จากเรื่องเกรียนต่าง ๆ ไม่ว่าจะโพสให้ไปข่มขืนหรือเกรียนทดลองวางเหรียญบนราง ที่เป็นข่าวดัง เห็นบทความนี้กล่าวถึงความคิดของพวกนี้อยู่ และที่มาของความเกรียน เลยเอามาโพสให้อ่านกันครับ
ปี 2537 มีละครไทยเรื่องหนึ่งเล่าเรื่องความรุนแรงในครอบครัว สามีซ้อมเมียเป็นนิจ วันหนึ่งเธอจึงหอบลูกสาวหนีออกจากบ้านไปอยู่กันเอง สองแม่ลูกรักกันมาก คืนหนึ่งทั้งสองถูกกลุ่มชายฉกรรจ์รุมโทรมอย่างโหดเหี้ยม ลูกสาวกลายเป็นบ้า แม่จมอยู่ในเพลิงแค้น วางแผนตามสังหารนักข่มขืนทีละคนๆ... ‘ล่า’ เป็นละครน้ำดีที่ทำให้สังคมตื่นตัวกับปัญหาความรุนแรงต่อสตรี สินจัย เปล่งพานิช ผู้แสดงบทแม่ได้รับรางวัลโทรทัศน์ทองคำ และเป็นปีที่ทุกคนในฮอลล์ยืนขึ้นปรบมือ
วันนี้ ‘ล่า’ ถูกนำกลับมาสร้างใหม่ ทีมผู้สร้างตั้งใจอย่างยิ่ง เพราะถือเป็นงานระดับมาสเตอร์พีซ ระหว่างถ่ายทำ นักแสดงชายผู้รับบทนักข่มขืน ได้โพสต์ภาพตนเองและชาวแก๊งที่อยู่ในชุดนักโทษ ลงในเฟซบุ๊กตัวเอง พร้อมเขียนแคปชั่นว่า ‘...ใครอยากให้เราข่มขืน เลือกเลย!’
มันก็จะเกิดความพังขึ้นหน่อยๆ ช็อกน้อยๆ ตั้งแต่ทมยันตีผู้ประพันธ์ ไปจนถึงทีมผู้สร้างละคร
เราขอบอกก่อนว่าการด่าทอนักแสดงคนนั้นอย่างเอาเป็นเอาตายไม่ใคร่จะเป็นประโยชน์ (โอเค อาจจะจำเป็นในเบื้องต้น เหมือนเวลาเด็กจำคำว่าไอ้ควายมาจากในทีวี พอพูดแล้วใครก็หัวเราะชอบใจ เขาก็เลยไปเรียกแม่ว่าไอ้ควาย แม่จึงสะดุ้งด่าเขา-แบบนั้น)
ปัญหาความเกรียนอันไร้ขีดจำกัดและทวีปริมาณต่อเนื่องทุกวันนี้ มันไปไกลเกินกว่าจะมานั่งด่ารายตัว อย่างแรกเพราะมันเยอะ อย่างที่สองเพราะพวกเขาไม่ใช่เด็กอีกแล้ว หลายคนมีเมีย มีผัว มีครอบครัว แต่ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘
วิจารณญาณ’ แล้วมนุษย์แบบไหนล่ะที่พวกเขาจะผลิตออกสู่สังคม ก็คงเป็นมนุษย์หลายแบบ แต่ทุกแบบก็ไม่น่าจะมีวิจารณญาณ
มองตาใสๆ ของเด็กฝรั่งคนนั้นสิ นาทีที่เขาเอาเหรียญไปวางบนทางรถไฟ คุณว่าเขาคิดเหรอว่าอยากให้รถไฟตกราง เขาคิดเหรอว่าคนอาจจะเสียชีวิต หรือแม้แต่ตัวเองอาจต้องติดคุก เขาไม่ได้คิดหรอก เพราะอะไร เพราะเขาคิดไม่ได้
นาทีที่นักแสดงคนนั้นพิมพ์ข้อความชวนให้คนมาถูกข่มขืน คุณคิดเหรอว่าเขาตั้งใจจริงๆ ว่าจะข่มขืนคนอื่น เปล่าเลย เขาก็แค่ล้อเล่น เขาเห็นด้วยกับโทษประหารสำหรับนักข่มขืนด้วยซ้ำ แต่เขาพิมพ์ลงไปเพราะคิดว่ามันคงฮาดี เขาไม่ได้คิดว่าประเทศนี้มีผู้หญิงถูกข่มขืนปีละ 30,000 คนหรือมากกว่านั้น (ข้อมูล-krobkruakao.com) เขาไม่ได้คิดว่าผู้หญิงเหล่านั้นสักคนอาจจะอ่านข้อความของเขา แล้วจะเจอก้อนสะอึกจุกอก เขาไม่ได้เป็นคนโหดร้ายต่อผู้หญิง เขาแค่ไม่ได้คิด ก็เพราะว่าเขาคิดไม่ได้
เหมือนที่นิสิตในสถาบันทรงเกียรติแห่งหนึ่งของประเทศวาดรูปฮิตเลอร์เป็นหนึ่งในฮีโร่ช่วยกู้โลก นิสิตจะไม่รู้เหรอว่าฮิตเลอร์เป็นใคร เคยทำอะไรไว้ เขารู้แน่นอน แต่เขาแค่ไม่ได้คิด เพราะคิดไม่ได้
อาการคิดไม่ได้คือโรคระบาดทางปัญญา อันเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าระดับการศึกษาไม่อาจเยียวยาได้ และการ์ดขอโทษเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ก็ไม่ได้แปลว่าพวกเขาจะคิดได้เองในอนาคต
From Casual Ignorance to Willful Ignorance
นักวิชาการวิเคราะห์กันว่า Ignorance หรืออวิชชาของคนยุคใหม่ เกิดจากการเข้าถึงข้อมูลทุกประเภทได้อย่างไร้ขีดจำกัด การศึกษาอบรมจึงคล้ายเป็นสิ่งไม่จำเป็น เพราะทุกคนรู้ทุกอย่างแล้ว และก็ไม่เพียงเท่านั้น เด็กมิลเลเนียลแทบทุกคนยังรู้อยู่ในส่วนลึกด้วยว่า สิ่งที่ตนรู้วันนี้ อาจจะไม่จริงวันพรุ่งนี้ก็ได้ พวกเขาชินกับความจริงลื่นไหลไปมาได้ด้วยแผนการตลาดไปจนถึงแผนการเมือง ที่สามารถทำให้แม้แต่เรื่องโลกร้อนกลายเป็นเรื่องโกหก ในภาวะที่รู้ทุกอย่างแต่ไม่รู้จริงสักอย่างนี้ ทำให้สมาชิกในสังคมตกอยู่ในภาวะอ่อนไหวต่อข้อมูลจนกลายเป็นคนไม่ยี่หระอะไรเลย ก็เพราะไม่รู้จริงๆ ว่าควรยี่หระอะไร วิเคราะห์อย่างไทยๆ ก็อาจจะพูดได้ว่า เมื่อคนยุคใหม่เข้าถึงความรู้ได้เองและคิดว่าการเรียนรู้อบรมจากมนุษย์ผู้มีประสบการณ์เป็นเรื่องไม่จำเป็น การ ‘บ่มนิสัย’ ที่มักต่อเนื่องมากับการอบรม จึงขาดหายไปเช่นกัน
“
สิ่งที่ขาดหายไปในกระบวนการศึกษาทุกวันนี้คือการพัฒนาสมองให้ไวต่อการคิดวิเคราะห์เชิงลึก” ดร.จอห์น บี. อเล็กซานเดอร์ กล่าวในบทความ ‘The Age of Ignorance’ โดยยกตัวอย่างทวิตเตอร์ซึ่งอนุญาตให้สื่อสารข้อความภายใน 140 ตัวอักษร “
มันทำให้ขาดบริบทสำคัญไป ผู้รับสารแต่ละคนถูกทิ้งให้ตีความเองตามความเข้าใจของตน
โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นคนหนึ่งที่หาประโยชน์จากความอ่อนไหวของสาธารณชน (ได้ในเรื่องนี้) เขารู้ว่าผู้คนจะไม่ขุดคุ้ยลึกซึ้ง ทว่าข้อความง่ายๆ สั้นๆ ที่เขาสื่อสารต่างหากจะค่อยๆ ฝังเข้าไปในหัวผู้คน และเป็นอุปสรรคขัดขวางวิจารณญาณของพวกเขาเอง” สารพัดข่าวช็อกโลกที่ชาวอเมริกันเชื่อ บ่งบอกชัดว่าทรัมป์เป็นผู้เชี่ยวชาญศาสตร์นี้อย่างแท้จริง
เมื่อผู้คนเริ่ม
เลือกเชื่อข้างที่ตนถูกใจ โดยอาศัยข้อมูลที่ล้นหลามทว่าปราศจากความแน่นอน จาก Casual Ignorance ที่มีติดตัวมา ก็จะแปรสภาพกลายเป็น Willful Ignorance หรืออวิชชาโดยจงใจ ต่อข้อมูลหรือแนวคิดใดก็ตามที่ไม่ถูกใจตน และนั่นจึงเป็นเหตุให้เราได้อ่านความคิดเห็นไร้ตรรกะอยู่เป็นประจำ เช่น แฟนคลับของเด็กฝรั่งที่เอาเหรียญไปวางบนทางรถไฟ เขียนคอมเมนต์-ดันสังคมที่มารุมประณามเด็กฝรั่งคนดังกล่าว
“พรุ่งนี้ผมจะออกมาดราม่า ห้ามใคร ขี้ เยี่ยว หายใจ เพราะจะทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ...ทำลายชั้นบรรยากาศ ...จนเกิดภาวะโลกร้อน ....นำมาซึ่งน้ำแข็งขั้วโลกละลาย ...เมืองหลายร้อยเมืองจมหาย ....ผู้คนอดอยาก ...เกิดภาวะโรคระบาด ...ขาดแคลนอาหาร ...ส่งผลต่อมวลมนุษยชาติ มากมายยิ่งนัก!!! เหตุผลเท่านี้พอปะ???? 5555”
เขาน่าจะเป็นคนมีการศึกษาแน่ๆ เขามีความรู้ว่าชั้นบรรยากาศกำลังถูกทำลายด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เขารู้ว่าก๊าซนั้นมีอยู่ในลมหายใจมนุษย์ เขารู้ด้วยว่ามันเกิดผลกระทบเชิงกว้างแค่ไหนอย่างไร แต่เขากลับไม่รู้เลยว่าทั้งหมดที่เขารู้นั้น ‘มีความหมาย’ อย่างไร เขาจึงใช้มันเป็นเพียงชุดข้อมูลเพื่อเอาไว้ประชดประชัน แก้ต่างแทนความพิเรนทร์ของไอดอลตัวเอง โดยมีคนคลิกไลค์คอมเมนต์ของเขาถึง 666 คน คลิกเลิฟอีก 13 คน ถ้าคุณกำลังเริ่มเครียดว่าเราจะแก้ปัญหาอวิชชาอย่างไร คำตอบคือแก้ได้ด้วยวิชชา ซึ่งยังพอมีเรื่องน่ายินดีอยู่บ้างจากคอมเมนต์ถัดมา
“อย่ามาประชดโง่ๆ แบบนี้เลย คืออยู่เงียบๆ ก็ไม่มีใครว่าโง่อ่ะ พอออกมาพูดแล้วรู้เลยว่าโง่จริง”
ที่มา :
http://themomentum.co/the-age-of-no-brainer
The Age of No Brainer: ไม่ได้คิด ก็เพราะคิดไม่ได้
ปี 2537 มีละครไทยเรื่องหนึ่งเล่าเรื่องความรุนแรงในครอบครัว สามีซ้อมเมียเป็นนิจ วันหนึ่งเธอจึงหอบลูกสาวหนีออกจากบ้านไปอยู่กันเอง สองแม่ลูกรักกันมาก คืนหนึ่งทั้งสองถูกกลุ่มชายฉกรรจ์รุมโทรมอย่างโหดเหี้ยม ลูกสาวกลายเป็นบ้า แม่จมอยู่ในเพลิงแค้น วางแผนตามสังหารนักข่มขืนทีละคนๆ... ‘ล่า’ เป็นละครน้ำดีที่ทำให้สังคมตื่นตัวกับปัญหาความรุนแรงต่อสตรี สินจัย เปล่งพานิช ผู้แสดงบทแม่ได้รับรางวัลโทรทัศน์ทองคำ และเป็นปีที่ทุกคนในฮอลล์ยืนขึ้นปรบมือ
วันนี้ ‘ล่า’ ถูกนำกลับมาสร้างใหม่ ทีมผู้สร้างตั้งใจอย่างยิ่ง เพราะถือเป็นงานระดับมาสเตอร์พีซ ระหว่างถ่ายทำ นักแสดงชายผู้รับบทนักข่มขืน ได้โพสต์ภาพตนเองและชาวแก๊งที่อยู่ในชุดนักโทษ ลงในเฟซบุ๊กตัวเอง พร้อมเขียนแคปชั่นว่า ‘...ใครอยากให้เราข่มขืน เลือกเลย!’
มันก็จะเกิดความพังขึ้นหน่อยๆ ช็อกน้อยๆ ตั้งแต่ทมยันตีผู้ประพันธ์ ไปจนถึงทีมผู้สร้างละคร
เราขอบอกก่อนว่าการด่าทอนักแสดงคนนั้นอย่างเอาเป็นเอาตายไม่ใคร่จะเป็นประโยชน์ (โอเค อาจจะจำเป็นในเบื้องต้น เหมือนเวลาเด็กจำคำว่าไอ้ควายมาจากในทีวี พอพูดแล้วใครก็หัวเราะชอบใจ เขาก็เลยไปเรียกแม่ว่าไอ้ควาย แม่จึงสะดุ้งด่าเขา-แบบนั้น)
ปัญหาความเกรียนอันไร้ขีดจำกัดและทวีปริมาณต่อเนื่องทุกวันนี้ มันไปไกลเกินกว่าจะมานั่งด่ารายตัว อย่างแรกเพราะมันเยอะ อย่างที่สองเพราะพวกเขาไม่ใช่เด็กอีกแล้ว หลายคนมีเมีย มีผัว มีครอบครัว แต่ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘วิจารณญาณ’ แล้วมนุษย์แบบไหนล่ะที่พวกเขาจะผลิตออกสู่สังคม ก็คงเป็นมนุษย์หลายแบบ แต่ทุกแบบก็ไม่น่าจะมีวิจารณญาณ
มองตาใสๆ ของเด็กฝรั่งคนนั้นสิ นาทีที่เขาเอาเหรียญไปวางบนทางรถไฟ คุณว่าเขาคิดเหรอว่าอยากให้รถไฟตกราง เขาคิดเหรอว่าคนอาจจะเสียชีวิต หรือแม้แต่ตัวเองอาจต้องติดคุก เขาไม่ได้คิดหรอก เพราะอะไร เพราะเขาคิดไม่ได้
นาทีที่นักแสดงคนนั้นพิมพ์ข้อความชวนให้คนมาถูกข่มขืน คุณคิดเหรอว่าเขาตั้งใจจริงๆ ว่าจะข่มขืนคนอื่น เปล่าเลย เขาก็แค่ล้อเล่น เขาเห็นด้วยกับโทษประหารสำหรับนักข่มขืนด้วยซ้ำ แต่เขาพิมพ์ลงไปเพราะคิดว่ามันคงฮาดี เขาไม่ได้คิดว่าประเทศนี้มีผู้หญิงถูกข่มขืนปีละ 30,000 คนหรือมากกว่านั้น (ข้อมูล-krobkruakao.com) เขาไม่ได้คิดว่าผู้หญิงเหล่านั้นสักคนอาจจะอ่านข้อความของเขา แล้วจะเจอก้อนสะอึกจุกอก เขาไม่ได้เป็นคนโหดร้ายต่อผู้หญิง เขาแค่ไม่ได้คิด ก็เพราะว่าเขาคิดไม่ได้
เหมือนที่นิสิตในสถาบันทรงเกียรติแห่งหนึ่งของประเทศวาดรูปฮิตเลอร์เป็นหนึ่งในฮีโร่ช่วยกู้โลก นิสิตจะไม่รู้เหรอว่าฮิตเลอร์เป็นใคร เคยทำอะไรไว้ เขารู้แน่นอน แต่เขาแค่ไม่ได้คิด เพราะคิดไม่ได้
อาการคิดไม่ได้คือโรคระบาดทางปัญญา อันเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าระดับการศึกษาไม่อาจเยียวยาได้ และการ์ดขอโทษเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ก็ไม่ได้แปลว่าพวกเขาจะคิดได้เองในอนาคต
From Casual Ignorance to Willful Ignorance
นักวิชาการวิเคราะห์กันว่า Ignorance หรืออวิชชาของคนยุคใหม่ เกิดจากการเข้าถึงข้อมูลทุกประเภทได้อย่างไร้ขีดจำกัด การศึกษาอบรมจึงคล้ายเป็นสิ่งไม่จำเป็น เพราะทุกคนรู้ทุกอย่างแล้ว และก็ไม่เพียงเท่านั้น เด็กมิลเลเนียลแทบทุกคนยังรู้อยู่ในส่วนลึกด้วยว่า สิ่งที่ตนรู้วันนี้ อาจจะไม่จริงวันพรุ่งนี้ก็ได้ พวกเขาชินกับความจริงลื่นไหลไปมาได้ด้วยแผนการตลาดไปจนถึงแผนการเมือง ที่สามารถทำให้แม้แต่เรื่องโลกร้อนกลายเป็นเรื่องโกหก ในภาวะที่รู้ทุกอย่างแต่ไม่รู้จริงสักอย่างนี้ ทำให้สมาชิกในสังคมตกอยู่ในภาวะอ่อนไหวต่อข้อมูลจนกลายเป็นคนไม่ยี่หระอะไรเลย ก็เพราะไม่รู้จริงๆ ว่าควรยี่หระอะไร วิเคราะห์อย่างไทยๆ ก็อาจจะพูดได้ว่า เมื่อคนยุคใหม่เข้าถึงความรู้ได้เองและคิดว่าการเรียนรู้อบรมจากมนุษย์ผู้มีประสบการณ์เป็นเรื่องไม่จำเป็น การ ‘บ่มนิสัย’ ที่มักต่อเนื่องมากับการอบรม จึงขาดหายไปเช่นกัน
“สิ่งที่ขาดหายไปในกระบวนการศึกษาทุกวันนี้คือการพัฒนาสมองให้ไวต่อการคิดวิเคราะห์เชิงลึก” ดร.จอห์น บี. อเล็กซานเดอร์ กล่าวในบทความ ‘The Age of Ignorance’ โดยยกตัวอย่างทวิตเตอร์ซึ่งอนุญาตให้สื่อสารข้อความภายใน 140 ตัวอักษร “มันทำให้ขาดบริบทสำคัญไป ผู้รับสารแต่ละคนถูกทิ้งให้ตีความเองตามความเข้าใจของตน
โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นคนหนึ่งที่หาประโยชน์จากความอ่อนไหวของสาธารณชน (ได้ในเรื่องนี้) เขารู้ว่าผู้คนจะไม่ขุดคุ้ยลึกซึ้ง ทว่าข้อความง่ายๆ สั้นๆ ที่เขาสื่อสารต่างหากจะค่อยๆ ฝังเข้าไปในหัวผู้คน และเป็นอุปสรรคขัดขวางวิจารณญาณของพวกเขาเอง” สารพัดข่าวช็อกโลกที่ชาวอเมริกันเชื่อ บ่งบอกชัดว่าทรัมป์เป็นผู้เชี่ยวชาญศาสตร์นี้อย่างแท้จริง
เมื่อผู้คนเริ่มเลือกเชื่อข้างที่ตนถูกใจ โดยอาศัยข้อมูลที่ล้นหลามทว่าปราศจากความแน่นอน จาก Casual Ignorance ที่มีติดตัวมา ก็จะแปรสภาพกลายเป็น Willful Ignorance หรืออวิชชาโดยจงใจ ต่อข้อมูลหรือแนวคิดใดก็ตามที่ไม่ถูกใจตน และนั่นจึงเป็นเหตุให้เราได้อ่านความคิดเห็นไร้ตรรกะอยู่เป็นประจำ เช่น แฟนคลับของเด็กฝรั่งที่เอาเหรียญไปวางบนทางรถไฟ เขียนคอมเมนต์-ดันสังคมที่มารุมประณามเด็กฝรั่งคนดังกล่าว
“พรุ่งนี้ผมจะออกมาดราม่า ห้ามใคร ขี้ เยี่ยว หายใจ เพราะจะทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ...ทำลายชั้นบรรยากาศ ...จนเกิดภาวะโลกร้อน ....นำมาซึ่งน้ำแข็งขั้วโลกละลาย ...เมืองหลายร้อยเมืองจมหาย ....ผู้คนอดอยาก ...เกิดภาวะโรคระบาด ...ขาดแคลนอาหาร ...ส่งผลต่อมวลมนุษยชาติ มากมายยิ่งนัก!!! เหตุผลเท่านี้พอปะ???? 5555”
เขาน่าจะเป็นคนมีการศึกษาแน่ๆ เขามีความรู้ว่าชั้นบรรยากาศกำลังถูกทำลายด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เขารู้ว่าก๊าซนั้นมีอยู่ในลมหายใจมนุษย์ เขารู้ด้วยว่ามันเกิดผลกระทบเชิงกว้างแค่ไหนอย่างไร แต่เขากลับไม่รู้เลยว่าทั้งหมดที่เขารู้นั้น ‘มีความหมาย’ อย่างไร เขาจึงใช้มันเป็นเพียงชุดข้อมูลเพื่อเอาไว้ประชดประชัน แก้ต่างแทนความพิเรนทร์ของไอดอลตัวเอง โดยมีคนคลิกไลค์คอมเมนต์ของเขาถึง 666 คน คลิกเลิฟอีก 13 คน ถ้าคุณกำลังเริ่มเครียดว่าเราจะแก้ปัญหาอวิชชาอย่างไร คำตอบคือแก้ได้ด้วยวิชชา ซึ่งยังพอมีเรื่องน่ายินดีอยู่บ้างจากคอมเมนต์ถัดมา
“อย่ามาประชดโง่ๆ แบบนี้เลย คืออยู่เงียบๆ ก็ไม่มีใครว่าโง่อ่ะ พอออกมาพูดแล้วรู้เลยว่าโง่จริง”
ที่มา : http://themomentum.co/the-age-of-no-brainer