เล่าประสบการณ์ ภรรยาเก่าผมตาย และเธอไปเกิดเป็นเปรต


สวัสดีครับทุกท่าน   กระผมชื่อบุญส่ง (นามสมมุติ) อายุอยู่ในวัยพอสมควร  ผมใช้เวลาไตร่ตรองอยู่นานว่าควรจะแบ่งปันเรื่องราวของผม
ดีหรือไม่  เหตุผล เพราะผมเป็นคนไม่ค่อยอยากจะยุ่งเกี่ยวกับโซเชียลมากนัก  ด้วยเป็นคนสมถะ  ไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใครเกินความจำเป็น
แต่พระอาจารย์  ผู้มีเมตตา  และกรุณาช่วยเหลือผม  ท่านแนะนำว่า  ผมคือผู้มีประสบการณ์ตรง  เหมือนพระพุทธองค์ท่านตรัสรู้แล้วออก
ประกาศสิ่งที่พระพุทธองค์รู้  ให้ผู้อื่นได้รู้ด้วย  จึงจะเกิดกุศล  ผมเองก็ควรจะออกไปประกาศสิ่งที่พบ  ให้ผู้อื่นได้รู้เช่นเห็นจริงดังที่ผมได้เจอมา
ผมถามพระอาจารย์ว่า   มันจะดีจริงๆหรือครับ   เพราะเรื่องพวกนี้  ทุกวันนี้ มันกลายเป็นหนัง  เป็นความงมงาย  เป็นเรื่องตลกขบขันไปหมดแล้ว  หากผมนำออกไปเล่า  คงจะมีคนพากันเหน็บแนม ดูถูกให้ผมเคืองใจเป็นแน่

>>>>>>พระอาจารย์ตอบผม  บัวยังมี4เหล่า  เต่ายังมี4ขา  ปลาหรือก็มีหลายชนิด  มนุษย์ล้วนเป็นไปตามกรรม  หากเขาฟังเธอ  แล้วติเตียน
เหน็บแนมเธอ  ก็ขอให้คิดเสียว่า  นั่นคือกรรมของเขาเอง  แต่หากมีผู้ฟังสิ่งที่เธอเล่า  แล้วประพฤติตาม  นั่นคือผู้มีบุญ  เธอเล่าไป1000คน
มีคนเชื่อเธอแล้วเขาเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เกรงกลัวต่อบาปเพียง1คน  นั่นคือกุศลต่อตัวเธอแล้ว<<<<<<<

>>>>เมื่อได้ฟังคำตอบดังนี้แล้ว  ผมจึงตั้งใจมาถ่ายทอดเรื่องราว  ชีวิตของผมเอง  ให้ท่านได้พิจารณาตามแต่เวรและกรรมของตัวท่านเอง
ว่าจะมองไปในทิศทางไหน  เรื่องที่จะเล่านี้  ผมไม่ได้แต่งเติมเสริมความแต่ประการใด  เป็นการพยายามเรียบเรียงจากความทรงจำ  
ผมไม่ใช่นักเล่า นักพูดมืออาชีพ  เป็นเพียงผู้ปฏิบัติธรรมขั้นต้น  ที่มาเล่าสู่ท่านฟังท่านอ่านเท่านั้น  ขออย่าได้กล่าววาจาว่าร้ายต่อกัน
แต่เพราะเรื่องราวนี้  มีผู้เกี่ยวข้องโดยตรงคือ อดีตภรรยาของผมและเธอก็เป็นแม่ของลูกสาวผม    ผมไม่ได้ต้องการมาประจานเธอ
ผมจึงขอใช้นามแฝง  และไม่เจาะจงลงไปให้แคบมากเกินไป  เพราะนั่นไม่ใช่ใจความสำคัญที่ต้องการจะสื่อให้ทราบ


>>>>>>ผมเป็นคนบ้านนอกครับ  เป็นคนกระบี่  ผมมีพี่น้อง6คน  พ่อแม่ผมค่อนข้างมีฐานะ  เพราะมีสวนปาล์มหลัก100ไร่
ผมเป็นลูกคนสุดท้อง  เลยได้มีโอกาสเรียนสูงกว่าพี่น้องคนอื่นๆ  ผมเรียนจบ ปริญญาตรี  ซึ่งในยุคนั้นคนจบ ป.ตรี  ถือว่ามีความเก่งและได้รับการเยินยอ ยอมรับจากชาวบ้านค่อนข้างสูง  ผมมาเรียนที่กรุงเทพ  ก็ยังติดใจสังคมเมือง  เลยบอกครอบครัวไปว่า  ผมจะขอหางานทำอยู่ที่นี่
ถ้าไม่ได้ไม่ดี  ค่อยกลับใต้  ไปช่วยครอบครัวบริหารงานสวนปาล์ม  พ่อแม่ผมก็ตามใจ  ช่วงนั้นผมไปได้งานที่ชลบุรี ในปี42
ผมทำงานที่นั่นได้2ปี  กลางๆปี44  ผมไปสะดุดตาสาวโรงงานคนหนึ่งเข้า  เธอเป็นคนผิวขาว  รูปร่างหน้าตาดี  ผมตกหลุมรักเธอตั้งแต่ครั้งแรก
ที่ได้พบในร้านข้าวแกงที่ผมไปนั่งกินเป็นครั้งแรก  เพราะร้านนั้นชาวโรงงานจะนิยมมากินกัน  และยูนิฟอร์มเธอก็บ่งบอกให้รู้


>>>>>>ผมเองตอนนั้นก็เป็นหนุ่มแน่น  ตั้งใจเรียนจนได้งานทำ  ก็ไม่เคยมีแฟน  ถึงจะเคยชอบๆสาวกรุงเทพบ้าง
  แต่ก็ไม่เคยไปสานสัมพันธ์กับใคร    ผมไม่กล้าเข้าไปทัก  ได้แต่แอบมอง  เพราะเธอนั่งกับเพื่อนเธอหันหน้ามาทางผม
บ่อยครั้งที่เผลอสบตา  ผมก็จะหลบไปมองอย่างอื่นทุกครั้ง
ตั้งแต่วันนั้นมา  ผมก็จะไปนั่งกินข้าวที่ร้านนั้นทุกวัน  ผมทำแบบนั้นอยู่ประมาณ1เดือน  ผมไม่เคยเห็นว่าเธอจะเดินควงผู้ชายสักครั้ง
ผมจึงมั่นใจว่าเธอน่าจะยังไม่มีคู่ครอง  เลยเริ่มที่จะถามคุณป้าเจ้าของร้านข้าวแกงเกี่ยวกับเธอคนนั้น  คุณป้าก็บอกข้อมูลผมเท่าที่คุณป้าทราบว่า

     >>>อ๋อ นั่นหรอ  ชื่อ มาลัย (นามสมมุติ)  คนอุบล  เป็นคนงานโรงงานนี้แหละ  ลูกผัวไม่มีหรอก  ทำไม สนใจหรือ<<<
ผมบอกคุณป้าไปตามตรงว่า  ที่ผมมานั่งกินข้าวร้านนี้ทุกวัน  เพราะชอบสาวคนนั้น  คุณป้าก็หัวเราะ แล้วยิ้มคุยกับผมด้วยความเป็นกันเอง
คุณป้าบอกผมว่า  รักชอบ ก็เข้าไปคุยดูสิ  ไม่ลองจีบ แล้วจะมีเมียได้ยังไง


>>>>>วันรุ่งขึ้น  ผมจึงรวบรวมความกล้า  เข้าไปพูดจาปราศรัยกับเธอ  ด้วยคำว่า ...สวัสดีครับ  ผมชื่อบุญส่ง มันคงจะดูแปลกๆที่ผมเข้ามาคุยกับคุณ  เพราะเราไม่รู้จักกัน  แต่ผมอยากบอกกับคุณว่า  ผมจะขอรู้จักกับคุณจะเป็นการรบกวนไหม  ถ้าคุณจะไม่ถูกใจและปฏิเสธผมก็จะไม่รบกวนคุณ  แต่ผมอยากบอกว่า  ที่ผมมานั่งกินข้าวร้านนี้ทุกวัน  เพียงเพราะผมอยากเห็นหน้าคุณ

>>>>>เธอมองผมเหวอๆ  และหันไปทำท่าเขินๆกับเพื่อนของเธอ ที่นั่งอยู่2คน   เธอคุยกันเป็นภาษาอีสาน ซึ่งผมก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก
เพื่อนเธอคนหนึ่งถามผมว่า  ...ชอบมาลัยหรือ....ผมบอก (ใช่ครับ)  พวกเธอเชิญผมนั่งข้างๆมาลัย  ผมยิ้มให้มาลัย มาลัยเขินม้วน  เอามือปิดปาก
แล้วยิ้มหัว พูดอะไรไม่ออก  เมื่อยามที่เพื่อนของเธอยิงคำถามและคำแซวใส่ผมแทนมาลัย  เพราะการแต่งตัวของผมนั้น  เห็นได้ชัดว่า  
ทำงานมีตำแหน่ง   ไม่ใช่ระดับแรงงาน  การเริ่มต้นครั้งนั้น  จบลงที่เพื่อนของมาลัย  เป็นคนชวนพูดและยุยงเสียส่วนใหญ่
เพราะมาลัยเหมือนจะเอาแต่เขินจนพูดไม่ออก   คงจะไม่ชิน เพราะผมเป็นคนที่พูดจาสุภาพ  ในขณะที่มาลัยจะเป็นคนพูดเล่นแก่นนิดๆเมื่อเจรจากับเพื่อนของเธอ  


>>>>>เธอไม่มีโทรศัพท์  ผมจึงจะสามารถคุยกับเธอได้  ผ่านการไปพบเจอที่ร้านข้าวแกงร้านนั้น  หรือหากอยากจะเจรจายาวๆ  
ผมก็จะเขียนจดหมาย  พร้อมการ์ดสวยๆ  ไปให้เธอ  เพื่อที่ผมจะพรรณนาความรู้สึกทั้งหมดให้เธอได้รู้  แล้วเธอก็ตอบสนองผมด้วยการ
เขียนจดหมายคุยกลับมาเช่นกัน  ผมคุยกับเธออยู่แบบนั้นเรื่อยมา  ผมเรียนรู้และศึกษาเธอทั้งข้อมูลส่วนตัว  อุปนิสัยใจคอ
เธอเรียนมาแค่ ม.3  และทางบ้านมีฐานะไม่ดี  เธอเคยมีสามีผูกข้อไม้ข้อมือกันมาตั้งแต่อายุ16 พออายุได้20 สามีเธอคนนั้น   ก็เลิกกับเธอไป
ทำให้เธอตัดสินใจมาทำงานโรงงานกับเพื่อนที่ชลบุรีจนถึงตอนนี้   มีคนมาจีบมาลัยเยอะ  เพราะมาลัยเป็นคนขาว สวย   รูปร่างดี
ตามฉบับสาวงามเมืองอุบล


>>>>หลังเทศกาลปีใหม่  ปี45  ผมกลับมาทำงาน  ผมไปรอเจอมาลัยที่ร้านข้าว  ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มงาน  แต่ผมไม่เจอมาลัย  ผมเจอแต่เพื่อนของเธอ  ผมทุกข์ใจเพราะเธอไม่มีโทรศัพท์  จะโทรถามก็ไม่ได้  เลยไปถามเพื่อนเธอ  ว่ามาลัยหายไปไหน  เพื่อนเธอบอกว่า  มาลัยย้ายที่ทำงานแล้ว
เพราะทางบ้านมาลัยมีหนี้ก้อนใหญ่   งานโรงงานได้เงินน้อย  เธอเลยไปพัทยา  จะไปทำงานที่นั่น  ผมตกใจเมื่อรู้ว่ามาลัยจะไปทำงานที่พัทยา
คนรูปร่างหน้าตาดี  แต่เรียนมาน้อยอย่างมาลัยจะไปทำงานอะไรได้  ให้ได้เงินมากๆ  ผมลางานในวันรุ่งขึ้น  และจ้างเพื่อนของมาลัยให้พาผมไปหามาลัย  ด้วยเงิน1000บาท  เพื่อนของมาลัยก็พาผมไปหามาลัยที่พัทยา  เป็นร้านนวด


>>>>ผมขอเจอมาลัย  เจ้าของร้านก็ให้เจอ  มาลัยตกใจ  แล้วบอกผมว่าจะมาทำไม  ผมบอกกับเธอว่าผมรักเธอ  และอยากจะรับเธอไปอยู่ด้วยกัน  เธอจะได้ไม่ต้องมาทำงานในที่แบบนี้  มันดูไม่ดีนักหรอก  ส่วนเรื่องแต่งนั้น  ผมจะเข้าไปคุยกับทางบ้านของเธอเองที่อุบล
เธอดูลังเล  เธอบอกว่าเธอต้องทำงานเพื่อหาเงินช่วยครอบครัวไปใช้หนี้เขา  เธอคงไปอยู่กับผมไม่ได้หรอก  ผมถามเธอว่าเท่าไหร่กัน
เธอบอกผมว่า  (2แสน)  ผมเองตกใจมาก  เพราะเงิน2แสน  ยุคนั้น มันไม่น้อยเลย  ผมเองก็ทำงานมา   มีเงินเก็บไม่ถึงแสนเลย
แต่ผมก็บอกเธอไปว่า  เดี๋ยวผมจะหาทางช่วยมาลัยเอง  ขอแค่มาลัยเลิกทำงานนี้  แล้วไปอยู่เป็นเมียผมที่ห้องเช่า
มาลัยจะทำงานโรงงานตามเดิม  หรือทำงานอื่นก็ได้  ส่วนหนี้นั้นผมจะพยายามช่วยเหลือเอง


>>>>มาลัยมีความลังเล  เหมือนเธอใช้ความคิดอย่างหนัก  แต่เพื่อนเธอที่ไปด้วย  ก็ช่วยพูด  จนมาลัยยอมลาออก  และมาอยู่กับผมในฐานะเมีย
ผมโทรไปบอกกับแม่เรื่องผมมีเมียแล้ว   แม่ผมก็แสดงอาการไม่พอใจอยู่มาก  เมื่อรู้ปูมหลังของเมียคนแรกผม  เหมือนจะบอกว่า  แม่มองหาสาวแถวบ้านที่เหมาะสมไว้ให้แล้ว  อย่าเอาเลยคนนั้น  แต่เมื่อผมบอกไปว่า  ผมกับมาลัยได้เสียกันแล้ว  และมาลัยก็ท้องกับผมแล้ว  แม่จะให้ผมทิ้งเธอกับลูกของผมหรือ  แม่ผมเป็นคนธรรมมะธรรมโม  เมื่อรู้แบบนั้น  แม่ก็ เออๆ แล้วแต่ผมแล้วกัน  ผมเลยถือโอกาสขอยืมเงินแม่
1แสน5หมื่นบาท  เมื่อตอนพาเมียลงมาไหว้แม่  ในช่วงสงกรานต์  แม่ผมไม่ขัดข้อง   เพราะผมยืนยันว่าผมจำเป็นต้องใช้เงิน  
แล้วจะคืนให้แม่ทุกบาท  และการเจอกับญาติๆของผมในครั้งนั้น  แรกๆก็ดูอึมครึมอยู่บ้าง  แต่เพราะมาลัยเป็นคนที่เข้ากับคนได้ค่อนข้างดี
สมัยนี้คงใช้คำว่า   (เฟรนลี่)  น่าจะได้  ทำให้ญาติๆผมรู้สึกชอบมาลัยในที่สุด


>>>>>ตอนผมพามาลัยไปบ้านครั้งแรกนั้น  เพื่อนเก่าๆผม  ล้วนแต่มาแซวผมว่า  ผมทำบุญด้วยอะไร  หน้าตาก็ธรรมดา   แต่หาแฟนได้สวยขนาดนี้  ผมได้แต่ยิ้มๆและพูดคุยไปว่า บุพเพสันนิวาสนั่นแหละ  มาลัยยังกลับไปทำงานโรงงานเดิม  เพิ่มเติมคือมาลัยท้องลูกคนแรกกับผม
พอขึ้นปีใหม่ปี46  ผมไปบ้านมาลัยที่อุบล  เพราะทางบ้านของเธออยากเจอตัวผัวมาลัย  คนที่ส่งเงิน2แสน  มาช่วยบ้านเธอปลดหนี้
ผมเป็นคนมีสัมมาคารวะ  ผมเลยเป็นที่รักของครอบครัวมาลัย     ครอบครัวเธอก็ต้อนรับผมดี  ผมคุยกับพ่อแม่เธอว่า  มาลัยท้อง  แต่ผมยังมีเงินไม่พอจะมาขอแต่งงาน  พ่อแม่เธอว่า  ไม่ต้องแต่งให้เปลืองหรอก  ผูกข้อต่อมือ  เอาเงินใส่พาน999บาทก็พอแล้ว  สินสอดมันเรื่องเล็กน้อย
มาลัยโชคดีแค่ไหนแล้ว  ที่ได้ผัวแบบผม  ผมเลยเข้าพิธีผูกข้อไม้ข้อมือกับมาลัยในช่วงนั้น
  

>>>>>ปลายปี46  มาลัยคลอดลูกให้ผม  เป็นลูกสาว  ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ดี  ผิวขาวเหมือนแม่  ผมให้มาลัยลาออกจากงาน มาเลี้ยงลูกเฉยๆ
เพราะไม่อยากให้เธอเหนื่อยเกินไป  แล้วจะได้ดูแลลูกของเราด้วย  พอลูกได้3ขวบ  พ่อกับแม่ผมก็บอกว่า  ทำไมต้องให้เมียกับลูกไปอยู่
ใกล้เขตโรงงาน  มีแต่ฝุ่นและสารเคมีทั้งนั้น  ลูกกับเมียจะไม่แข็งแรงได้นะ   ผมถามแม่ว่า  ผมควรทำยังไง  เพราะผมก็ต้องทำงาน  และตำแหน่งงานตำแหน่งเงินก็ดีขึ้นเรื่อยๆ  ถ้าจะให้ผมลาออกเพื่อพาเมียย้ายไปที่อื่น  ผมก็เสียดาย  แม่ของผมจึงเสนอว่า  แม่จะขอเอาหลานไปเลี้ยงเอง  ผมถามมาลัย  มาลัยบอกก็ดีนะ  เพราะแม่ผมเลี้ยงลูกหลานมาหลายคน  คงไม่น่าห่วงอะไร   แล้วเธอก็จะได้กลับมาทำงานด้วย
เธอเองก็เบื่อที่จะเลี้ยงลูกอยู่บ้านเหมือนกัน  ลูกสาวของผมจึงถูกแม่ผมมารับตัวไปอยู่ด้วยกันที่กระบี่  ส่วนทางผมนั้นก็ยังตั้งหน้าตั้งตาทำงานต่อไป   ส่วนมาลัย  เธอก็กลับมาทำงาน  พร้อมๆกับการเรียน  จนจบ  ม.6  กศน.  จนกลางๆปี51 ตอนนั้นลูกผมได้5ขวบ
ผมเองก็มีเงินเก็บจากการทำงานจำนวนหนึ่ง จึงคิดอยากจะซื้อบ้านไว้ให้ลูกมาอยู่พร้อมหน้ากัน  ตอนนั้นผมเองก็มีรถยนต์แล้ว

>>>>>มาลัยบอกกับผมว่า  ถ้าจะมีบ้าน  เราไปซื้อที่ดินสร้างบ้านที่อุบลบ้านเกิดเธอดีไหม    เพราะคนข้างบ้านเธอคนหนึ่งประกาศขายที่ดิน
ที่อยู่ติดกับบ้านพ่อแม่เธอ  ราคาไม่แพงมาก  เพราะในอนาคต  เธออยากไปอยู่ดูแลพ่อแม่ที่แก่เฒ่าใกล้ๆ  ผมเลยตกลงไปซื้อที่ดินผืนนั้นไว้
แล้วลงเงินสร้างบ้านขนาดพออยู่1ครอบครัวขึ้น1หลัง  ผมลงไปรับลูกสาวที่กระบี่  ไปหาตากับยายของน้องที่อุบลบ้าง   ลูกสาวผมหน้าตาน่ารัก
เพราะได้แม่มาทั้งดุ้น   ญาติๆของมาลัยต่างรุมรักในตัวลูกสาวผมกับมาลัยทั้งนั้น  เราใช้ชีวิตกันแบบนี้อย่างมีความสุขเรื่อยมา
พอหลังปีใหม่  ปี53  มาลัยก็มาอ้อนผม  ว่าจะขอกลับไปอยู่บ้าน  ที่สร้างไว้อุบล  เธอบอกว่า พ่อแม่เธอตอนนี้ ป่วยกระเสาะกระแสะ
เธออยากไปอยู่ใกล้ๆเพื่อดูแลพ่อแม่  ผมไม่ขัดใจมาลัย   เพราะผมเข้าใจดีว่า  บุตรที่ดี  พึงมีความกตัญญูต่อบุพการี  ข้อนี้ผมเห็นดีด้วย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่