เห็นหลายคนไม่ค่อยชอบเกี่ยวกับลูกเล่นเกี่ยวกับเวลาของเรื่องนี้และงงว่าจะใส่เข้ามาทำไมแต่ผมกลับชอบนะครับ
ต้องขอบอกก่อนว่าไม่ได้เป็นคนที่ดูหนังเยอะแต่ถูกจริตกับการเล่าเรื่องของหนังโนแลนมาทุกเรื่อง อาจจะใช้คำงงๆไปบ้างครับเพราะไม่ใช่นักดูหนัง
Dunkirk นี่จะแบ่งเป็น3เส้นเรื่องคืออันแรกบนหาดเริ่มเมื่อ1สัปดาห์ก่อน อันที่2บนเรือเริ่มเมื่อ1วันก่อน อันที่3บนเครื่องบินเริ่มเมื่อ1ชม.ก่อน
ถ้าเรียงตาม Timeline แล้วเหตุการณ์บนหาดจะกินเวลาเกือบทั้งเรื่องส่วนด้านบนเรือจะมาในช่วงปลายๆแล้วและฝั่งเครื่องบินนี่คือเหตุการณ์ในตอนท้ายสุด
ถ้าเล่าเรื่องแบบเรียงตาม Timeline ทั้งหมด เหตุการณ์บนหาดน่าจะกินเวลาไปเกือบครึ่งเรื่องกว่าเหตุการณ์บนเรือจะเริ่ม
และเส้นเรื่องบนเครื่องบินกว่าจะออกมานั้นจะมาในตอนใกล้ๆจบเรื่องแล้ว
ถ้าเล่าแบบนี้ตัวหนังจะไม่มีอะไรน่าสนใจเลยนะครับ เหตุการณ์บนเรือกับเครื่องบินจะออกมาแบบโดดๆจากตอนท้ายเรื่องเพราะไม่มีการปูมาก่อน
แต่โนแลนใช้การเล่าเรื่องไปพร้อมๆกันทั้ง3เหตุการณ์ที่เริ่มไม่พร้อมกันแต่มาบรรจบตอนท้ายเรื่องพร้อมกันผมว่าเป็นการเล่าที่ฉลาดมากๆ
เพราะสามารถปูบทของทั้ง3เส้นเรื่องไปพร้อมๆกันได้โดยที่เหตุการณ์ทั้ง3เริ่มไม่พร้อมกัน ในช่วงต้นเรื่องนั้นบนหาดปูถึงการเอาชีวิตรอด
ฝั่งบนเรือปูถึงความหวังที่จะไปช่วยทหาร ฝั่งเครื่องบินปูถึงเรื่องเชื้อเพลิงในการบินที่ต้องเหลือไว้เผื่อขากลับด้วยตั้งแต่ต้นๆเรื่องได้
และเหตุการณ์มันจะค่อยๆมาบรรจบกันทีละนิดอย่างเช่นนักบินที่ลงจอดบนทะเลในพาร์ทของเครื่องบินที่เราจะเห็นแวบๆว่ามีเรืออยู่ใกล้ๆทำให้เราวางใจได้ว่ารอดละ พอสักพักในเส้นเรื่องบนเรือเราจะมาเห็นเหตุการณ์ต่อจากนั้นอีกทีว่าหลังจากลงจอดแล้วก็ยังต้องมาลุ้นต่ออีกนิด
และสุดท้ายเส้นเรื่องของทั้งพาร์ทเรือกับเครื่องบินจะค่อยๆเข้ามาบรรจบกันเรื่อยๆ
เหตุการณ์ในพาร์ทของบนหาดที่เรือโดนสอยก็มีทหารรอดมาเจอเส้นเรื่องในส่วนของพาร์ทของเรืออีก
ในส่วนพาร์ทของบนหาดจะมาบรรจบกับเรือและเครื่องบินเป็นพาร์ทสุดท้ายเพราะกินเวลาค่อนข้างกว้างกว่าพาร์ทอื่นๆ
และมีเหตุการณ์ในช่วงท้ายๆซ้อนทับกันนิดๆถ้าผมจำไม่ผิดจะมีในพาร์ทของเครื่องบินที่เรือโดนสอย เราจะเห็นในพาร์ทเครื่องบินเหลื่อมๆก่อนนิดๆ
และเราจะมาเห็นแบบเต็มๆอีกทีในตอนที่ทั้ง3พาร์ทมาบรรจบกัน
ถือว่าเป็นการเล่าเรื่องที่ธรรมดาให้ไม่ธรรมดาได้ ส่วนนี้จะคล้ายๆกับเรื่อง Memento ที่ใช้ลูกเล่นเกี่ยวกับเวลาที่มาเล่าเรื่องที่ดูแล้วธรรมดาให้ไม่ธรรมดาได้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้การเล่าเรื่องหน้าสลับกับหลังทำให้เรื่องมาหักมุมเอาตอนท้ายและจบได้สุดยอดมากๆ
ถ้าเล่าเรื่องเป็นเส้นตรงจุดพีคตอนท้ายเรื่องจะอยู่ช่วงกลางๆเรื่องและทำให้หนังไม่พีคเท่ากับการเล่าเรื่องแบบตัดสลับหน้ากับหลัง
ซึ่งใน dunkirk จะคล้ายๆกันตรงที่ถ้าเล่าเรื่องแบบเรียงปกติจะทำให้บางช่วงบทของแต่ละเส้นเรื่องนั้นหายไปเลย
เพราะทั้ง3เส้นเรื่องนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกันก็คือช่วงที่พาร์ทของเรือถึงฝั่งแล้วนั่นแหละครับ
ระหว่างนั้นถ้าเล่าเรื่องแบบเรียงตาม Timeline ช่วงต้นๆฝั่งเครื่องบินกับเรือจะหายไป ช่วงกลางจะมีแค่พาร์ทบนหาดกับเรือ ส่วนช่วงท้ายจะเป็นพาร์ทบนเครื่องบินที่เด่นไปกลบพาร์ทอื่นๆหมด การเล่าแบบนี้ถือว่าเฉลี่ย3พาร์ทได้อย่างลงตัวครับและพอทั้ง3พาร์ทมาบรรจบกันตอนที่เรือมาถึงฝั่งก็เหมือนว่าที่ลุ้นมาทั้งเรื่องนั้นสุดท้ายก็มาบรรจบกันสักที
ผมว่าเล่าเรื่องทั้ง3เหตุการณ์พร้อมๆกันโดยที่เรื่องทั้ง3เริ่มไม่พร้อมกันผมว่าเป็นการเล่าเรื่องที่ฉลาดดีครับ ทำให้เนื้อเรื่องที่ดูธรรมดากลายเป็นน่าติดตามได้
แต่เรื่องนี้โนแลนใจดีกว่าเรื่องที่ผ่านๆมามากที่บอกเราตั้งแต่แต่ต้นเรื่องเลยว่าทั้ง3เหตุการณ์เริ่มไม่พร้อมกัน ทำให้เรื่องนี้ดูง่ายกว่าเรื่องที่ผ่านๆมามาก
ส่วนตัวผมถือว่าชอบการเล่าเรื่องของเรื่องนี้ตรงที่เล่าเรื่องสงครามในอดีตที่ทุกคนรู้บทสรุปอยู่แล้วที่ดูธรรมดาให้ไม่ธรรมดาได้ ผมว่าเจ๋งมากเลยครับ
Dunkirk ลูกเล่นเกี่ยวกับเวลาของเรื่องนี้ Spoil
ต้องขอบอกก่อนว่าไม่ได้เป็นคนที่ดูหนังเยอะแต่ถูกจริตกับการเล่าเรื่องของหนังโนแลนมาทุกเรื่อง อาจจะใช้คำงงๆไปบ้างครับเพราะไม่ใช่นักดูหนัง
Dunkirk นี่จะแบ่งเป็น3เส้นเรื่องคืออันแรกบนหาดเริ่มเมื่อ1สัปดาห์ก่อน อันที่2บนเรือเริ่มเมื่อ1วันก่อน อันที่3บนเครื่องบินเริ่มเมื่อ1ชม.ก่อน
ถ้าเรียงตาม Timeline แล้วเหตุการณ์บนหาดจะกินเวลาเกือบทั้งเรื่องส่วนด้านบนเรือจะมาในช่วงปลายๆแล้วและฝั่งเครื่องบินนี่คือเหตุการณ์ในตอนท้ายสุด
ถ้าเล่าเรื่องแบบเรียงตาม Timeline ทั้งหมด เหตุการณ์บนหาดน่าจะกินเวลาไปเกือบครึ่งเรื่องกว่าเหตุการณ์บนเรือจะเริ่ม
และเส้นเรื่องบนเครื่องบินกว่าจะออกมานั้นจะมาในตอนใกล้ๆจบเรื่องแล้ว
ถ้าเล่าแบบนี้ตัวหนังจะไม่มีอะไรน่าสนใจเลยนะครับ เหตุการณ์บนเรือกับเครื่องบินจะออกมาแบบโดดๆจากตอนท้ายเรื่องเพราะไม่มีการปูมาก่อน
แต่โนแลนใช้การเล่าเรื่องไปพร้อมๆกันทั้ง3เหตุการณ์ที่เริ่มไม่พร้อมกันแต่มาบรรจบตอนท้ายเรื่องพร้อมกันผมว่าเป็นการเล่าที่ฉลาดมากๆ
เพราะสามารถปูบทของทั้ง3เส้นเรื่องไปพร้อมๆกันได้โดยที่เหตุการณ์ทั้ง3เริ่มไม่พร้อมกัน ในช่วงต้นเรื่องนั้นบนหาดปูถึงการเอาชีวิตรอด
ฝั่งบนเรือปูถึงความหวังที่จะไปช่วยทหาร ฝั่งเครื่องบินปูถึงเรื่องเชื้อเพลิงในการบินที่ต้องเหลือไว้เผื่อขากลับด้วยตั้งแต่ต้นๆเรื่องได้
และเหตุการณ์มันจะค่อยๆมาบรรจบกันทีละนิดอย่างเช่นนักบินที่ลงจอดบนทะเลในพาร์ทของเครื่องบินที่เราจะเห็นแวบๆว่ามีเรืออยู่ใกล้ๆทำให้เราวางใจได้ว่ารอดละ พอสักพักในเส้นเรื่องบนเรือเราจะมาเห็นเหตุการณ์ต่อจากนั้นอีกทีว่าหลังจากลงจอดแล้วก็ยังต้องมาลุ้นต่ออีกนิด
และสุดท้ายเส้นเรื่องของทั้งพาร์ทเรือกับเครื่องบินจะค่อยๆเข้ามาบรรจบกันเรื่อยๆ
เหตุการณ์ในพาร์ทของบนหาดที่เรือโดนสอยก็มีทหารรอดมาเจอเส้นเรื่องในส่วนของพาร์ทของเรืออีก
ในส่วนพาร์ทของบนหาดจะมาบรรจบกับเรือและเครื่องบินเป็นพาร์ทสุดท้ายเพราะกินเวลาค่อนข้างกว้างกว่าพาร์ทอื่นๆ
และมีเหตุการณ์ในช่วงท้ายๆซ้อนทับกันนิดๆถ้าผมจำไม่ผิดจะมีในพาร์ทของเครื่องบินที่เรือโดนสอย เราจะเห็นในพาร์ทเครื่องบินเหลื่อมๆก่อนนิดๆ
และเราจะมาเห็นแบบเต็มๆอีกทีในตอนที่ทั้ง3พาร์ทมาบรรจบกัน
ถือว่าเป็นการเล่าเรื่องที่ธรรมดาให้ไม่ธรรมดาได้ ส่วนนี้จะคล้ายๆกับเรื่อง Memento ที่ใช้ลูกเล่นเกี่ยวกับเวลาที่มาเล่าเรื่องที่ดูแล้วธรรมดาให้ไม่ธรรมดาได้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ซึ่งใน dunkirk จะคล้ายๆกันตรงที่ถ้าเล่าเรื่องแบบเรียงปกติจะทำให้บางช่วงบทของแต่ละเส้นเรื่องนั้นหายไปเลย
เพราะทั้ง3เส้นเรื่องนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกันก็คือช่วงที่พาร์ทของเรือถึงฝั่งแล้วนั่นแหละครับ
ระหว่างนั้นถ้าเล่าเรื่องแบบเรียงตาม Timeline ช่วงต้นๆฝั่งเครื่องบินกับเรือจะหายไป ช่วงกลางจะมีแค่พาร์ทบนหาดกับเรือ ส่วนช่วงท้ายจะเป็นพาร์ทบนเครื่องบินที่เด่นไปกลบพาร์ทอื่นๆหมด การเล่าแบบนี้ถือว่าเฉลี่ย3พาร์ทได้อย่างลงตัวครับและพอทั้ง3พาร์ทมาบรรจบกันตอนที่เรือมาถึงฝั่งก็เหมือนว่าที่ลุ้นมาทั้งเรื่องนั้นสุดท้ายก็มาบรรจบกันสักที
ผมว่าเล่าเรื่องทั้ง3เหตุการณ์พร้อมๆกันโดยที่เรื่องทั้ง3เริ่มไม่พร้อมกันผมว่าเป็นการเล่าเรื่องที่ฉลาดดีครับ ทำให้เนื้อเรื่องที่ดูธรรมดากลายเป็นน่าติดตามได้
แต่เรื่องนี้โนแลนใจดีกว่าเรื่องที่ผ่านๆมามากที่บอกเราตั้งแต่แต่ต้นเรื่องเลยว่าทั้ง3เหตุการณ์เริ่มไม่พร้อมกัน ทำให้เรื่องนี้ดูง่ายกว่าเรื่องที่ผ่านๆมามาก
ส่วนตัวผมถือว่าชอบการเล่าเรื่องของเรื่องนี้ตรงที่เล่าเรื่องสงครามในอดีตที่ทุกคนรู้บทสรุปอยู่แล้วที่ดูธรรมดาให้ไม่ธรรมดาได้ ผมว่าเจ๋งมากเลยครับ