๏ รัก.. ชั่วนิรันดร์ ๏

กระทู้สนทนา
..

                  อุณหภูมิในห้องรับรองพิเศษเย็นเยียบลงอีกเท่าตัวเมื่อ‘ผม’ฟังคำอธิบายจากคนสามคนจบลง คุณหมอวัยหนุ่มสวมเสื้อกาวน์พูดน้อยกว่าเพื่อน คงเพราะอยู่ในฐานะตอบคำถามมากกว่าจึงได้แต่คอยให้ความรู้เชิงวิชาการในแต่ละประเด็น  หญิงสาวท่าทางแก่กว่าผมเป็นคนพูดมากกว่าใครทั้งหมด โดยมีผู้หญิงวัยกลางคนเป็นคนคอยเสริมคำพูดของหญิงสาวเป็นช่วงๆ

                  อาการอ่อนล้าซึ่งฝังในเนื้อตัวมาจากงานสวดพระอภิธรรม นั่นก็ทำให้ผมอิดโรยแทบก้าวขาไม่ออกอยู่แล้ว พอฟังเรื่องที่ผมไม่เคยเชื่อมาทั้งชีวิตซ้ำเข้าไปอีกเรื่อง  ทุกส่วนของร่างกายจึงคล้ายกับไม่อยากรับรู้สิ่งใดต่อไปอีกแล้ว  ผมนั่งจมอยู่กับโซฟาหนังนุ่ม  เสียงหญิงสาวผู้นั่งตรงข้ามยังอธิบายขั้นตอนและวิธีการของเธอด้วยความมั่นใจ  ขณะที่สภาพโสตประสาทของผมตอนนี้ ทำได้แค่เพียงฟังผ่านหูซ้ายทะลุหูขวา แค่นั้นเอง

                  แล้วผมก็พอจะเริ่มมีสมาธิขึ้นมา ก็ต่อเมื่อเธอเข้าเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อ‘เอิร์น’

                  ผู้หญิงซึ่งเป็น‘สาเหตุ’ให้ผมทนนั่งฟังคนสามคนเบื้องหน้ามาเป็นเวลาร่วมชั่วโมง  ผู้หญิงที่ทำให้ผมต้องชั่งใจกับตัวเองแล้วว่า... ผมควรจะร่วมมือกับคำเกลี้ยกล่อมเชิงขอร้องนั้น  หรือปฏิเสธ  สำหรับ...

                  การถอดจิต

                  ไม่ใช่สิ..  หญิงสาวคนนั้นเธอพูดถึงเรื่อง‘การเชื่อมจิต’มากกว่า

                  คำอธิบายเรื่องสมาธิ ... เรื่องฌาน ทำให้สมองผมตื้อโดยที่เธอยังไม่รู้  ประโยคใหม่ คำอธิบายใหม่ๆยังเดินหน้าราวกับลืมถามคนฟังว่าเขาเข้าใจหรือไม่  ผมเริ่มมามีสติก็ต่อเมื่อพวกเขาเริ่มพูดถึงผู้หญิงชื่อ‘เอิร์น’  หญิงสาวตรงหน้าบอกกับผมว่า  ขณะนี้ คลื่นหัวใจของเอิร์นเต้นแผ่วลงทุกชั่วโมงแล้ว

                  ผลจากเครื่องมือทางการแพทย์ประมวลและสรุปออกมาแล้วว่า ‘เอิร์น’จะยังมีลมหายใจได้อีกแค่แปดชั่วโมงเท่านั้น  หากเธอไม่ได้รับการเยียวยาจากพลังบางสิ่งเพื่อฉุดจิตวิญญาณของเธอให้ฟื้นกลับมา ชีพจรของเอิร์นจะค่อยๆหยุดเต้นและสิ้นลมหายใจในท้ายที่สุด

                  ส่วนลึกในใจผมกระซิบถามตัวเองว่า... แล้วมันเกี่ยวอะไรกับแกอย่างนั้นหรือ?  ผู้หญิงซึ่งไม่ได้รู้จักมักคุ้น  ไม่รู้แม้กระทั่งเธอเป็นคนเช่นไร  ทำไมแกจะต้องมารับผิดชอบกับลมหายใจของเธอด้วย?

                  สติสัมปชัญญะซึ่งเริ่มนิ่งแล้วตอบในทันทีว่า...  เพราะเธอคือคนที่จะไขคำตอบเรื่องการตายของพี่ชายแกไง

                  “เราสามารถทดสอบการเข้าถึงได้เลยหรือ” ผมเอ่ยขึ้นเป็นประโยคแรก  หญิงสาวตรงหน้าผมพยักหน้า ขณะที่อีกสองคนเปิดยิ้ม “พวกคุณคิดว่า สภาพจิตผมพร้อมแล้วอย่างนั้นเหรอ”

                  “ไม่มีใครรู้หรอกค่ะคุณกานต์  ถึงต้องบอกในตอนต้นๆไงคะว่า  คุณกานต์ต้องตรวจคลื่นสมองและคลื่นหัวใจรวมทั้งความดันเสียก่อน  ใช่ไหมคะคุณหมอวรุฒ” ประโยคท้าย หญิงสาวผู้นั้นหันไปถามคุณหมอด้านข้าง
                  “ใช่ครับ  คุณพิม” ผมเพิ่งนึกชื่อเธอออกก็ตอนนี้เอง
                  “เราจะเริ่มที่เครื่องมือปัจจุบันของคุณหมอก่อนเพื่อให้คุณกานต์คลายความกังวล” คุณพิมเว้นวรรคคำพูด “หลังจากพักสักสิบนาที เราก็จะเริ่มวิธีของพิมค่ะ  คุณกานต์พร้อมนะคะ”

                  “พร้อมครับ!”



                  ผมมองไปยังร่างบอบบางบนเตียงคนไข้  เค้าหน้าสวยหวาน  ไม่ใช่สิ  ใบหน้าซึ่งน่าจะเคยสวยหวานถูกพันศีรษะด้วยผ้าขาวจนมองไม่เห็นเรือนผมใดๆ  ดวงตาหลับลึกสองข้างไร้การปกปิด แต่ไร้เปลือกปกป้องความหมองช้ำ  จมูกที่ยังมองเห็นสันโด่งมีสายอ็อกซิเจนจ่อติดโพรงจมูก โหนกแก้มสองข้างยังแลเห็นรอยช้ำสีม่วงคล้ำ  ริมฝีปากรูปคันศรซีดเซียวราวกับคนซมไข้มาแรมเดือน  ลมหายใจของผมพลันระโรยแผ่วขณะห้ามตัวเองเองในใจว่า  อย่า  อย่าคิดในแง่เสมือนเธอกำลังจะหมดสิ้นแล้วสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง  อย่าคิดกับเธออย่างนั้น..

                  “กานต์จะคุยอะไรกับแม่ก่อนไหม” ‘น้าทิพย์’หรือผู้หญิงวัยกลางคนเอ่ยขึ้นด้านข้าง “อย่างน้อยมันก็อาจจะทำให้กานต์สบายใจขึ้น”
                  “ไม่เป็นไรครับ น้าทิพย์” ผมตอบเสียงเบา
                  “งั้นก็ตามใจจ้ะ เพราะสภาพจิตใจกานต์เข้มแข็ง มีสมาธิมากเลย” น้องสาวคุณแม่ผมคล้ายกับให้กำลังใจ
                  “คุณกานต์สมบูรณ์ทุกอย่าง ชนิดที่ไม่ต้องห่วงเรื่องของหัวใจ ความดันทั้งสิ้น” คราวนี้คุณหมอใบหน้าเกลี้ยงเกลาเป็นคนกล่าวเสริม

                  ผมหันไปมองคุณพิม  รอยยิ้มจริงใจซึ่งมองเห็นมาโดยตลอดทำให้ผมนิ่งขึ้นกว่าเดิม  มีบุรุษพยาบาลคนหนึ่งกำลังช่วยจัดเตียงร่วมกับพยาบาลสาวอีกสองคน  เตียงใหม่ถูกเคลื่อนย้ายเข้าไปชิดกับเตียงของเอิร์นด้านซ้าย มือขวาของเธอวางหงาย มองเห็นผ้าก็อซถูกตรึงไว้ด้วยพลาสเตอร์แปะปิดรอยเข็มกลางท้องแขนขาวเนียน

                  คุณพิมยืนอยู่ข้างเตียงด้านขวาและกำลังจ้องมองหญิงสาวผู้ไม่รู้สึกตัวบนเตียงเงียบๆ บุรุษพยาบาลหายไปแล้ว และนางพยาบาลอีกสองคนก็หายตามออกไปด้วย  เสียงบานประตูลั่นแก๊กราวกับสัญญาณอะไรบางสิ่งกำลังนับถอยหลัง ผมมองสบตากับคนทั้งสามทีละคน  คนสุดท้ายคือ‘คุณพิม’  ผู้มีจิตสัมผัสพิเศษ  และเป็นคนสำคัญพิเศษสำหรับภารกิจในคืนนี้โดยตรง

                  โลหะชนิดบางเบารูปทรงคล้ายเฮดโฟนสองตัวมีสายไฟระโยงระยางเชื่อมถึงกัน มันวางอยู่ข้างหมอนเอิร์นและหมอนบนเตียงว่างอีกตัว ปลายสายไฟอ่อนของวัตถุทั้งสองเสียบอยู่กับหน้าจอมอนิเตอร์หัวเตียง  ภาพเส้นกราฟวิ่งขึ้นลงคล้ายเครื่องตรวจคลื่นหัวใจทำให้ผมใจเต้นไปด้วย  คุณพิมผายมือเป็นเชิงให้ผมขึ้นนอนบนเตียง

                  ผมสบตากับทุกคนอีกครั้งก่อนพาตัวเองขึ้นเอนหลังลงกับที่นอนและหมอนสีขาว  ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศไร้ความเย็นโดยสิ้นเชิง  นั่นเป็นเพราะความร้อนในร่างกายผมกำลังเพิ่มขึ้น จากการเต้นระทึกของหัวใจนั่นเอง

                  คุณหมอวรุฒในชุดกาวน์เป็นคนจัดแจงครอบเฮดโฟนประหลาดนั่นให้ผมและเอิร์น เสียงปิ๊บดังขึ้นแทรกความเงียบขณะคุณหมอเปิดสวิทช์อะไรบางอย่าง ดวงตาของผมถูกคาดด้วยหน้ากากผ้าหนานุ่ม ภาพก่อนถูกปิดตาที่มองเห็น คือรอยยิ้มเจือจางจากน้าทิพย์และคุณพิมข้างเตียงของเอิร์น แล้วผมก็รู้สึกได้ว่า  คุณหมอจับมือซ้ายผมข้ามไปยังอีกเตียงอย่างแผ่วเบา

                  สัมผัสสุดท้ายของขั้นตอนเริ่มต้น ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด  เมื่อมือของตัวเองกำลังกุมกับมือขวานุ่มเนียนของเอิร์น

                  “จำไว้ให้มั่นนะคะ  คุณกานต์ต้องระลึกจิตทุกขณะว่าตัวเองไม่ได้ฝันไป  เพียงแต่กำลังอยู่ในห้วงความทรงจำของน้องเอิร์นต่างหาก” เสียงคุณพิมแว่วเข้าหูคล้ายกับยืนอยู่คนละฟากถนนไม่มีผิด

                  “ครับผม”



                  เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ผมไม่ทราบ  ทราบแต่เพียงว่าเสียงของคุณพิมซึ่งค่อยๆเบาลงและเบาลงนั้นหายไปในที่สุด ตอนแรกดูเหมือนผมจะมีปฏิกิริยาต้าน เพราะอยู่ๆผมก็ได้ยินเสียงคุณพิมดังขึ้น  นั่นคืออาการจิตวอกแวกตามที่เธอเคยบอกเอาไว้  คำพูดซึ่งค่อยๆเคลื่อนย้ายจิตของผมไปสู่ส่วนต่างๆตามการกำกับของเธอ ฟังแล้วนุ่มนวลละมุนหู ... ลำคอผ่อนคลาย ... ผ่อนคลาย ... ไหล่ผ่อนคลาย ... ผ่อนคลาย ... หน้าอกผ่อนคลาย ... ผ่อนคลาย ... หัวใจผ่อนคลาย ... ผ่อนคลาย ... แขนซ้ายผ่อนคลาย ... ผ่อนคลาย ... แขนขวาผ่อนคลาย ... ผ่อนคลาย ...

                  เธอพูดด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ แช่มช้า มือข้างหนึ่งกุมมือขวาของผม

                  และแล้ว

                  คล้ายกับผมจะวูบหลับไป  ขณะได้ยินเสียงราวกับใครกระซิบมาจากปลายเชิงเขาที่ไหนซักแห่ง   ... ขาซ้ายผ่อนคลาย ... ผ่อนคลาย  ... ขาขวาผ่อนคลาย  ...  ผ่อนคลาย  ...


(จบบทที่ 1)

เนื่องจากตั้งใจจะแต่งให้จบเรื่อง เลยทำให้ยังไม่ได้ตัดสินใจลงเสียที
คืนนี้ หลังจากเผลอหลับมาตั้งแต่ 6 โมงเย็น มาตื่นเอาเที่ยงคืน
เลยขอลงบทนำเรื่องบทที่ 1 เสียเลย
ขอบคุณนักอ่านที่แวะมาเยี่ยมเยียนกันนะครับ

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่