้าไปให้ระหว่างนั้นญาติคู่กรณีก็ถ่ายรูปตลอดงาน พอบวชเสร็จก่อนกลับเราเข้าไปหาคู่กรณี
"พี่ขอโทษนะครับ"
"ค่ะ เรื่องมันผ่านไปแล้ว หนูว่าพี่คงไม่ได้ตั้งใจ"เรารอฝังว่าคู่กรณีจอยอมรับกับเราไหมว่าเมา เราอยากได้ยินจากปาก ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเมาแน่ เพื่อนข้างห้องแม่พอรู้ข่าวรีบไปตามเรื่องวกับคู่กรณีก็บอกว่าได้กลิ่นเหล้าแรงมา สถาพตอนให้สัมภาษณ์ก็ดูออกว่าเมา เจอก็ไม่กล้าสบตา หน้าเอ๋อๆ ทั้งที่เราเรียกได้ว่าจ้องเลยหล่ะ
พอแค่นี้ก่อนเดี๋ยวว่างมาเล่าใหม่
ถ้าพ่อแม่จากไปโดยไม่ทันตั้งตัวจะทำอย่างไร(เรื่องเล่าสู่กันฟัง)
เมื่อวันที่ 26 พ.ค. ที่ผ่านมาเวลาประมาณตี5 ช่วงเวลาที่หลายคนยังไม่ตื่น จู่ๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ปลายสายเป็นเบอร์โรงพยาบาล โทรมาว่ารู้จักพ่อเราไหม ท่านเป็นอะไรกับเราที่ยังไม่ตื่นดีก็บอกว่าเป็นพ่อค่ะ เขาก็ทวนว่าเป็นเพื่อนใช่ไหมคะ เราเลยเริ่มหงุดหงิดลุกจากเตียงไปเปิดไฟห้องแล้วย้ำกับปลายสายไปว่าเป็นพ่อค่ะ เขาก็แจ้งมาว่าตอนนี้ท่านประสบอุบัติเหตุ อยากให้เราไปหาตอนนี้ได้ไหม ณ ตอนนั้นเราอยากไปเดี๋ยวนั้นเลยแต่เราไปไม่ได้เพราะเราอยู่ขอนแก่นส่วนพ่อกับแม่ไปทำงานที่สมุทรปราการเราเลยบอกว่าไปไม่ได้พยาบาลก็ถามว่ามีเบอร์ใครพอจะมาที่โรงพยาบาลได้ในตอนนี้ไหม ตอนนั้นสมองเราตื้อไปหมดคิดหาใครไม่ออก อยู่ๆก็นึกถึงเบอร์พี่สาว(ลูกป้า) เลยให้เบอร์พี่สาว(ลูกป้า)ไป พอวางสายจากพยาบาลเราก็โทรหาแม่ แต่โทรเท่าไหร่ก็โทรไม่ติด เราจึงโทรพี่บอกว่าพ่อประสบอุบัติเหตุไปดูให้หน่อยได้ไหม พี่บอกว่าไปไม่ได้เพราะอยู่ปากเกร็ดไกลจากพ่อมากเดี๋ยวจะโทรหาแม่ให้ ด้วยความที่เราร้อนใจปนโมโหจึงตะคอกใส่พี่ว่า "โทรทำไมไปไม่ได้ก็ไม่ต้องไป ส่วนโทรหาแม่เค้าโทรแล้วโทรไม่ติด"แล้วเราก็ตัดสายไปจากนั้นเราก็โทรหาป้าแต่ลุงรับบอกว่าป้านึ่งข้าวอยู่แต่ลุงก็เอาโทรศัพย์ไปให้ป้า เราบอกป้าว่ามีโทรศัพท์จากโรงพยาบาลโทรมาบอกว่าพ่อประสบอุบัติเหตุและเราก็ติดต่อแม่ไม่ได้ ป้าบอกไม่เป็นไรเดี๋ยวโทรหาน้าให้น้าไปดูให้ใจเย็นๆ (ลืมไปเลยว่าน้าอยู่บางนาใกล้พ่อกับแม่แถมมีไปไหนมาไหนความเร็วมาก) ตือตอนนั้นมันเย็นไม่ได้หรอกผู้หญิงคนเดียวกับสถานการณ์แบบนี้ ร้อนลน อยู่ไม่ได้ โทรหาทุกคนที่น่าจะไปโรงพยาบาลนี้ได้ พยายามโทรหาแม่เริ่มแปลกใจที่แม่ไม่ยอมรับสาย มันนานเกินไป มันนานเกินไปจริง เราเริ่มกระวนกระวาย น้ำตาก็ไหล รู้ตัวแล้วว่ามันต้องมีเรื่องแน่ๆ เราเลยตั้งสติทั้งน้ำตาเข้าห้องน้ำอาบน้ำ แต่งตัวระหว่างนั้นก็คิดว่าทำไมโทรหาแม่ไม่ได้ แล้วทำไมพยาบาลต้องโทรหาเรา หรือแม่ประสบอุบัติเหตุด้วยแล้วแม่เป็นนอะไรไหมแม่ยิ่งเป็นเบาหวานอยู่แล้วถ้าแม่มีแผลจะหายไวไหม คิดไปต่างๆนา พอซักพักเราเลยโทรหาน้าแกบอกว่ากำลังจะไปหาพ่ออีก10 นาที่โทรมาใหม่นะ เราก็รอ ฟ้าเริ่มสว่างเราโทรหาป้าอีกครั้งแต่รอบนี้พี่ชายข้างบ้านรับสาย แล้วเราก็ได้ยินเสียงป้ากรีดร้องดังมาก เรายิ่งสติแตกไปกันใหญ่อยู่ๆพี่ชายก็บอกให้เตรียมตัวไว้นะจะให้ญาติไปรับกลับบ้านแล้วไปหาพ่อกับแม่ที่กรุงเทพกัน ตอนนั้นเราคิดเลยว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆ เลยถามพี่ไปว่า"พ่อเป็นอะไร ตอบหนูหน่อยพ่อเป็นอะไร"พี่ชายเลยบอกว่า "พ่อไม่เป็นไร" (ต่างคนต่างตะโกนใส่กัน)
"แล้วแม่(ป้า)ร้องทำไม"
"ไม่มีไรหรอก พ่อไม่เป็นไรหรอกตอนนี้อยู่ไอซียู เตรียมตัวกลับบ้านหล่ะ" เราร้อนใจมากน้ำตาก็ไหลไม่หยุดพอวางสายเราเลยรีบโทรหาน้า
ถามน้าว่า"พ่อเป็นไงบ้าง"
น้าก็บอกว่า "ตอนนี้พ่ออยู่ไอซียูหมอกำลังช่วยอยุ่ "
"แล้วแม่หล่ะน้า เป็นไรไหม แม่อยู่ไหน" น้าไม่ยอมตอบแต่ให้คุยกับน้าที่อยู่ข้างห้องแม่แทน
"น้ากบ แม่หนูหล่ะ เแม่หนูอยู่ไหน เป็นไงบ้าง"
"น้องทำใจดีๆนะ แม่เราเสียแล้ว "
เท่านั้นหล่ะตื้อไปหมดทั้งร้องไห้ ทั้งร้องลั่นห้อง น้าแกบอกให้เราตั้งสติ เราเลยถามว่าตอนนี้ใครมันจะตั้งสติได้หล่ะน้า แล้วมันเกิดอะไรขึ้น น้าแกเล่าให้ฟังว่ารถมันขับมาชนพ่อกับแม่ที่กลับมาจากไปจ่ายตลาด ตอนนี้น้าจะจับตัวมันได้แล้วมั้งมันหนี ตอนนั้นเราทั้งเสียใจทั้งโกรธที่ตอนนั้นไม่ได้อยู่ใกล้ๆท่าน ทั้งโกรธและเกลียดไอ้คนที่พรากพ่อกับแม่ไปจากเรา พอเราวางสายจากน้าเราก็รีบโทรหาพี่สาวทันที บอกข่าวเรื่องแม่ พี่ก็เล้าให้ฟังว่าเมื่อวานแม่ยังโทรมาเล่นกับเค้าอยู่เลย เราเลยเล่าให้แกฟังว่าเมื่อวันก่อนแม่โทรมายถามว่ามีเงินใช้ไหม ไม่เห็นยืมเงินแม่ใช้บ้าง แกพูดเชิงอยากให้ยืมเงินท่านเพราะท่านเห็นว่าเรายืมเงิน พี่สาว(ลูกป้า) และแม่(ป้า) แล้วเราให้ดอกด้วย500 เราเลยยืมแม่ไป2000 แล้วเมื่อวานตอนเที่ยงพ่อยังโทรมาบอกว่าโอนเงินเข้าให้แล้วอยู่เลยพอคุยกับพี่เสร็จเราก็แต่งตัวเก็บของกลับบ้านประมาณ7 โมงเช้า ญาติก็มารับ ขี่มาได้ซักพักพี่สาว(ลูกป้า)ก็โทรมาทั้งร้องไห้เราเลยบอกว่าหนูรู้แล้วไม่ต้องพูดหรอกหนูไม่อยากได้ยินมันอีกแกก็ร้องเราก็ร้อง แกบอกว่าจะพาแม่กลับบ้าน ให้เราไปรอแม่ที่บ้าน เราตกลง ระหว่างนั้นก็ร้องไห้ตลอดทางจนถึงบ้าน พอลงรถก็มีญาติมากอดเราพาเราเดินไปหาแม่(ป้า)ที่นั่งร้องไห้เราก็เข้าไปกอด ณ ตอนนั้นกอดกันร้องไห้ พอสายๆเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเราไม่รู้ว่าเป็นใครในตอนนั้นเราเลยให้แม่(ป้า)รับสายปลายสายบอกว่าพ่อเราเสีย ป้าเราเดินออกไปข้างบ้านแล้วร้องออกมาอย่างดังทั้งร้องไห้ ว่าไปอีกแล้ว ตายอีกคนแล้ว สิ บ เหลือให้เลย ติ จั๊กคน" เราร้องไห้จนไม่มีแรงจะร้อง ซักพักก็มีคนโทรมาบอกว่าหมอปั๊มหัวใจพ่อกลับมาได้แล้ว เราชื้นใจไปเปราะนึงว่าอย่างน้อยก็เหลือพ่อ ช่วงเช้าญาติและเพื่อนบ้านหลายคนมาช่วยเตรียมงาน พอประมาณช่วงบ่ายเราที่กำลังจะเดิไปบ้านน้า พอเดินไปถึงหน้าประตูเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นพี่สาวเราโทรมาบอกว่าพ่อเสียแล้วเรานี้ทรุดไปตรงหน้าบ้านอากาศร้อนๆแดดเปรี้ยงๆพ่อ(ลุง)เลยรีบมาพยุงเราเข้าบ้าน แม่(ป้า)ก็มานั่งกอดเราไว้ ความจริงศพแม่จะได้ออกโรงพยาบาลตอนบ่าย แต่วันนั้นพ่อเสียพี่สาว(ลูกป้า)เลยอยากเอาท่านทั้งสองออกมาพร้อมกันเพราะสมัยตอนยังมีชีวิตอยู่ไม่ว่าแม่จะด่า จะว่าพ่อขนาดไหน สิ่งที่พ่อทำคือยิ้ม พอแม่กลับจากขายกับข้าวพอก็จะมาบีบ มานวดให้ พ่อยอมให้แม่ทุกอย่างขนาดเคยพูดกับ แม่(ป้า)ว่าถ้าส่งเราเรียนจบ ก็จะไปบวชละ แม่ก็พูดเชิงหยอกว่าถ้าพ่อบวชจะพาเราไปหาหรอกเพราะเดี๋ยวพ่อมีเงิน 55555 พี่สาว(ลูกป้า)บอกว่าถ้าเอาศพออกจะให้เอาขึ้นคันเดียวกัน แกรักกัน แกรอกลับบ้านพร้อมกันซึ่งทุกคนไม่เห็นด้วยเพราะรถมูลนิธิให้ขึ้นได้ศพละคัน พี่สาว(ลูกป้า)เราไม่ยอมเราก็อยากให้พ่อกับแม่ไปด้วยกัน พี่สาว(ลูกป้า)ก็เลยจ้างรถตนรู้จักให้เอาศพท่านมาด้วยกันโดยที่ให้อีกคันขับเชิดหน้าขบวนหลอกตา คืนนั้นหลายคนโทรมาแสดงความเสียใจกับเราและมีน้องสาขาจากมหาวิทยาลัยส่งข้อความมาถามข่าว ถามไปถามมาจนได้รู้ว่าเป็นญาติกันทั้งที่ตลอด3ปีไม่เคยรู้เลย นี้หล่ะน้า ถ้าพ่อแม่ไม่ตายก็คงไม่รู้ว่าเป็นพี่น้องกัน
วันที่27 พ.ค.ศพมาถึงตอนเย็น เรามารอรับพ่อกับแม่ที่วัด ความจริงจะเอาไว้ที่บ้านที่หมู่บ้านเราไม่เคยมีเรื่องแบบนี้คือเสียพร้อมกันหน่ะ ผู้ใหญ่เลยเสนอให้เอามาไว้ที่วัด เราอยากดูหน้าพ่อกับแม่ก่อนเข้าโรงเย็นแต่ทุกคนทั้งงจับทั้งห้ามไม่ให้เราไปดูกลัวน้ำตาโดนท่าน ผู้ใหญ่แนะนำว่าให้เผามันที่28เลยเหตุผลเดิมมู่บ้านเราไม่เคยมีเรื่องแบบนี้คือเสียพร้อมกันหน่ะ คืนนั้นเรานอนเฝ้าพ่อกับแม่ที่วัด
วันที่28 พ.ค. ตอนบ่ายคู่กรณีมาตอนนั้นเรานั่งอยู่หน้าศพกำลังจับบังศกุลให้แม่สายตาเรามองไปเห็นพอดี รู้เลยใช่แน่ๆสัญชาตญาณมันบอกตอนนั้นใจเราเต้นแรงมากเราพยามยามไม่มองหน้าคู่กรณีมาไหว้ศพพ่อเรากำลังจะเข้ามาไหว้ของแม่เรา เรานั่งเอียงข้างให้ผู้ใหญ่ฝั่งเราเลยเข้ามาบอกเราว่าคนนี้เป็นคู่กรณีหันมาหน่อยพยายามจับเราหันเราก็ไม่หันสุดท้ายเราก้มไปร้องไห้ที่ตักแม่(ป้า) ท่านบอกคู่กรณีว่าเรายังไม่พร้อมให้ไปเตรียมตัวบวชหน้าไฟ พอคู้กรณีไปแล้วแม่(ป้า)จับเรานั่งแล้วกราบแม่คู่กรณีคืนเพราะตอนที่เราก้มหน้าร้องไห้แม่คู่กรณีกราบเราจะได้ไม่ถือเป็นบาปติดตัว และงานก็ผ่านไปอย่างราบรื่นคู่กรณีบวชหน้าไปให้ระหว่างนั้นญาติคู่กรณีก็ถ่ายรูปตลอดงาน พอบวชเสร็จก่อนกลับเราเข้าไปหาคู่กรณี
"พี่ขอโทษนะครับ"
"ค่ะ เรื่องมันผ่านไปแล้ว หนูว่าพี่คงไม่ได้ตั้งใจ"เรารอฝังว่าคู่กรณีจอยอมรับกับเราไหมว่าเมา เราอยากได้ยินจากปาก ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเมาแน่ เพื่อนข้างห้องแม่พอรู้ข่าวรีบไปตามเรื่องวกับคู่กรณีก็บอกว่าได้กลิ่นเหล้าแรงมา สถาพตอนให้สัมภาษณ์ก็ดูออกว่าเมา เจอก็ไม่กล้าสบตา หน้าเอ๋อๆ ทั้งที่เราเรียกได้ว่าจ้องเลยหล่ะ
พอแค่นี้ก่อนเดี๋ยวว่างมาเล่าใหม่