"แล้วข้าวหมกไก่สูตรพิเศษจากเชฟคนดังก็เสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขอเสียงปรบมือด้วยค่า"
เสียงปรบมือดังขึ้นเกรียวกราว จากผู้ชมที่นั่งอยู่ด้านหน้าครัวจำลอง
บูธเครื่องครัวมุมนี้เขาจ้างเชฟมาทำอาหารโชว์โดยเฉพาะ
กล้องสารพัดลั่นชัตเตอร์รัวเป็นห่าฝน
อาหารถูกจัดใส่ถ้วยเล็กๆ แล้วค่อยๆทยอยเสิร์ฟให้ผู้ชม
โดยไม่รู้ตัว ถ้วยอาหารเล็กๆในถาดก็ถูกยื่นมาตรงหน้า
"เชิญหยิบได้เลยค่ะ"
สตาร์ฟหญิงเสื้อดำเชื้อเชิญเสียงหวาน
ผมหยิบมาหนึ่งถ้วย
ไอร้อนๆบนข้าวสีเหลืองยังคงกรุ่น ไก่ก็ดูชุ่มฉ่ำน่าทาน
พอตักข้าวพร้อมไก่เข้าปาก
ก็พบกับรสชาติที่ยากจะอธิบาย
ข้าวไม่มีความหอมของเครื่องเทศ
ไก่เค็มและแข็งเกินไป
น้ำจิ้มก็เปรี้ยวอย่างเดียว
ผมไม่ใช่นักชิมลิ้นเทวดา
แต่ลิ้นธรรมดาๆมันจำได้ว่า
นี่ไม่ใกล้เคียงกับข้าวหมกไก่แบบที่เคยกินมาเลย
พิธีกรสาวสูงโปร่งมองกราดมาทางผมแล้วถามผ่านไมค์ว่า
"เป็นยังไงอร่อยมั้ยคะ เมนูที่ปรุงจากเชฟของเรา"
ผมพยักหน้าหงึกๆ เธอก็ดูจะพอใจ
"เมื่ออุปกรณ์ครัวชั้นยอด มาเจอกับเชฟขั้นเทพ
จะอร่อยแค่ไหนท่านผู้ชมคงยืนยันได้นะคะ
ขอเสียงปรบมือให้เชฟของเราอีกครั้งด้วยค่า"
พิธีกรผายมือไปทางเชฟ เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้ง
ซึ่งนั่นเป็นคำตอบที่เธอต้องการ
และควรจะตอบแบบนั้นตามมารยาทอันดี
หากผมเลือกที่จะส่ายหน้าแล้วบอกว่า ไม่อร่อยเลย
เชฟคงเสียหน้า พิธีกรคงอยากลงมาฟ้อนเล็บใส่หน้า ณ บัดนั้น
งานจะกร่อยทันที และผมคงถูกขึ้นบัญชีดำในสายตาพวกเขาแน่นอน
ความจริงมันมีเวลาของมัน
หากจังหวะเวลาถูกต้อง มันก็ทำหน้าที่ของมันได้เอง
แต่ถ้าหากใช้ผิดที่ผิดเวลา
ก็จะกลายเป็นหอกปลายแหลม ย้อนกลับมาทิ่มแทงตัวเองให้อับปาง
และในความไม่จริง บางครั้งมันช่วยให้ทุกอย่างราบรื่น
ไปๆมาๆ ก็ถูกสถาปนาขึ้นจนเป็นกลายเป็นความจริงไปเสียอย่างนั้น
สังคมมนุษย์นี่ช่างซับซ้อนวุ่นวายจริงๆ
ข้าวหมกไก่ของเชฟคนดังหมดถ้วยแล้ว
ผมเงยหน้ามองไปที่ครัวจำลอง
เสียงลั่นชัตเตอร์และแสงแฟรชยังคงวูบวาบใส่เชฟที่ยืนแบบเท่ๆ
ข้างข้าวหมกไก่ที่ถูกจัดใส่จานอย่างสวยงาม
ความจริง...ความลวง
เสียงปรบมือดังขึ้นเกรียวกราว จากผู้ชมที่นั่งอยู่ด้านหน้าครัวจำลอง
บูธเครื่องครัวมุมนี้เขาจ้างเชฟมาทำอาหารโชว์โดยเฉพาะ
กล้องสารพัดลั่นชัตเตอร์รัวเป็นห่าฝน
อาหารถูกจัดใส่ถ้วยเล็กๆ แล้วค่อยๆทยอยเสิร์ฟให้ผู้ชม
โดยไม่รู้ตัว ถ้วยอาหารเล็กๆในถาดก็ถูกยื่นมาตรงหน้า
"เชิญหยิบได้เลยค่ะ"
สตาร์ฟหญิงเสื้อดำเชื้อเชิญเสียงหวาน
ผมหยิบมาหนึ่งถ้วย
ไอร้อนๆบนข้าวสีเหลืองยังคงกรุ่น ไก่ก็ดูชุ่มฉ่ำน่าทาน
พอตักข้าวพร้อมไก่เข้าปาก
ก็พบกับรสชาติที่ยากจะอธิบาย
ข้าวไม่มีความหอมของเครื่องเทศ
ไก่เค็มและแข็งเกินไป
น้ำจิ้มก็เปรี้ยวอย่างเดียว
ผมไม่ใช่นักชิมลิ้นเทวดา
แต่ลิ้นธรรมดาๆมันจำได้ว่า
นี่ไม่ใกล้เคียงกับข้าวหมกไก่แบบที่เคยกินมาเลย
พิธีกรสาวสูงโปร่งมองกราดมาทางผมแล้วถามผ่านไมค์ว่า
"เป็นยังไงอร่อยมั้ยคะ เมนูที่ปรุงจากเชฟของเรา"
ผมพยักหน้าหงึกๆ เธอก็ดูจะพอใจ
"เมื่ออุปกรณ์ครัวชั้นยอด มาเจอกับเชฟขั้นเทพ
จะอร่อยแค่ไหนท่านผู้ชมคงยืนยันได้นะคะ
ขอเสียงปรบมือให้เชฟของเราอีกครั้งด้วยค่า"
พิธีกรผายมือไปทางเชฟ เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้ง
ซึ่งนั่นเป็นคำตอบที่เธอต้องการ
และควรจะตอบแบบนั้นตามมารยาทอันดี
หากผมเลือกที่จะส่ายหน้าแล้วบอกว่า ไม่อร่อยเลย
เชฟคงเสียหน้า พิธีกรคงอยากลงมาฟ้อนเล็บใส่หน้า ณ บัดนั้น
งานจะกร่อยทันที และผมคงถูกขึ้นบัญชีดำในสายตาพวกเขาแน่นอน
ความจริงมันมีเวลาของมัน
หากจังหวะเวลาถูกต้อง มันก็ทำหน้าที่ของมันได้เอง
แต่ถ้าหากใช้ผิดที่ผิดเวลา
ก็จะกลายเป็นหอกปลายแหลม ย้อนกลับมาทิ่มแทงตัวเองให้อับปาง
และในความไม่จริง บางครั้งมันช่วยให้ทุกอย่างราบรื่น
ไปๆมาๆ ก็ถูกสถาปนาขึ้นจนเป็นกลายเป็นความจริงไปเสียอย่างนั้น
สังคมมนุษย์นี่ช่างซับซ้อนวุ่นวายจริงๆ
ข้าวหมกไก่ของเชฟคนดังหมดถ้วยแล้ว
ผมเงยหน้ามองไปที่ครัวจำลอง
เสียงลั่นชัตเตอร์และแสงแฟรชยังคงวูบวาบใส่เชฟที่ยืนแบบเท่ๆ
ข้างข้าวหมกไก่ที่ถูกจัดใส่จานอย่างสวยงาม