(Review / No Spoil) Dunkirk: เมื่อโนแลนไม่เล่าเรื่องด้วย "ท่ายาก" กับเหล่าทหารไร้หน้าไร้นามในสงครามโลก

Review: Dunkirk (2017)
เหตุการณ์ยุทธการดันเคิร์ก ที่นายทหารจากสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสติดอยูที่ชายหาดและถูกล้อมไว้โดยกองทัพเยอรมันกว่าสี่แสนนาย พร้อมความหวังว่าทางการจะส่งเรือมารับ

หนังเล่าเหตุการณ์จากสามมุมมอง ได้แก่จากชายฝั่งดันเคิร์ก ที่มีทหารหนุ่มน้อยชาวอังกฤษกับเพื่อนร่วมกองทัพอีกสี่แสนนายยืนรอเรือมารับ, จากทะเล ที่พลเรือนธรรมดาอาสาขับเรือเล็กไปรับนายทหารที่ติดชายฝั่ง และจากบนฟ้า หน่วยทหารอากาศผู้ที่เกจวัดน้ำมันพังและน้ำมันก็ร่อยหรอลงทุกที ส่วนทางกับข้าศึกที่บินประจันเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ

จุดเด่น
- ใครที่เคยชอบหนังโนแลนแบบ Inception (2010) หรือ Interstellar (2014) อาจรู้สึกแปลกๆ กับ Dunkirk นิดหน่อย เพราะโนแลนไม่ได้เล่นท่ายากเรื่องการเดินเรื่องหรือพล็อตใดๆ ไม่มีความสวิงสวายแบบที่เราต้องเอามาขบหาทฤษฎีกันหลังหนังจบ Dunkirk เพียงแต่เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนชายหาดแห่งนั้นเท่านั้น

- การเล่าเรื่องของ Dunkirk อาจไม่ได้ใช้ท่ายาก เพราะท่ายากจริงๆ ของหนังเรื่องนี้ที่โนแลนตั้งใจเก็บทุกเม็ดคือ "งานด้านภาพ" วิชวลสุดตระการตาด้วยการถ่ายทำระบบฟิล์ม 70 มม. จนคิดว่ายังไงหนังคงได้เข้าชิงกำกับภาพยอดเยี่ยม และความที่มันเป็นหนังฟิล์มที่ฉายบนจอไอแม็กซ์ ก็เลยรู้สึกอิ่มเอมใจสุดขีด สวยมากๆ และเราเข้าใจได้เลยว่าทำไมโนแลนมันถึงได้คลั่งไคล้ความเป็นฟิล์มทั้งยังหาโรงฉายฟิล์มขนาด 70 มม. มากขนาดนี้ มันคือความสุดอย่างหนึ่งของหนังเรื่องนี้เหมือนกัน


-และด้วยงานภาพที่แสนตระการตานี่เอง มันทำให้เราเห็นว่าโนแลนคือ ผกก. ที่ละเมียดกับหนังแค่ไหน เพราะมันคือการทำให้เห็นความทรงพลังด้านภาพของภาพยนตร์ แสง สี ฟิล์มและจอขนาดยักษ์ ล้วนประกอบกันขึ้นมาเพื่อให้เราชื่นชมและอิ่มเอมกับมัน และโนแลนก็ใช้ศักยภาพทั้งหมดนี้อย่างเต็มที่

-เราไม่อาจรู้ชื่อหรือแม้แต่รู้จักตัวละครใดๆ ในเรื่อง พวกเขาคือเด็กหนุ่มที่เข้ามาเป็นทหาร เป็นเป้านิ่งเหมือนปลาในกระบะอยู่ตามชายหาดให้ทหารเยอรมันขับเครื่องบินมาไล่ยิงหรือทิ้งระเบิดใส่ เป็นมนุษย์ไร้หน้าในสงคราม ความต้องการเดียวที่มีร่วมกันคือไปให้พ้นจากดันเคิร์กไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตามที


อื่นๆ
-อันนี้อาจเป็นเรื่องที่เรารู้สึกว่าประหลาดและใหญ่ เยอะมากในหนัง นั่นคือดนตรีประกอบหรือสกอร์เพลงของฮานส์ ซิมเมอร์ ที่กระหึ่มตลอดทั้งเรื่องแบบไม่มีพัก เชื่อได้ว่าสกอร์เพลงของเขากำหนดอารมณ์คนดูได้พอๆ หรือมากกว่าปัจจัยใดๆ ในเรื่องด้วยซ้ำ (ยากจะบอกว่าดีหรือไม่ดี แต่แค่รู้สึกว่า มันต้องเล่นกันโฉ่งฉ่างขนาดนี้เลยเหรอ)


นักแสดง
พอมันเป็นหนังที่เล่าด้วยเหตุการณ์เป็นหลัก และตัวละครเป็นเรื่องที่ถูกเอ่ยถึงตามหลัง การแสดงเลยต้องชัดมากๆ (เพราะคนดูไม่รู้เลยว่าคุณคือใคร)

-แม้เราอาจไม่ได้รู้จักตัวละครอย่างเป็นทางการผ่านชื่อหรือปูมหลัง แต่กล้องจับไปที่นายทหารหนุ่มน้อยคนหนึ่ง รับบทโดย เฟียน ไวต์เฮด ซึ่งเรารู้สึกตั้งแต่ฉากแรกที่เขาปรากฏตัวว่าเล่นดี เป็นเด็กหนุ่มที่อยู่ๆ ก็ได้มาเป็นทหาร (เผลอๆ อาจไม่ได้สมัครใจ) สีหน้าแววตาแบบกล้าๆ กลัวๆ ตลอดทั้งเรื่อง


-อนัวริน บาร์นาร์ด ทหารหนุ่มอีกคนที่เงียบกริบ ชอบสีหน้าแววตาชอกช้ำแกมดื้อดึงอยู่ในที


-แฮร์รี สไตล์ ไม่เหลือคราบ One Direction มาแบบหน้ายับ บูดเบี้ยวตลอดเวลา ถือว่าเปิดตัวในฐานะนักแสดงได้อย่างงดงามมากๆ เพราะมไ่ใช่แค่หนังฟอร์มใหญ่ ผกก.มือดี แต่ตัวเขาเองก็แสดงได้ดีด้วย


-เคนเนธ บรานาห์ (มานึกขึ้นได้ว่าเคยแสดงเป็น กิลเดอรอย ล็อคฮาร์ต ในแฮร์รี่ พอเตอร์ 2) โคตรดี ชอบที่ฉากไม่มีบทพูดแล้วกล้องซูมจับแค่ดวงตาที่อยู่หลังกล้องส่องทางไกล แล้วพอลดกล้องลง ความรู้สึกทุกอย่างของตัวละครก็โถมทะลักแบบกลั้นไม่อยู่


-ทอม ฮาร์ดี ที่เรื่องก่อนก็ใส่หน้ากากทั้งเรื่อง มาเรื่องนี้ใส่หน้ากากนักบินเห็นแต่ดวงตามองมา อย่างไรก็ดี รักฉากร่อนเครื่องบินช่วงท้ายมาก รู้สึกว่าโนแลนมันตั้งใจเหลือเกินที่จะได้ภาพมุมนี้



สำหรับเรามันอาจไม่ใช่หนังโนแลนที่เราชอบที่สุด แต่รวมๆ แล้วมันเป็นหนังที่ดีและดูได้ไม่เบื่อ Dunkirk ไม่ใช่หนังสงครามที่พูดถึงเลือดเนื้อและความตาย แต่มันแค่เล่าเหตุการณ์บนชายหาด และอาจเป็นหนังที่เล่าเรื่องสงครามโดยแทบไม่ฟูมฟายเลยเท่านั้นเอง

ฝากบล็อก-เพจ สำหรับติดตามข่าวสาร-แลกเปลี่ยนกันเรื่องภาพยนตร์กันนะคะ


Page: https://www.facebook.com/llkhimll
Blog: http://llkhimll.wordpress.com/
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่