ก็เป็นอีกครั้งที่ผมมายืนให้ชาวพันทิปปาหินใส่ (หลังจากสิบกว่าปีก่อน สับเละหนัง HP ไป 1 ภาค)
จริงๆ แล้วผมชอบ Memento ... ชอบในระดับที่ ต้องร้อง ว้าว ทันทีที่หนังจบ ผมประทับใจ The Prestige ว่าเป็นหนังที่เหนือชั้น แม้ว่าตอนจบจะไม่ถูกใจเท่าไหร่นักก็ตาม ผมพร้อมจะลุกปรบมือยาวๆ ให้ The Dark Knight Trilogy ซึ่งเป็นการบรรลุโสดาบันบนแผ่นฟิล์มของผู้สร้าง หรือแม้แต่ Interstellar ที่หลายคนส่ายหัว ผมก็ยังชอบ ... เพราะ
รู้สึกสนุกกับหลักควอนตัมฟิสิกส์ที่จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง ในเรื่อง
ผมชอบหนังหลายๆ เรื่องของ คริสโตเฟอร์ โนแลน – แต่ผมไม่ได้เป็นแฟนที่ภักดีอะไรของเขานัก ... อย่างน้อย ผมก็คงต้องบอกว่า Dunkirk หนังเรื่องล่าสุดของเขา ม่างโคตรไม่สนุก - แต่ม่างก็โคตรเรียล และเป็นหนังที่ “ดี”
โอเค ผมมักจะถือคติง่ายๆ ว่า หนังดีคือหนังที่สนุก แต่วันนี้คงต้องสร้างมาตรฐานใหม่ให้ตัวเอง ... ก็อย่างที่ว่าไปครับ Dunkirk ไม่สนุก จะเอาผมไปฆ่าทิ้ง ผมก็ต้องบอกว่า ผมค้นหาความบันเทิงจากมันไม่เจอ (แต่ถ้าจะเอาผมไปฆ่าจริงๆ ผมยอมบอกว่า มันสนุกก็ได้)
แต่ในความไม่สนุกนั้น ผมก็ไม่กล้าบอกว่า หนังแม่มไม่ดี ... คือ แม่มดี มีชั้นเชิง มีการทดลองสิ่งใหม่ มีสารที่สื่อให้ผู้ชมได้รับมากมาย ทั้งบอกกันตรงๆ และแอบบอกอ้อมๆ ... พูดซ้ำอีกทีว่า Dun Kirk คือหนังที่ดี แต่เป็นหนังดีที่ผู้ชมหลายกลุ่มอาจจะต้องเสียดายตัง
คุณทำได้แค่ชอบหนังเรื่องนี้แบบสุดๆ (ไม่ว่าจะเป็นเพราะชอบหนังจริงๆ หรือเป็นติ่งโนแลนก็ตาม) หรือไม่เช่นนั้น คุณก็จะเกลียดมันไม่น้อยเหมือนกัน ... ซึ่งบอกแบบไม่อายว่า ผมอยู่ในกลุ่มหลังนี่เอง
Dunkirk เล่าเรื่องของ กองทัพสัมพันธมิตรกว่า 400,000 นายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งกำลังโดนกองทัพนาซีไล่ต้อนและปิดล้อมอยู่ที่ ตำบล Dunkirk ของฝรั่งเศส ซึ่งอยู่ห่างจากเกาะอังกฤษเพียงแค่ช่องแคบกั้น ... กองทัพนาซีก็ไม่ยอมปล่อยให้ทหารพวกนี้ได้ลอยนวลไปง่ายๆ มีการโอบล้อมเข้ามาทุกทาง มีกองกำลังทางอากาศทิ้งระเบิดใส่เป็นระยะ
นาซีไม่ให้พวกเขากลับบ้าน ... เมื่อกลับบ้านไม่ได้ บ้านก็จึงมาหาเขา ... สุดท้ายกองเรือของชาวบ้านก็ทยอยกันมารับทหารเหล่านั้น ไปส่ง ณ ฝั่งอังกฤษ
นั่นก็เป็นพลอตเรื่องตามประวัติศาสตร์จริงๆ น่ะครับ ... ซึ่งสำหรับผมก็ ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรกับยุทธการอพยพนี้ แต่ไหนๆ หยิบมาสร้างแล้ว ก็คงมีอะไรให้ดูไม่มากก็น้อย ... ซึ่ง ก็ทั้งถูกและผิดในเวลาเดียวกัน
สำหรับใครที่ยังไม่รู้ Dunkirk ไม่ใช่หนังสงคราม ... มันคือหนังดราม่าที่มีสงครามเป็นฉากหลังเท่านั้น โนแลนเลือกจะนำเสนอหนังของเขา ผ่านเส้นเรื่องของคน 3 กลุ่มใน3 ช่วงเวลา อันประกอบด้วย กลุ่มทหารที่อยากกลับบ้าน ชาวบ้านที่เดินทางมารับพวกเขา และฝูงบินย่อยของอังกฤษที่คอยคุ้มกัน
โนแลนเลือกที่จะทำให้หนัง พูดน้อยแต่ต่อยหนัก ... เอาแค่ฉากเปิดเรื่อง คนที่ไม่ได้รู้เรื่องประวัติศาสตร์ส่วนนี้ก็งงแล้ว ไม่ต้องบอกว่าหลังจากนั้น นานๆ หนังถึงจะมีบทสนทนาจริงๆ จังๆ สักที ... แต่ก็ไม่ใช่จุดที่ต้องติ เพราะโนแลนสร้างให้หนังเรื่องนี้เล่าไปได้ด้วยสถานการณ์ ซึ่งดีกว่าประดิษฐ์คำพูดสวยๆ เสียอีก
หนังเป็นเจ้าของช่วงเวลาที่กดดันครั้งแล้วครั้งเล่า เรากลายเป็นผู้สังเกตการณ์สงครามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องคิดอยู่เสมอว่า จะเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้ไปได้อย่างไร ในเส้นเรื่องทั้งสามนั้น มีความกดดันที่ขึ้นอยู่กับว่าใครจะจับได้กี่มาก-น้อย เพราะทุกสถานการณ์ก็เกิดการต่อสู้ขึ้นเหมือนกันหมด
เหล่าทหารหนุ่มที่ดิ้นรนเอาชีวิตรอด ต่อสู้กับอุปสรรคทั้งหลายที่ถาโถมมาจากข้าศึกและสิ่งอื่นๆ ชายชราผู้ต่อสู้กับสถานการณ์บนเรือที่ต้องตัดสินว่า จะเดินหน้าไปช่วยทหารหรือถอยหัวเรือกลับ ... และนักบินที่ต้องต่อสู้กับข้าศึก ระหว่างที่น้ำมันในเครื่องบินกำลังพร่องไปเรื่องๆ
หนังไม่ได้โฟกัสที่ใดที่หนึ่งเป็นพิเศษ เราแทบไม่รู้จักปูมหลังของตัวละครสักเท่าไหร่ ... บางตัวเราก็ยังไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำ เสมือนกับว่าโนแลนบอกเป็นนัยๆ ถึงสถาพจริงของสงครามที่ ไม่มีบทวีรบุรุษ ไม่มีฉากบีบคั้นอารมณ์ ไม่มีปรัชญาอะไรยากๆ ไม่มีความบันเทิงใดๆ มีแต่ความโหดร้ายและความสิ้นหวังของผู้พยายามจะรักษาชีวิตให้ถึงบ้าน
ก็ด้วยความเรียลของหนังที่แหละ ที่ทำให้มันไม่สนุก
แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ต้องยกน้ำชาคารวะให้ คริสโตเฟอร์ โนแลน ที่ทำให้ผมต้องยอมยกให้หนังไม่สนุกเรื่องนี้ขึ้นหิ้งหนังดีอีกเรื่องหนึ่งของปี 2017 ได้ ... หวังว่าเรื่องหน้า จะกลับมาทำหนังสนุกๆ เหมือนเดิม อย่าติสต์แตกติดกันบ่อยๆ
(จริงๆ ตอนแรกผมว่าจะดูวาเลเรี่ยน แต่ดันไม่มีรอบ)
edit เคาะย่อหน้า
[CR] Dunkirk ความไม่ลงตัวของ หนังที่ดีกับหนังที่สนุก
จริงๆ แล้วผมชอบ Memento ... ชอบในระดับที่ ต้องร้อง ว้าว ทันทีที่หนังจบ ผมประทับใจ The Prestige ว่าเป็นหนังที่เหนือชั้น แม้ว่าตอนจบจะไม่ถูกใจเท่าไหร่นักก็ตาม ผมพร้อมจะลุกปรบมือยาวๆ ให้ The Dark Knight Trilogy ซึ่งเป็นการบรรลุโสดาบันบนแผ่นฟิล์มของผู้สร้าง หรือแม้แต่ Interstellar ที่หลายคนส่ายหัว ผมก็ยังชอบ ... เพราะรู้สึกสนุกกับหลักควอนตัมฟิสิกส์ที่จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง ในเรื่อง
ผมชอบหนังหลายๆ เรื่องของ คริสโตเฟอร์ โนแลน – แต่ผมไม่ได้เป็นแฟนที่ภักดีอะไรของเขานัก ... อย่างน้อย ผมก็คงต้องบอกว่า Dunkirk หนังเรื่องล่าสุดของเขา ม่างโคตรไม่สนุก - แต่ม่างก็โคตรเรียล และเป็นหนังที่ “ดี”
โอเค ผมมักจะถือคติง่ายๆ ว่า หนังดีคือหนังที่สนุก แต่วันนี้คงต้องสร้างมาตรฐานใหม่ให้ตัวเอง ... ก็อย่างที่ว่าไปครับ Dunkirk ไม่สนุก จะเอาผมไปฆ่าทิ้ง ผมก็ต้องบอกว่า ผมค้นหาความบันเทิงจากมันไม่เจอ (แต่ถ้าจะเอาผมไปฆ่าจริงๆ ผมยอมบอกว่า มันสนุกก็ได้)
แต่ในความไม่สนุกนั้น ผมก็ไม่กล้าบอกว่า หนังแม่มไม่ดี ... คือ แม่มดี มีชั้นเชิง มีการทดลองสิ่งใหม่ มีสารที่สื่อให้ผู้ชมได้รับมากมาย ทั้งบอกกันตรงๆ และแอบบอกอ้อมๆ ... พูดซ้ำอีกทีว่า Dun Kirk คือหนังที่ดี แต่เป็นหนังดีที่ผู้ชมหลายกลุ่มอาจจะต้องเสียดายตัง
คุณทำได้แค่ชอบหนังเรื่องนี้แบบสุดๆ (ไม่ว่าจะเป็นเพราะชอบหนังจริงๆ หรือเป็นติ่งโนแลนก็ตาม) หรือไม่เช่นนั้น คุณก็จะเกลียดมันไม่น้อยเหมือนกัน ... ซึ่งบอกแบบไม่อายว่า ผมอยู่ในกลุ่มหลังนี่เอง
Dunkirk เล่าเรื่องของ กองทัพสัมพันธมิตรกว่า 400,000 นายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งกำลังโดนกองทัพนาซีไล่ต้อนและปิดล้อมอยู่ที่ ตำบล Dunkirk ของฝรั่งเศส ซึ่งอยู่ห่างจากเกาะอังกฤษเพียงแค่ช่องแคบกั้น ... กองทัพนาซีก็ไม่ยอมปล่อยให้ทหารพวกนี้ได้ลอยนวลไปง่ายๆ มีการโอบล้อมเข้ามาทุกทาง มีกองกำลังทางอากาศทิ้งระเบิดใส่เป็นระยะ
นาซีไม่ให้พวกเขากลับบ้าน ... เมื่อกลับบ้านไม่ได้ บ้านก็จึงมาหาเขา ... สุดท้ายกองเรือของชาวบ้านก็ทยอยกันมารับทหารเหล่านั้น ไปส่ง ณ ฝั่งอังกฤษ
นั่นก็เป็นพลอตเรื่องตามประวัติศาสตร์จริงๆ น่ะครับ ... ซึ่งสำหรับผมก็ ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรกับยุทธการอพยพนี้ แต่ไหนๆ หยิบมาสร้างแล้ว ก็คงมีอะไรให้ดูไม่มากก็น้อย ... ซึ่ง ก็ทั้งถูกและผิดในเวลาเดียวกัน
สำหรับใครที่ยังไม่รู้ Dunkirk ไม่ใช่หนังสงคราม ... มันคือหนังดราม่าที่มีสงครามเป็นฉากหลังเท่านั้น โนแลนเลือกจะนำเสนอหนังของเขา ผ่านเส้นเรื่องของคน 3 กลุ่มใน3 ช่วงเวลา อันประกอบด้วย กลุ่มทหารที่อยากกลับบ้าน ชาวบ้านที่เดินทางมารับพวกเขา และฝูงบินย่อยของอังกฤษที่คอยคุ้มกัน
โนแลนเลือกที่จะทำให้หนัง พูดน้อยแต่ต่อยหนัก ... เอาแค่ฉากเปิดเรื่อง คนที่ไม่ได้รู้เรื่องประวัติศาสตร์ส่วนนี้ก็งงแล้ว ไม่ต้องบอกว่าหลังจากนั้น นานๆ หนังถึงจะมีบทสนทนาจริงๆ จังๆ สักที ... แต่ก็ไม่ใช่จุดที่ต้องติ เพราะโนแลนสร้างให้หนังเรื่องนี้เล่าไปได้ด้วยสถานการณ์ ซึ่งดีกว่าประดิษฐ์คำพูดสวยๆ เสียอีก
หนังเป็นเจ้าของช่วงเวลาที่กดดันครั้งแล้วครั้งเล่า เรากลายเป็นผู้สังเกตการณ์สงครามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องคิดอยู่เสมอว่า จะเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้ไปได้อย่างไร ในเส้นเรื่องทั้งสามนั้น มีความกดดันที่ขึ้นอยู่กับว่าใครจะจับได้กี่มาก-น้อย เพราะทุกสถานการณ์ก็เกิดการต่อสู้ขึ้นเหมือนกันหมด
เหล่าทหารหนุ่มที่ดิ้นรนเอาชีวิตรอด ต่อสู้กับอุปสรรคทั้งหลายที่ถาโถมมาจากข้าศึกและสิ่งอื่นๆ ชายชราผู้ต่อสู้กับสถานการณ์บนเรือที่ต้องตัดสินว่า จะเดินหน้าไปช่วยทหารหรือถอยหัวเรือกลับ ... และนักบินที่ต้องต่อสู้กับข้าศึก ระหว่างที่น้ำมันในเครื่องบินกำลังพร่องไปเรื่องๆ
หนังไม่ได้โฟกัสที่ใดที่หนึ่งเป็นพิเศษ เราแทบไม่รู้จักปูมหลังของตัวละครสักเท่าไหร่ ... บางตัวเราก็ยังไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำ เสมือนกับว่าโนแลนบอกเป็นนัยๆ ถึงสถาพจริงของสงครามที่ ไม่มีบทวีรบุรุษ ไม่มีฉากบีบคั้นอารมณ์ ไม่มีปรัชญาอะไรยากๆ ไม่มีความบันเทิงใดๆ มีแต่ความโหดร้ายและความสิ้นหวังของผู้พยายามจะรักษาชีวิตให้ถึงบ้าน
ก็ด้วยความเรียลของหนังที่แหละ ที่ทำให้มันไม่สนุก
แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ต้องยกน้ำชาคารวะให้ คริสโตเฟอร์ โนแลน ที่ทำให้ผมต้องยอมยกให้หนังไม่สนุกเรื่องนี้ขึ้นหิ้งหนังดีอีกเรื่องหนึ่งของปี 2017 ได้ ... หวังว่าเรื่องหน้า จะกลับมาทำหนังสนุกๆ เหมือนเดิม อย่าติสต์แตกติดกันบ่อยๆ
(จริงๆ ตอนแรกผมว่าจะดูวาเลเรี่ยน แต่ดันไม่มีรอบ)
edit เคาะย่อหน้า