ดิฉันแต่งงานมาร่วมๆ10ปี มันมีสัญญาณมาตั้งแต่ก่อนแต่งงานแล้วว่า สามีดิฉันค่อนข้างจะหงุดหงิดขุ่นเคืองได้ง่าย หากรายจ่ายนั้น เราแบ่งไม่เท่ากัน
ดิฉันพยายามมองข้ามจุดนี้ไป เพราะคิดว่าคงจะรับได้ และมันไม่ใช่ประเด็นสำคัญอะไร อะไรที่ช่วยกันได้ ดิฉันยินดีจ่ายแน่นอน
แต่เมื่อเวลาผ่านไป อะไรๆก็ย่อมชัดเจนมากขึ้น
เมื่อรายจ่ายของครอบครัวเรามีมากขึ้น ต่างคนก็ต่างทำหน้าที่ของตัวเองไป ช่วยกันผ่อน ช่วยกันจ่าย
แน่นอนค่ะ เราไม่ได้มานั่งจิ้มเครื่องคิดเลขหารสองอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น เราจึงแบ่งกันเท่าที่ดูเหมือนจะเท่าเทียมกันมากที่สุด เฉพาะในรายจ่ายที่เป็นทางการคือมีใบเสร็จ แต่ค่าใช้จ่ายอื่นๆในบ้าน ดิฉันเป็นคนจ่าย แต่ไม่เคยเอามาคิด สามีดิฉันก็มีช่วยจ่ายบ้างบางโอกาส
แต่อยู่มาวันหนึ่ง ดิฉันก็ได้รับคำกระแทก-ดันจากสามี ว่าเขาไม่มีเงินจะใช้เลย ต้องผ่อนนู่นนี่นั่นที่เป็นภาระของครอบครวมากมาย(ดิฉันก็ผ่อนด้วยเช่นกันแต่ในจำนวนที่ไม่ได้หารสองเป๊ะๆหรอกนะคะ)
ดิฉันจึงถามว่า จะให้ช่วยอะไรมั้ย คุยไปคุยมา ดิฉันจึงจับทางได้ว่า เขาต้องการให้ดิฉันผ่อนอาคารพานิชย์ที่ดิฉันใช้เปิดกิจการอยู่นี้ เพียงคนเดียว (เดือนละ5หมื่นบาท ก่อนหน้านี้ ดิฉัน3/สามี2หมื่น)เพราะเขาต้องผ่อนบ้านที่เราอยู่ด้วยกัน
เดือนละ 15,000 และผ่อนรถของเขา ส่วนดิฉันผ่อนอาคารพานิชย์ ผ่อนรถของตัวเอง ค่าน้ำค่าไฟ ค่าจ้างซักรีดและค่าใช้จ่ายอื่นๆในบ้าน ค่าใช้จ่ายของลูกๆ ค่าเรียนพิเศษ ฯลฯ
ดิฉันใจนักเลงมากไปรึเปล่าที่ตอบตกลงทั้งๆที่ตัวเองไม่แน่ใจว่าจะหารายได้พอกับรายจ่ายเหล่านั้นรึเปล่า
แต่ที่แน่ๆ ดิฉันคิดว่า มันทำให้ดิฉันสบายใจไม่ต้องทนอยู่แบบมีคนมองว่าเอาเปรียบ
เพราะการที่ผู้ชายมีมึนตึงหงุดหงิดใส่ด้วยเรื่องค่าใช้จ่าย ดิฉันว่ามันไร้สาระมาก
แต่ถ้ามองกลับกัน ดิฉันเป็นผู้หญิง
ลึกๆดิฉันก็อยากจะมีคนดูแลเอาใจ
ไม่ใช่ปล่อยให้ต้องมาเครียดว่า ชั้นเป็นภาระของใครรึเปล่านะ
คุณผู้ชายเค้าคิดไงกันคะ?
ปกติมั้ย ถ้าผู้ชายตะมึนตึงใส่ภรรยา ด้วยเหตุผลคือค่าใช้จ่ายไม่เท่าเทียมกัน
ดิฉันพยายามมองข้ามจุดนี้ไป เพราะคิดว่าคงจะรับได้ และมันไม่ใช่ประเด็นสำคัญอะไร อะไรที่ช่วยกันได้ ดิฉันยินดีจ่ายแน่นอน
แต่เมื่อเวลาผ่านไป อะไรๆก็ย่อมชัดเจนมากขึ้น
เมื่อรายจ่ายของครอบครัวเรามีมากขึ้น ต่างคนก็ต่างทำหน้าที่ของตัวเองไป ช่วยกันผ่อน ช่วยกันจ่าย
แน่นอนค่ะ เราไม่ได้มานั่งจิ้มเครื่องคิดเลขหารสองอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น เราจึงแบ่งกันเท่าที่ดูเหมือนจะเท่าเทียมกันมากที่สุด เฉพาะในรายจ่ายที่เป็นทางการคือมีใบเสร็จ แต่ค่าใช้จ่ายอื่นๆในบ้าน ดิฉันเป็นคนจ่าย แต่ไม่เคยเอามาคิด สามีดิฉันก็มีช่วยจ่ายบ้างบางโอกาส
แต่อยู่มาวันหนึ่ง ดิฉันก็ได้รับคำกระแทก-ดันจากสามี ว่าเขาไม่มีเงินจะใช้เลย ต้องผ่อนนู่นนี่นั่นที่เป็นภาระของครอบครวมากมาย(ดิฉันก็ผ่อนด้วยเช่นกันแต่ในจำนวนที่ไม่ได้หารสองเป๊ะๆหรอกนะคะ)
ดิฉันจึงถามว่า จะให้ช่วยอะไรมั้ย คุยไปคุยมา ดิฉันจึงจับทางได้ว่า เขาต้องการให้ดิฉันผ่อนอาคารพานิชย์ที่ดิฉันใช้เปิดกิจการอยู่นี้ เพียงคนเดียว (เดือนละ5หมื่นบาท ก่อนหน้านี้ ดิฉัน3/สามี2หมื่น)เพราะเขาต้องผ่อนบ้านที่เราอยู่ด้วยกัน
เดือนละ 15,000 และผ่อนรถของเขา ส่วนดิฉันผ่อนอาคารพานิชย์ ผ่อนรถของตัวเอง ค่าน้ำค่าไฟ ค่าจ้างซักรีดและค่าใช้จ่ายอื่นๆในบ้าน ค่าใช้จ่ายของลูกๆ ค่าเรียนพิเศษ ฯลฯ
ดิฉันใจนักเลงมากไปรึเปล่าที่ตอบตกลงทั้งๆที่ตัวเองไม่แน่ใจว่าจะหารายได้พอกับรายจ่ายเหล่านั้นรึเปล่า
แต่ที่แน่ๆ ดิฉันคิดว่า มันทำให้ดิฉันสบายใจไม่ต้องทนอยู่แบบมีคนมองว่าเอาเปรียบ
เพราะการที่ผู้ชายมีมึนตึงหงุดหงิดใส่ด้วยเรื่องค่าใช้จ่าย ดิฉันว่ามันไร้สาระมาก
แต่ถ้ามองกลับกัน ดิฉันเป็นผู้หญิง
ลึกๆดิฉันก็อยากจะมีคนดูแลเอาใจ
ไม่ใช่ปล่อยให้ต้องมาเครียดว่า ชั้นเป็นภาระของใครรึเปล่านะ
คุณผู้ชายเค้าคิดไงกันคะ?