ดิฉันตัดสินใจเก็บของออกจากบ้านที่เป็นเรือนหอ แต่งงานอยู่กินกับสามีมาได้เพียง 1 ปีกับ 3 เดือนค่ะ
วันที่ออกจากบ้านดิฉันกับสามีไม่ได้มีเรื่องทะเลาะหรือมีปากเสียงกันค่ะ แต่เรามีเรื่องไม่เข้าใจกันสะสม
แล้วทะเลาะกันเรื่องเดิมๆ ครั้งใหญ่มา 4 คร้งแล้วในรอบ 1 ปี หลังจากที่เราแต่งงานกัน ดิฉันขออนุญาติเล่าถึง background ของดิฉันและสามีให้ฟังหน่อยนะคะเราเรียนป.โทที่เดียวกันค่ะ คบหากัน 2 ปีจากเพื่อนแนะนำ
ตอนนี้ดิฉันอายุ 32 ปี สามีดิฉันอายุ 40 ปี ตอนคบหากันดิฉันทราบมาก่อนแล้วค่ะว่าเค้ามีลูกติด 2 คน ชาย 1 คน ตอนนี้ 9 ขวบและหญิง 1 คน ตอนนี้ 6 ขวบ เค้าหย่าขาดจากภรรยาเก่ามาแล้ว 3 ปี ตอนที่คบกันเด็กไม่เคยเป็นเงื่อนไขในความสัมพันธ์ของเราเลยค่ะ เค้าแบ่งเวลาให้ดิฉันกับลูกอย่างเหมาะสมอาทิตย์เว้นอาทิตย์ หรืออาทิตย์ไหนที่เค้าต้องไปเป็นเพื่อนดิฉันทำงานต่างจังหวัดจริงๆเค้าก็ฝากแม่เค้าดูแลได้ไม่เป็นปัญหาด้านการแบ่งเวลาแต่อย่างใด
เราชอบเที่ยวเหมือนกัน รสนิยมใกล้เคียงกัน ข้อดีของเค้าเป็นคนมีวินัย มีความรับผิดชอบ สปอร์ต และไม่เจ้าชู้
ข้อเสียคือใจร้อน หงุดหงิดง่าย เจ้าอารมณ์ (ดิฉันก็มีข้อเสียตรงนี้เหมือนกัน)ส่วนใหญ่จะผลัดกันเป็น วีนๆสักพัก พอเราเงียบๆไป ก็จะหายไปเอง
แต่มีข้อเสียที่มาพบทีหลังคือคิดเล็กคิดน้อยเรื่องเงิน และเอาตัวเองเป็นใหญ่คบกันมา 2 ปี เค้าก็เริ่มคุยว่าอยากจะสร้างครอบครัว
ลูกก็โตขึ้นทุกวันจะได้ปรับตัวกับเราได้ง่าย แต่ปกติเด็กจะอยู่กับแม่และป้าค่ะ เค้าจะกลับมาบ้านพ่อกับย่าเค้าสลับกันในบางวันหยุด
เท่านั้น ปิดเทอมก็กลับบ้านยายที่ต่างจังหวัด สามีดิฉันรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเด็กและค่าเลี้ยงดูรายเดือน ส่วนบ้านที่เค้าอยู่กับแม่จะยกให้เป็นของลูกเค้าและอาจจะรับมาอยู่ด้วยเมือ่เด็กเริ่มเรียนมัธยม ดิฉันก็ตัดสินใจแต่งงานกับเค้าเห็นว่าเป็นคนดี รักครอบครัวและรับผิดชอบครอบครัว
โดยก่อนแต่งงานเราได้ซื้อเรือนหอไว้เป็นชื่อร่วมกัน เพื่อบ้านนี้จะเป็นบ้านสำหรับครอบครัวเรา และลูกของเราที่ตั้งใจว่าจะมีด้วยกัน 1 คน
หลังจากที่ดิฉันเริ่มเซ็นกู้บ้านร่วมกัน และจัดงานแต่งกับเค้าดิฉันเริ่มเห็นนิสัยแปลกๆ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนตอนเป็นแฟนกันค่ะ คือเค้าเริ่มแสดงความกลัวเสียผลประโยชน์มากเกินไปจนดิฉันรู้สึกขาดความมั่นใจในตัวเค้า เค้าเคยเล่าให้ฟังเรื่องว่าการหย่าร้างของเค้าทำให้เสียเงินเสียทรัพย์สินไปมากมาย
แต่ก็ไม่คิดว่าจะมีผลทำให้เค้าที่เคยสปอร์ตตอนเป็นแฟนกลายเป็นคนงกและคิดเล็กคิดน้อยไปได้
เริ่มจากเงินดาวน์บ้าน ต่อเติม ตกแต่งมูลค่าล้านกว่าบาท เค้าบอกว่าขอให้สินสอดมาลงอยู่ในนี้เงินที่ใส่พานไปขอในงานขอให้แม่ดิฉันคืน
ซึ่งแรกๆเราก็ไม่คิดอะไรมากเพราะพ่อแม่มีแต่อยากเห็นลูกไปใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุข ไม่ได้จะเอาเงินอยู๋แล้ว
ดิฉันและแม่ดิฉันเองก็ซื้อเฟอร์นิเจอร์แต่งบ้านไปเกือบ 300,000 เหมือนกันและบ้านดิฉันก็รับผิดชอบเรื่องจัดงานเพราะเค้าบอกว่าเค้าทำบ้าน พวกเราก็โอเคค่ะ เพราะเงินจัดงานเดี๋ยวก็ได้คืนค่าซองก่อนแต่งงานดิฉันไม่เคยคุยกับเค้าคะว่าจะบริหารเงินในครอบครัวอย่างไร
เพราะคิดว่าเค้าเป็นผู้ใหญ่กว่ารายได้สูงกว่าน่าจะแพลนเรื่องอนาคตครอบครัวได้ดี ยิ่งเคยมีครอบครัวมาแล้วเค้าขอแค่ว่าให้ดิฉันช่วยผ่อนบ้านครึ่งนึง (คนละ 12,000 ต่อเดือน) ค่าใช้จ่ายอื่นๆก็ช่วยกันซึ่งเค้าเคยบอกว่าไม่อยากให้คิดว่าผู้ชายจ่ายทั้งหมดเค้าเองก็มีภาระต้องส่งเสียลูกสองคนอยู่ด้วย
ซึ่งดิฉันก็เห็นด้วยว่าอยู่ด้วยกันก็ต้องช่วยกันเค้าเริ่มแสดงพฤติกรรมหารสองออกมาช่วงเตรียมงานแต่เค้าต้องการซื้อรูปเพิ่มเค้าก็หาร ก่อนแต่งงานไม่ถึงเดือน เค้าสามารถซื้อมอเตอร์ไซต์คันละ 200,000 บาทได้หลังแต่งงานเค้ามาขอแบ่งเงินรับไหว้จากแม่เค้าและส่วนญาติเค้าเพราะบอกว่าอยากได้ส่วนที่เป็นค่าติดแอร์ ติดเหล็กดัด ดิฉันเห็นว่าเพื่อส่วนกลางก็โอเค เงินจัดเลี้ยงไม่ติดลบค่ะ แถมเหลือด้วย แต่พอเค้าเอาส่วนนี้ไปดิฉันบอกว่ามันจะทำให้ดิฉันติดลบ เค้าก็บอกว่าให้ดิฉันไปขอแม่เอา ตั้งแต่นั้นดิฉันเริ่มรู้สึกว่าเค้าแปลกๆ เราจะร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันได้จริงเหรอในเมื่อเริ่มครอบครัวด้วยกันแล้วยังมานั่งแบ่งส่วนกันอยู่แบบนี้แล้วเค้าเองก็ไม่ได้ฐานะลำบาก ดิฉันหารกับเค้าดิฉันต้องประหยัดแทบไม่มีเงินไปชอปปิ้ง ซื้อเครื่องสำอางเคาน์เตอร์เหมือนตอนโสด
ในขณะที่เค้าหารสองกับดิฉันยังซื้อแว่นตาแบรนด์เนม Gadget ต่างๆ หรือมอเตอร์ไซต์หรูได้ (ดิฉันลืมบอกไปตอนต้นค่ะว่าไลฟ์สไตล์ของเค้าคือชอบขี่มอเตอร์ไซต์หรู มีเป็นของสะสม คันละล้าน 2 คัน คันละ200,000-300,000 บาทอีก 4 คัน) ดิฉันยอมรับค่ะว่าเป็นหนึ่งในผู้หญิงส่วนใหญ่ที่อยากแต่งงานกับผู้ชายที่มีคุณวุฒิ วัยวุฒิและมีฐานะทางการเงินที่มั่นคง แต่ดิฉันไม่ได้คิดว่าแต่งกะเค้าเพราะเค้ารวยหรือหวังจะไปเกาะเค้าอย่างเดียวนะคะ
ตอนเป็นแฟนกันเราถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน เค้าซื้อทริปให้ ดิฉันจ่ายค่าเดินทาง ถ้าไปติดๆกันเค้าอาจจะช่วยออกค่าใช้จ่ายให้ดิฉันบางส่วน แบบหารสองเพิ่งมาเห็นตอนตัดสินใจมาแต่งงานกันแล้ว ดิฉันอึดอัดค่ะเพราะการหารสองเหมือนเราไม่ได้เป็นคนคนเดียวกัน
ไม่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน เคยถามเค้าว่าทำไมไม่เหมือนตอนเป็นแฟน เค้าบอกว่าตอนนั้นเค้าไม่มีภาระเรือ่งสร้างบ้าน ผ่อนบ้านเค้าเลย support ได้
แต่ดิฉันยังเห็นเค้าไม่เลิกซื้อของหรูหราฟุ่มเฟือย เลยถามว่าทำไมไม่เก็บเพื่อครอบครัวมากขึ้นหรือโปะบ้าน เค้าบอกว่าเค้าใช้ตรรกกะในการจัดการว่า ส่วนของใครก็ส่วนของมัน ส่วนกลางก็แชร์คนละครึ่ง ไม่เห็นจะซับซ้อนตรงไหน ??เพราะรายได้ดิฉันก็ใกล้เคียงกับเค้าเมือ่เค้าหักค่าใช้จ่ายเด็กสองคน
ดิฉันพบว่าเค้ามีพฤติกรรมการใช้เงินเกินตัว และเกินฐานะ ส่วนที่ใช้ไม่พอเค้าได้มาจากเงินกงสีของแม่เค้าค่ะ แม่เค้ามีกิจการส่วนตัวด้วยความที่บ้านของเราอยู่ในหมู่บ้านเดียวกับแม่เค้าไม่กี่ซอย ก็เหมือนแต่งแล้วไม่ได้แยกบ้านเท่าไหร่ เรื่องเด็ก แต่งงานใหม่ๆเค้าก็พามาที่บ้านบ่อย
จากที่เคยมาอาทิตย์เว้นอาทิตย์ กลายเป็นทุกอาทิตย์จนเราไม่มีเวลาได้อยู่กันเป็นส่วนตัว แต่เค้ามานอนบ้านแม่สามีนะคะ แวะมาเล่นมาดูทีวีที่บ้านดิฉันบ้าง ขอติดรูปแต่งงานก็ไม่ให้ กลัวเด็กรู้ ขนาดบอกว่าป่านนี้เค้ารู้แล้วล่ะ เพราะรถกับเสื้อผ้าก็มาอยู่ที่นี้ ดิฉันเลยขอติดในห้องนอนแล้วขอให้ห้องนอนเป็นพื้นที่ส่วนตัว เค้าก็ไม่ยอมค่ะ หาว่าดิฉันใจแคบอีก บ้านนี้เงินเค้าดาวน์ไป ลูกเค้าควรมีสิทธิ์เดินไปได้ทุกห้องดิฉันเลยเอาน้องชายมาอยู่เป็นเพื่อนในวันที่เด็กๆมา เพราะก่อนแต่งเราตกลงกันว่าวันหยุดไหนเด็กมาไปนอนบ้านแม่สามี ซึ่งเค้าจะนอนกับลูกๆ ส่วนดิฉันมีห้องส่วนตัวนอนคนเดียวในห้องติดกัน เค้าก็มาคิดเล็กคิดน้อยกับน้องชายดิฉันว่าให้มาหารค่าไฟ เพราะเค้าซื้อเฟอร์นิเจอร์แต่งห้องไว้แล้วมาอยู่ก็ต้องช่วยกัน คือเราก็ไม่ได้ไม่จ่ายนะคะ เค้าก็ให้มาตามความเหมาะสมแต่การที่สามีดิฉันมานั่งคิดทุกเม็ดมันทำให้ความรู้สึกที่มีต่อเค้าเปลี่ยนไปคะ มันเหมือนเรายังเป็นคนอื่นอยู่ เหมือนไม่ใช่ครอบครัวเดียวกัน ญาติฉันไม่ใช่ญาติเธอ แต่ลูกเธอจะมาเมือ่ไหร่ฉันต้องอยู่ในเงื่อนไขของเธอทุกอย่าง หลังจากนั้นดิฉันเลยถอดใจค่ะจากที่เด็กมาแล้วชวนเล่น ชวนทานขนม ดิฉันเลยเฉยๆไป แล้วก็ให้ไปเล่นที่บ้านแม่เค้าอย่างเดียวไม่งั้นดิฉันจะคิดค่าไฟ ค่าขนมบ้าง จากเดิมไม่เคยคิดอยู่ๆไปนิสัยเอาแต่เรื่องของตัวเองเอาตัวเองเป็นใหญ่ของเค้าก็ออกมาเรื่อยๆค่ะดิฉันทะเลาะกับเค้าอยู่เรื่องเดิมเรือ่งเดียวคือระบบหารสอง แล้วไม่มีการวางแผนการเงินเพื่อครอบครัวเวลาไปเที่ยวด้วยกันส่วนใหญ่จะหาร มีบ้างแค่เลี้ยงข้าวมื้อพิเศษอย่างฮันนีมูน ทริปพิเศษที่ดิฉันไปกับเค้า ค่าทริป ค่าเดินทางดิฉันก็จ่ายเองค่ะ ส่วนเค้าก็จ่ายของเค้า ถ้าเค้ามีเงินเหลือเพิ่มเค้าก็ซื้อไปเองคนเดียวอีก 3 ทริปโดยไม่มีดิฉันไปด้วย เค้าชวนแหละค่ะ แต่พอเราบอกว่าติดงานเค้าก็ไปคนเดียว พอชวนอีกทริป เราบอกว่าไม่มีเงิน เค้าก็ไม่ได้บอกว่าจะออกให้หรืออะไร เค้าก็ไปคนเดียว พอพูดเรื่องเงินเค้าก็บอกว่าก็เค้าทำบ้านทำสิ่งที่เป็นเบสิคในการเริ่มต้นชีวิตให้ไปเเล้ว เงินเดือนดิฉันก็พอๆกับเค้าก็ควรจะหารกันไป ส่วนที่เค้าไปฟุ่มเฟือยส่วนตัว มันเป็นสิทธิ์ของเค้าเป็นเงินพิเศษของเค้า กับเงินกงสีของเค้า เค้ามีสิทธิ์ใช้ (เรื่องนี้ดิฉันมองว่าเค้าเห็นแก่ตัวค่ะ เพราะถ้าเค้าจะทำตัวรวย ด้วยทริปดีๆส่วนตัว มอไซต์หรูๆ หรือของแบรนด์เนมทั้งหลายแบบนั้นความเป็นอยู่กับคนในครอบครัวไม่ควรมานั่งหารกันค่ะ)ดิฉันไม่ mind ที่จะหารสองถ้าสามีเงินเดือนพอๆกัน มีมากก็พร้อมใช้มากด้วยกันมีน้อยก็พร้อมใช้น้อยด้วยกันถึงจะเรียกว่าครอบครัว สรุปเราทะเลาะกันเเต่เรื่องเงินๆทองๆ จนดิฉันรู้สึกเป็นคนนอก ไม่มั่นใจว่าจะฝากชีวิตไว้กับเค้าได้ เพราะมันเหมือนว่าดิฉันก็รับผิดชอบชีวิตตัวเองอยู่ดี ขอให้เค้าแบ่งเงินมาสะสมไว้เป็นกองกลางเพื่ออนาคตร่วมกันก็ไม่ทำบอกว่าให้ดิฉันไปรวมมาให้ได้ก้อนนึงก่อนแล้วจะใส่ไปให้เท่ากัน เงินโบนัสปลายปีก็ต้องให้แต่บ้านโน้นเป็นค่าเทอมเด็ก สรุปว่าแต่งงานกับดิฉันเหมือนแค่ดิฉันมาเเชร์ค่าบ้านกับเค้า รถดิฉันก็ซื้อมาเองก่อนแต่งงานประมาณครึ่งปี ผ่อนเองด้วย พอเราแพลนจะมีลูกของเรา เค้าก็บอกรอให้เราผ่อนรถหมดก่อนจะได้ไม่หนักอ้าวแล้วเค้าจะรับผิดชอบอะไรชีวิตดิฉันได้บ้าง เราคุยกันเรื่องเดิมๆแรงๆมาประมาณ 4 รอบคุยไม่รู้เรื่องเค้าก็ชอบตะคอก ครั้งสุดท้ายเค้าโกรธดิฉันมากขนาดขว้างรูปแต่งงานแตก แล้วบีบคอดิฉัน แถมฉีกเลื้อผ้าดิฉันออกเป็นชิ้นๆ ทำอย่างกับดิฉันเป็นผู้หญิงข้างถนนไม่มีพ่อไม่มีแม่ ไม่สมกับวันที่ไปกราบไหว้สู่ขอ แต่งงานกันมาเลยปกติมันก็แอบอยู่ข้างตู้ไม่ยอมเอามาแขวนเพราะกลัวลูกเห็นอยู่แล้ว มันเป็นอะไรที่ทำร้ายจิตใจดิฉันมากค่ะ เราทะเลาะกันก่อนหน้านี้ครั้งที่ 2 ครั้งที่3 คุยกันไม่รู้เรื่องเค้าก็เริ่มขว้างปาข้าวของแตกแล้วแต่เป็นอย่างอื่น เค้าขว้างเพราะดิฉันบอกว่าจะกลับบ้าน เค้าไม่ให้กลับ เค้าบอกว่าเค้ารักดิฉัน แต่เรือ่งเงินมันเป็นคนละเรื่องกัน แล้วเค้าก็ไม่ได้ทำอะไรผิด เค้าทำดีที่สุดแล้ว เค้าบอกดิฉันเสมอว่าอย่ากลับบ้านเพราะมีความเสียหาย หลายอย่างบ้านกว่าจะสร้างมา เฟอร์นิเจอร์ช่วยกันขนมา ทุกอย่างมีมูลค่างานแต่งก็ช่วยกันจัดมา อย่าคิดจะไปก็ไปง่ายๆในที่สุดดิฉันทนไม่ไหว ถามตัวเองว่าชีวิตเราจะเจอเรื่องแบบนี้อีกกี่ครั้งเค้ามีเงินมากมายที่ซื้อความสุขของเค้ากับลูกๆเค้าได้ ส่วนไหนที่เป็นส่วนของดิฉันก็ต้องมาหารสอง วันนั้นลูกๆเค้ามาแล้วต้องไปนอนบ้านแม่เค้าด้วย ดิฉันรู้สึกว่าไม่พร้อมจะทำอะไรเพื่อความสุขของเค้าอีกแล้วค่ะ เพราะเค้าไม่สนใจความสุขดิฉันเท่าไหร่ ต่อไปเค้าก็จะเอาลูกมาอยู่ที่บ้านแม่เค้าเพื่อมาเรียนมัธยม แล้วดิฉันจะอยู่ยังไง ต้องไปๆมาๆบ้านแม่เค้าทั้งที่มีบ้านตัวเอง หรือต้องเอาเค้ามาอยู๋ร่วมกัน ทั้งๆที่บ้านนี้สามีบอกจะให้เป็นบ้านของเรา ยังกลัวเรื่องกระทบกระทั่งกันอีก ลูกชั้นลูกเธออีก ดิฉันว่าเค้าน่าจะยืดหยุ่นหาจุดตรงกลางที่ทำอะไรเพื่อความสุข ความสบายใจของดิฉันบ้าง ในเมื่อตั้งแต่แต่งงานดิฉันก็ตามเงื่อนไขเค้าทุกอย่างขนาดรูปแต่งงานยังติดไมได้เลย แถมพอโกรธเค้ายังเอามาโยนแตกอีก ทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจอีกดิฉันสติแตกเหมือนวันนั้นภาพเหตุการณ์ที่ทะเลาะกันทั้งหมดกลับเข้ามาในหัว เลยตัดสินใจเก็บของกลับบ้านแม่ตัวเอง บอกเค้าว่าที่บ้านมีธุระด่วนไม่กลับไปนอนบ้านแม่เค้านะ เค้าก็โอเคดิฉันเขียนจดหมายระบายความในใจไว้ให้เค้าจนวันถัดมาเค้ามาพบแล้วโทรมาง้อ ขอให้ดิฉันกลับบ้านมาคุยกันก่อน แต่ดิฉันอยากรู้ค่ะว่าเค้าคิดว่าครอบครัวใหม่ที่เรามาสร้างด้วยกันสำคัญกับเค้าเเค่ไหน เค้ารักเราแค่ไหน ถามเค้าเค้าก็ว่าสำคัญ ว่ารัก แต่ไม่ยอมมาตามที่บ้านค่ะ เค้าคิดว่าดิฉันเล่าด้านมืดของเค้าให้พ่อแม่ตัวเองฟังหมดแล้ว ไม่มีหน้าจะมาหรอก ดิฉันบอกเค้าว่าถ้าอยู่แบบเดิมต่อไปมันมองไม่เห็นอนาคตและ และดิฉันไม่ติดต่อเค้าไปอีกเลยหลังจากนั้น 1 เดือนเค้าก็ให้มาเก็บของ เฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างแล้วประกาศขายบ้าน ผ่านมาจะ 5 เดือนแล้วก็นึกถึงสิ่งดีๆที่เคยร่วมสร้างกันมา บ้านตอนนี้ก็ปล่อยเค้าผ่อนไปคนเดียวอยู่ ตราบใดที่ยังไม่ขายดิฉันก็ยังอยากแก้ปัญหาอยู่แต่ไม่รู้ว่าควรจะแก้รึเปล่าค่ะ?
ถ้า(อดีต)สามีคุณชอบโมโหร้าย เคยลงไม้ลงมือ ค่าใช้จ่ายในบ้านก็หารสอง คุณจะหาทางคืนดีกับเค้ามั้ยเพียงมีบ้านร่วมกัน
วันที่ออกจากบ้านดิฉันกับสามีไม่ได้มีเรื่องทะเลาะหรือมีปากเสียงกันค่ะ แต่เรามีเรื่องไม่เข้าใจกันสะสม
แล้วทะเลาะกันเรื่องเดิมๆ ครั้งใหญ่มา 4 คร้งแล้วในรอบ 1 ปี หลังจากที่เราแต่งงานกัน ดิฉันขออนุญาติเล่าถึง background ของดิฉันและสามีให้ฟังหน่อยนะคะเราเรียนป.โทที่เดียวกันค่ะ คบหากัน 2 ปีจากเพื่อนแนะนำ
ตอนนี้ดิฉันอายุ 32 ปี สามีดิฉันอายุ 40 ปี ตอนคบหากันดิฉันทราบมาก่อนแล้วค่ะว่าเค้ามีลูกติด 2 คน ชาย 1 คน ตอนนี้ 9 ขวบและหญิง 1 คน ตอนนี้ 6 ขวบ เค้าหย่าขาดจากภรรยาเก่ามาแล้ว 3 ปี ตอนที่คบกันเด็กไม่เคยเป็นเงื่อนไขในความสัมพันธ์ของเราเลยค่ะ เค้าแบ่งเวลาให้ดิฉันกับลูกอย่างเหมาะสมอาทิตย์เว้นอาทิตย์ หรืออาทิตย์ไหนที่เค้าต้องไปเป็นเพื่อนดิฉันทำงานต่างจังหวัดจริงๆเค้าก็ฝากแม่เค้าดูแลได้ไม่เป็นปัญหาด้านการแบ่งเวลาแต่อย่างใด
เราชอบเที่ยวเหมือนกัน รสนิยมใกล้เคียงกัน ข้อดีของเค้าเป็นคนมีวินัย มีความรับผิดชอบ สปอร์ต และไม่เจ้าชู้
ข้อเสียคือใจร้อน หงุดหงิดง่าย เจ้าอารมณ์ (ดิฉันก็มีข้อเสียตรงนี้เหมือนกัน)ส่วนใหญ่จะผลัดกันเป็น วีนๆสักพัก พอเราเงียบๆไป ก็จะหายไปเอง
แต่มีข้อเสียที่มาพบทีหลังคือคิดเล็กคิดน้อยเรื่องเงิน และเอาตัวเองเป็นใหญ่คบกันมา 2 ปี เค้าก็เริ่มคุยว่าอยากจะสร้างครอบครัว
ลูกก็โตขึ้นทุกวันจะได้ปรับตัวกับเราได้ง่าย แต่ปกติเด็กจะอยู่กับแม่และป้าค่ะ เค้าจะกลับมาบ้านพ่อกับย่าเค้าสลับกันในบางวันหยุด
เท่านั้น ปิดเทอมก็กลับบ้านยายที่ต่างจังหวัด สามีดิฉันรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเด็กและค่าเลี้ยงดูรายเดือน ส่วนบ้านที่เค้าอยู่กับแม่จะยกให้เป็นของลูกเค้าและอาจจะรับมาอยู่ด้วยเมือ่เด็กเริ่มเรียนมัธยม ดิฉันก็ตัดสินใจแต่งงานกับเค้าเห็นว่าเป็นคนดี รักครอบครัวและรับผิดชอบครอบครัว
โดยก่อนแต่งงานเราได้ซื้อเรือนหอไว้เป็นชื่อร่วมกัน เพื่อบ้านนี้จะเป็นบ้านสำหรับครอบครัวเรา และลูกของเราที่ตั้งใจว่าจะมีด้วยกัน 1 คน
หลังจากที่ดิฉันเริ่มเซ็นกู้บ้านร่วมกัน และจัดงานแต่งกับเค้าดิฉันเริ่มเห็นนิสัยแปลกๆ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนตอนเป็นแฟนกันค่ะ คือเค้าเริ่มแสดงความกลัวเสียผลประโยชน์มากเกินไปจนดิฉันรู้สึกขาดความมั่นใจในตัวเค้า เค้าเคยเล่าให้ฟังเรื่องว่าการหย่าร้างของเค้าทำให้เสียเงินเสียทรัพย์สินไปมากมาย
แต่ก็ไม่คิดว่าจะมีผลทำให้เค้าที่เคยสปอร์ตตอนเป็นแฟนกลายเป็นคนงกและคิดเล็กคิดน้อยไปได้
เริ่มจากเงินดาวน์บ้าน ต่อเติม ตกแต่งมูลค่าล้านกว่าบาท เค้าบอกว่าขอให้สินสอดมาลงอยู่ในนี้เงินที่ใส่พานไปขอในงานขอให้แม่ดิฉันคืน
ซึ่งแรกๆเราก็ไม่คิดอะไรมากเพราะพ่อแม่มีแต่อยากเห็นลูกไปใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุข ไม่ได้จะเอาเงินอยู๋แล้ว
ดิฉันและแม่ดิฉันเองก็ซื้อเฟอร์นิเจอร์แต่งบ้านไปเกือบ 300,000 เหมือนกันและบ้านดิฉันก็รับผิดชอบเรื่องจัดงานเพราะเค้าบอกว่าเค้าทำบ้าน พวกเราก็โอเคค่ะ เพราะเงินจัดงานเดี๋ยวก็ได้คืนค่าซองก่อนแต่งงานดิฉันไม่เคยคุยกับเค้าคะว่าจะบริหารเงินในครอบครัวอย่างไร
เพราะคิดว่าเค้าเป็นผู้ใหญ่กว่ารายได้สูงกว่าน่าจะแพลนเรื่องอนาคตครอบครัวได้ดี ยิ่งเคยมีครอบครัวมาแล้วเค้าขอแค่ว่าให้ดิฉันช่วยผ่อนบ้านครึ่งนึง (คนละ 12,000 ต่อเดือน) ค่าใช้จ่ายอื่นๆก็ช่วยกันซึ่งเค้าเคยบอกว่าไม่อยากให้คิดว่าผู้ชายจ่ายทั้งหมดเค้าเองก็มีภาระต้องส่งเสียลูกสองคนอยู่ด้วย
ซึ่งดิฉันก็เห็นด้วยว่าอยู่ด้วยกันก็ต้องช่วยกันเค้าเริ่มแสดงพฤติกรรมหารสองออกมาช่วงเตรียมงานแต่เค้าต้องการซื้อรูปเพิ่มเค้าก็หาร ก่อนแต่งงานไม่ถึงเดือน เค้าสามารถซื้อมอเตอร์ไซต์คันละ 200,000 บาทได้หลังแต่งงานเค้ามาขอแบ่งเงินรับไหว้จากแม่เค้าและส่วนญาติเค้าเพราะบอกว่าอยากได้ส่วนที่เป็นค่าติดแอร์ ติดเหล็กดัด ดิฉันเห็นว่าเพื่อส่วนกลางก็โอเค เงินจัดเลี้ยงไม่ติดลบค่ะ แถมเหลือด้วย แต่พอเค้าเอาส่วนนี้ไปดิฉันบอกว่ามันจะทำให้ดิฉันติดลบ เค้าก็บอกว่าให้ดิฉันไปขอแม่เอา ตั้งแต่นั้นดิฉันเริ่มรู้สึกว่าเค้าแปลกๆ เราจะร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันได้จริงเหรอในเมื่อเริ่มครอบครัวด้วยกันแล้วยังมานั่งแบ่งส่วนกันอยู่แบบนี้แล้วเค้าเองก็ไม่ได้ฐานะลำบาก ดิฉันหารกับเค้าดิฉันต้องประหยัดแทบไม่มีเงินไปชอปปิ้ง ซื้อเครื่องสำอางเคาน์เตอร์เหมือนตอนโสด
ในขณะที่เค้าหารสองกับดิฉันยังซื้อแว่นตาแบรนด์เนม Gadget ต่างๆ หรือมอเตอร์ไซต์หรูได้ (ดิฉันลืมบอกไปตอนต้นค่ะว่าไลฟ์สไตล์ของเค้าคือชอบขี่มอเตอร์ไซต์หรู มีเป็นของสะสม คันละล้าน 2 คัน คันละ200,000-300,000 บาทอีก 4 คัน) ดิฉันยอมรับค่ะว่าเป็นหนึ่งในผู้หญิงส่วนใหญ่ที่อยากแต่งงานกับผู้ชายที่มีคุณวุฒิ วัยวุฒิและมีฐานะทางการเงินที่มั่นคง แต่ดิฉันไม่ได้คิดว่าแต่งกะเค้าเพราะเค้ารวยหรือหวังจะไปเกาะเค้าอย่างเดียวนะคะ
ตอนเป็นแฟนกันเราถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน เค้าซื้อทริปให้ ดิฉันจ่ายค่าเดินทาง ถ้าไปติดๆกันเค้าอาจจะช่วยออกค่าใช้จ่ายให้ดิฉันบางส่วน แบบหารสองเพิ่งมาเห็นตอนตัดสินใจมาแต่งงานกันแล้ว ดิฉันอึดอัดค่ะเพราะการหารสองเหมือนเราไม่ได้เป็นคนคนเดียวกัน
ไม่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน เคยถามเค้าว่าทำไมไม่เหมือนตอนเป็นแฟน เค้าบอกว่าตอนนั้นเค้าไม่มีภาระเรือ่งสร้างบ้าน ผ่อนบ้านเค้าเลย support ได้
แต่ดิฉันยังเห็นเค้าไม่เลิกซื้อของหรูหราฟุ่มเฟือย เลยถามว่าทำไมไม่เก็บเพื่อครอบครัวมากขึ้นหรือโปะบ้าน เค้าบอกว่าเค้าใช้ตรรกกะในการจัดการว่า ส่วนของใครก็ส่วนของมัน ส่วนกลางก็แชร์คนละครึ่ง ไม่เห็นจะซับซ้อนตรงไหน ??เพราะรายได้ดิฉันก็ใกล้เคียงกับเค้าเมือ่เค้าหักค่าใช้จ่ายเด็กสองคน
ดิฉันพบว่าเค้ามีพฤติกรรมการใช้เงินเกินตัว และเกินฐานะ ส่วนที่ใช้ไม่พอเค้าได้มาจากเงินกงสีของแม่เค้าค่ะ แม่เค้ามีกิจการส่วนตัวด้วยความที่บ้านของเราอยู่ในหมู่บ้านเดียวกับแม่เค้าไม่กี่ซอย ก็เหมือนแต่งแล้วไม่ได้แยกบ้านเท่าไหร่ เรื่องเด็ก แต่งงานใหม่ๆเค้าก็พามาที่บ้านบ่อย
จากที่เคยมาอาทิตย์เว้นอาทิตย์ กลายเป็นทุกอาทิตย์จนเราไม่มีเวลาได้อยู่กันเป็นส่วนตัว แต่เค้ามานอนบ้านแม่สามีนะคะ แวะมาเล่นมาดูทีวีที่บ้านดิฉันบ้าง ขอติดรูปแต่งงานก็ไม่ให้ กลัวเด็กรู้ ขนาดบอกว่าป่านนี้เค้ารู้แล้วล่ะ เพราะรถกับเสื้อผ้าก็มาอยู่ที่นี้ ดิฉันเลยขอติดในห้องนอนแล้วขอให้ห้องนอนเป็นพื้นที่ส่วนตัว เค้าก็ไม่ยอมค่ะ หาว่าดิฉันใจแคบอีก บ้านนี้เงินเค้าดาวน์ไป ลูกเค้าควรมีสิทธิ์เดินไปได้ทุกห้องดิฉันเลยเอาน้องชายมาอยู่เป็นเพื่อนในวันที่เด็กๆมา เพราะก่อนแต่งเราตกลงกันว่าวันหยุดไหนเด็กมาไปนอนบ้านแม่สามี ซึ่งเค้าจะนอนกับลูกๆ ส่วนดิฉันมีห้องส่วนตัวนอนคนเดียวในห้องติดกัน เค้าก็มาคิดเล็กคิดน้อยกับน้องชายดิฉันว่าให้มาหารค่าไฟ เพราะเค้าซื้อเฟอร์นิเจอร์แต่งห้องไว้แล้วมาอยู่ก็ต้องช่วยกัน คือเราก็ไม่ได้ไม่จ่ายนะคะ เค้าก็ให้มาตามความเหมาะสมแต่การที่สามีดิฉันมานั่งคิดทุกเม็ดมันทำให้ความรู้สึกที่มีต่อเค้าเปลี่ยนไปคะ มันเหมือนเรายังเป็นคนอื่นอยู่ เหมือนไม่ใช่ครอบครัวเดียวกัน ญาติฉันไม่ใช่ญาติเธอ แต่ลูกเธอจะมาเมือ่ไหร่ฉันต้องอยู่ในเงื่อนไขของเธอทุกอย่าง หลังจากนั้นดิฉันเลยถอดใจค่ะจากที่เด็กมาแล้วชวนเล่น ชวนทานขนม ดิฉันเลยเฉยๆไป แล้วก็ให้ไปเล่นที่บ้านแม่เค้าอย่างเดียวไม่งั้นดิฉันจะคิดค่าไฟ ค่าขนมบ้าง จากเดิมไม่เคยคิดอยู่ๆไปนิสัยเอาแต่เรื่องของตัวเองเอาตัวเองเป็นใหญ่ของเค้าก็ออกมาเรื่อยๆค่ะดิฉันทะเลาะกับเค้าอยู่เรื่องเดิมเรือ่งเดียวคือระบบหารสอง แล้วไม่มีการวางแผนการเงินเพื่อครอบครัวเวลาไปเที่ยวด้วยกันส่วนใหญ่จะหาร มีบ้างแค่เลี้ยงข้าวมื้อพิเศษอย่างฮันนีมูน ทริปพิเศษที่ดิฉันไปกับเค้า ค่าทริป ค่าเดินทางดิฉันก็จ่ายเองค่ะ ส่วนเค้าก็จ่ายของเค้า ถ้าเค้ามีเงินเหลือเพิ่มเค้าก็ซื้อไปเองคนเดียวอีก 3 ทริปโดยไม่มีดิฉันไปด้วย เค้าชวนแหละค่ะ แต่พอเราบอกว่าติดงานเค้าก็ไปคนเดียว พอชวนอีกทริป เราบอกว่าไม่มีเงิน เค้าก็ไม่ได้บอกว่าจะออกให้หรืออะไร เค้าก็ไปคนเดียว พอพูดเรื่องเงินเค้าก็บอกว่าก็เค้าทำบ้านทำสิ่งที่เป็นเบสิคในการเริ่มต้นชีวิตให้ไปเเล้ว เงินเดือนดิฉันก็พอๆกับเค้าก็ควรจะหารกันไป ส่วนที่เค้าไปฟุ่มเฟือยส่วนตัว มันเป็นสิทธิ์ของเค้าเป็นเงินพิเศษของเค้า กับเงินกงสีของเค้า เค้ามีสิทธิ์ใช้ (เรื่องนี้ดิฉันมองว่าเค้าเห็นแก่ตัวค่ะ เพราะถ้าเค้าจะทำตัวรวย ด้วยทริปดีๆส่วนตัว มอไซต์หรูๆ หรือของแบรนด์เนมทั้งหลายแบบนั้นความเป็นอยู่กับคนในครอบครัวไม่ควรมานั่งหารกันค่ะ)ดิฉันไม่ mind ที่จะหารสองถ้าสามีเงินเดือนพอๆกัน มีมากก็พร้อมใช้มากด้วยกันมีน้อยก็พร้อมใช้น้อยด้วยกันถึงจะเรียกว่าครอบครัว สรุปเราทะเลาะกันเเต่เรื่องเงินๆทองๆ จนดิฉันรู้สึกเป็นคนนอก ไม่มั่นใจว่าจะฝากชีวิตไว้กับเค้าได้ เพราะมันเหมือนว่าดิฉันก็รับผิดชอบชีวิตตัวเองอยู่ดี ขอให้เค้าแบ่งเงินมาสะสมไว้เป็นกองกลางเพื่ออนาคตร่วมกันก็ไม่ทำบอกว่าให้ดิฉันไปรวมมาให้ได้ก้อนนึงก่อนแล้วจะใส่ไปให้เท่ากัน เงินโบนัสปลายปีก็ต้องให้แต่บ้านโน้นเป็นค่าเทอมเด็ก สรุปว่าแต่งงานกับดิฉันเหมือนแค่ดิฉันมาเเชร์ค่าบ้านกับเค้า รถดิฉันก็ซื้อมาเองก่อนแต่งงานประมาณครึ่งปี ผ่อนเองด้วย พอเราแพลนจะมีลูกของเรา เค้าก็บอกรอให้เราผ่อนรถหมดก่อนจะได้ไม่หนักอ้าวแล้วเค้าจะรับผิดชอบอะไรชีวิตดิฉันได้บ้าง เราคุยกันเรื่องเดิมๆแรงๆมาประมาณ 4 รอบคุยไม่รู้เรื่องเค้าก็ชอบตะคอก ครั้งสุดท้ายเค้าโกรธดิฉันมากขนาดขว้างรูปแต่งงานแตก แล้วบีบคอดิฉัน แถมฉีกเลื้อผ้าดิฉันออกเป็นชิ้นๆ ทำอย่างกับดิฉันเป็นผู้หญิงข้างถนนไม่มีพ่อไม่มีแม่ ไม่สมกับวันที่ไปกราบไหว้สู่ขอ แต่งงานกันมาเลยปกติมันก็แอบอยู่ข้างตู้ไม่ยอมเอามาแขวนเพราะกลัวลูกเห็นอยู่แล้ว มันเป็นอะไรที่ทำร้ายจิตใจดิฉันมากค่ะ เราทะเลาะกันก่อนหน้านี้ครั้งที่ 2 ครั้งที่3 คุยกันไม่รู้เรื่องเค้าก็เริ่มขว้างปาข้าวของแตกแล้วแต่เป็นอย่างอื่น เค้าขว้างเพราะดิฉันบอกว่าจะกลับบ้าน เค้าไม่ให้กลับ เค้าบอกว่าเค้ารักดิฉัน แต่เรือ่งเงินมันเป็นคนละเรื่องกัน แล้วเค้าก็ไม่ได้ทำอะไรผิด เค้าทำดีที่สุดแล้ว เค้าบอกดิฉันเสมอว่าอย่ากลับบ้านเพราะมีความเสียหาย หลายอย่างบ้านกว่าจะสร้างมา เฟอร์นิเจอร์ช่วยกันขนมา ทุกอย่างมีมูลค่างานแต่งก็ช่วยกันจัดมา อย่าคิดจะไปก็ไปง่ายๆในที่สุดดิฉันทนไม่ไหว ถามตัวเองว่าชีวิตเราจะเจอเรื่องแบบนี้อีกกี่ครั้งเค้ามีเงินมากมายที่ซื้อความสุขของเค้ากับลูกๆเค้าได้ ส่วนไหนที่เป็นส่วนของดิฉันก็ต้องมาหารสอง วันนั้นลูกๆเค้ามาแล้วต้องไปนอนบ้านแม่เค้าด้วย ดิฉันรู้สึกว่าไม่พร้อมจะทำอะไรเพื่อความสุขของเค้าอีกแล้วค่ะ เพราะเค้าไม่สนใจความสุขดิฉันเท่าไหร่ ต่อไปเค้าก็จะเอาลูกมาอยู่ที่บ้านแม่เค้าเพื่อมาเรียนมัธยม แล้วดิฉันจะอยู่ยังไง ต้องไปๆมาๆบ้านแม่เค้าทั้งที่มีบ้านตัวเอง หรือต้องเอาเค้ามาอยู๋ร่วมกัน ทั้งๆที่บ้านนี้สามีบอกจะให้เป็นบ้านของเรา ยังกลัวเรื่องกระทบกระทั่งกันอีก ลูกชั้นลูกเธออีก ดิฉันว่าเค้าน่าจะยืดหยุ่นหาจุดตรงกลางที่ทำอะไรเพื่อความสุข ความสบายใจของดิฉันบ้าง ในเมื่อตั้งแต่แต่งงานดิฉันก็ตามเงื่อนไขเค้าทุกอย่างขนาดรูปแต่งงานยังติดไมได้เลย แถมพอโกรธเค้ายังเอามาโยนแตกอีก ทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจอีกดิฉันสติแตกเหมือนวันนั้นภาพเหตุการณ์ที่ทะเลาะกันทั้งหมดกลับเข้ามาในหัว เลยตัดสินใจเก็บของกลับบ้านแม่ตัวเอง บอกเค้าว่าที่บ้านมีธุระด่วนไม่กลับไปนอนบ้านแม่เค้านะ เค้าก็โอเคดิฉันเขียนจดหมายระบายความในใจไว้ให้เค้าจนวันถัดมาเค้ามาพบแล้วโทรมาง้อ ขอให้ดิฉันกลับบ้านมาคุยกันก่อน แต่ดิฉันอยากรู้ค่ะว่าเค้าคิดว่าครอบครัวใหม่ที่เรามาสร้างด้วยกันสำคัญกับเค้าเเค่ไหน เค้ารักเราแค่ไหน ถามเค้าเค้าก็ว่าสำคัญ ว่ารัก แต่ไม่ยอมมาตามที่บ้านค่ะ เค้าคิดว่าดิฉันเล่าด้านมืดของเค้าให้พ่อแม่ตัวเองฟังหมดแล้ว ไม่มีหน้าจะมาหรอก ดิฉันบอกเค้าว่าถ้าอยู่แบบเดิมต่อไปมันมองไม่เห็นอนาคตและ และดิฉันไม่ติดต่อเค้าไปอีกเลยหลังจากนั้น 1 เดือนเค้าก็ให้มาเก็บของ เฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างแล้วประกาศขายบ้าน ผ่านมาจะ 5 เดือนแล้วก็นึกถึงสิ่งดีๆที่เคยร่วมสร้างกันมา บ้านตอนนี้ก็ปล่อยเค้าผ่อนไปคนเดียวอยู่ ตราบใดที่ยังไม่ขายดิฉันก็ยังอยากแก้ปัญหาอยู่แต่ไม่รู้ว่าควรจะแก้รึเปล่าค่ะ?