ความรู้สึกหลังจากดู Dunkirk

ไปดู Dunkirk มา เราให้ 9/10 เลย (อันนี้ความคิดของเรานะคะ รีวิวตามประสาคนดูหนังไม่เป็น เราดูเรื่องไหนเราก็ชอบหมดยกเว้น Transformer 5 ฮา😂😂😂)

ตัดคะแนนตรงที่ตัดไปมาให้เราเข้าใจเอง คิดตามเอง เราตามไม่ทันบางตอน ต้องตั้งใจดูมากๆ

แต่คิดว่าเขาอาจจะตั้งใจ ให้ออกจากโรงแล้วมานั่งคิดต่อ ว่าสรุปมันจะสื่ออะไรวะ มันมีหลายประเด็นเกินที่เขาอยากสื่อ ไม่รู้ต้องมองตรงไหนเป็นหลักดี
แล้วก็มีสัญลักษณ์เยอะนะ บางอันก็ไม่รู้ว่าจะ refer ถึงอะไร งงๆ ก็ข้ามไป เราลืมรายละเอียดหมดแล้ว

ก็เข้าไปดู IMAX ที่สยามพารากอนมา เราว่าหนังดีเลยนะ ชอบมากๆ แต่ไม่ได้สนุก ที่เราชอบมากอาจเพราะดูโรงนี้รึเปล่าก็ไม่รู้นะ

เราเป็นผู้หญิง เราอินไปหน่อย5555 มีสองสามฉากได้ที่อยากจะร้องไห้ (แต่ไม่กล้าร้อง เวอร์เกิน)
ดูจบเป็นความรู้สึกสุขใจแปลกๆที่ไม่คิดว่าจะได้รับจากหนังเรื่องนี้เลย


----------------------------------


1. หนังมันไม่ได้ให้ความมันส์ สาดยิงกระสุนใส่กัน ไม่ใช่
เป็นหนังแนว survival มันลุ้นตลอดว่าต่อไปจะเจออะไรอีก เรานั่งเกร็งแทบทั้งเรื่องเลย
มันคือการเอาตัวรอดของทหารที่ไม่สามารถต่อกรกับศัตรู และก็ไม่สามารถกลับ home ได้เช่นกัน เป็นหนังเอาชีวิตรอด(จากสงคราม)


2. โนแลนทำสงครามให้ออกมาได้สวยนะ อันนี้ความคิดเรา ที่แบบดูหนังอะไรไม่ค่อยเป็น55 เราว่าฉากที่ทหารหมอบลงหลบระเบิดบนหาดทราย แล้วระเบิดลงมาเรื่อยๆแล้วทรายมันกระเด็นนี่โคตรจะสวยเลย
แล้วไหนจะตอนที่ทหารค่อยๆก้มลงหลบแบบเป็นเวฟอีก 555555 ชอบ
บนท้องฟ้าด้วย ดีงาม ดูจบแล้วคิดในใจ กราบพ่อสิลูก.... นับถือในการถ่ายจริงใช้ของจริงเครื่องจริงบินจริงทุกอย่างของเขาเลย (จากที่อ่านมานะ)


3. ในส่วนของการตัดต่อ/วิธีการเล่าเรื่อง: ถ้าคนที่เคยดูหนังของผู้กำกับคนนี้ คริสโตเฟอร์ โนแลน (เช่น Memento, Interstellar, The Dark Knight) จะดูเรื่องนี้เข้าใจได้ไม่ยาก
หนังเรื่องนี้มี 3 เส้นเรื่อง แต่ละเส้นระยะเวลาไม่เท่ากัน(เล่นกับเวลาอีกแล้ว) หนังตัดสลับไปมา สามเส้นเรื่องนี้ แล้วขมวดปมเข้าด้วยกันในที่สุด แต่ไม่ได้เริ่มจากตอนปัจจุบันไปหาอดีตนะ


4. หนังเครียดเล็กน้อย เพราะมันเงียบ บทพูดน้อยมาก เน้นให้เราเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์
เหมือนเขาอยากให้เราไปสังเกต ไปมอง ไปรับรู้บรรยากาศ สิ่งแวดล้อมที่ตัวละครตอนนั้นกำลังเจออยู่


5. ตรงกันข้ามกับบทพูด ดนตรีประกอบเร้ามากๆ แต่ก็ไม่ได้เครียดมากนะ แต่มันแทบจะไม่เว้นช่วงเบาๆเลย

*ด้วยความที่หนังเงียบ สำหรับเราเอง การที่ไม่พูดมันยิ่งบังคับให้เราต้องมอง มองตาม คิดตาม สมองทำงานโคตรหนักเลย
แล้วยิ่งมาเจอดนตรีประกอบเร้าๆๆๆๆๆ แบบนี้...

มันเป็นจังหวะของเข็มนาฬิกา ที่เหมือนนับถอยหลังอะไรสักอย่าง นั่นแหละ ดนตรีจังหวะเดียวกับนาฬิกาตอนเปิดเรื่องตลอดเรื่องเลย อยากรู้ว่าทำไมถึงเลือกใช้เสียง ticking ของนาฬิกา)


ข้อสำคัญ ถ้าเป็นไปได้ ไปดู IMAX ที่พารากอนเถอะ เราว่าคุ้มค่า และหนังถ่ายมาแบบนั้น บ้าพลังขนาดนั้น ไม่เสียดายเงินหรอก จริงๆนะ 🙂

สรุป ยังมีบางตอนที่เราดูไม่ทัน ไม่ทันจริงๆ (เพราะเราจำหน้าฝรั่งบางคนไม่ได้เลยแยกไม่ออกว่าใคร ยังไงถ้าไปดูอย่าสติหลุดเหมือนเรานะ ต้องตั้งใจดู)
ปล. ตอนขมวดปมนี่เราดูแล้วเข้าใจนะ แต่บางคนก็งง ลองไปพิสูจน์เองได้เลยค่ะ 💘
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่