Captain Fantastic : ครอบครัวปราชญ์พันธุ์พิลึก
" ...She’s got a smile that it seems to me
Reminds me of childhood memories
Where everything was as fresh as the bright blue sky..."
Sweet Child O’ Mine
Captain Fantastic หนังดีนอกกระแสที่กวาดรางวัลชื่อเสียงจากเทศกาลหนังต่างๆมาได้มากมาย โดยเฉพาะการเปิดตัวหนังที่เทศกาลหนัง
Sundance และการเข้าชิง
Un Certain Regard Award ของ
Canne Film Festival ในส่วนของรางวัลใหญ่ๆ อย่าง
Golden Globe , Oscar , BAFTA ก็สามารถเข้าชิงรางวัลนักแสดงนำชายมาได้โดยฝีมือของ
Viggo Mortensen (พี่อารากอนจาก The Lord of the ring นั่นเอง) จึงนับว่าเป็นหนังที่ดีกรีไม่ธรรมดาทีเดียวเชียว และเป็นหนังที่ผมชอบมากๆ
Captain Fantastic ได้รับการกำกับโดย
Matt Ross มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวพิลึกที่มีผู้นำครอบครัวคือ
เบน (Viggo Mortenson) เขาเลี้ยงดูลูกๆทั้งห้าอยู่ในป่าแห่งหนึ่งด้วยหลักสูตรของเขาเอง ล่าสัตว์ อาหารการกิน ศิลปะป้องกันตัว ปรัชญาและการเมือง (พร้อมกับความคิดรังเกียจทุนนิยมอย่างสุดขั้ว) วิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ชั้นสูง เรื่องราวต่างๆมันมาเกิดขึ้นเมื่อภรรยาเขาเสียชีวิต เขาและลูกๆจึงต้องเดินทางไกลเพื่อไปทำพิธีศพ ทำให้พวกเขาต้องพบเจอกับโลกแห่งความเป็นจริงที่ๆทุนนิยมกระจายแพร่ตัวอยู่ในชีวิตประจำวันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เขาจะเอาตัวรอดจากการเผชิญโลกความเป็นจริงอย่างไร ?
ก่อนอื่นต้องขอคารวะผู้กำกับอย่างสุดหัวใจ
Captain Fantastic เป็นหนังที่ทำได้ยากมาก ด้วยบทเรื่องและแนวเรื่องที่แหวกแนวไม่เหมือนใคร แถมยังแหกคอกไปทางสายหนังอินดี้นอกกระแส Captain Fantastic มีบทหนังที่เฉียบคม โดยการจิกกัดการเมือง สังคมและวิถีชีวิตของชาวเมือง (ทั้งทุนนิยมและสังคมนิยม) ผ่านมุกตลกร้ายเสียดสีต่างๆ
ถ้ามองในมุมปรัชญา ผมรู้สึกว่าหนังค่อนข้างจะอิงกับ
" ปรัชญาอัตถิภาวนิยม (Existentialism) " ที่มุ่งเน้นความเป็นปัจเจกนิยม หรือความเป็นตัวตนของตัวเอง (แต่เป็นชนิดแบบสุดโต่ง) ท่ามกลางโลกที่พร้อมจะทำให้เราสูญเสียตัวตนได้ง่ายๆ
แต่ที่ว่ามาเป็นเพียงเปลือกนอกของ Captain Fantastic แก่นแท้ของหนังจริงๆกลับเป็นเรื่องครอบครัว และการใช้ชีวิตที่สมดุล หนังจึงผสมเรื่องหลายๆอย่างไว้ด้วยกัน ทั้งเรื่องการเมือง ครอบครัว แนวหนังเดินทาง นอกจากนี้หนังก็เล่าเรื่องแบบมีชั้นเชิง ตลกร้าย หลายๆอย่างผสมกันอย่างลงตัว ทำให้ผมรู้สึกว่าเป็นหนังที่ทำได้ยาก คนทำเก่งจริงๆ
ส่วนการดำเนินเรื่องก็ทำได้เยี่ยม หนังทำได้น่าติดตามตลอดเวลา มีตลก ดราม่า เศร้าและประทับใจ ลึกซึ้งครบทุกอารมณ์ รวมถึงโปรดักชันหนัง มุมกล้อง การถ่ายภาพ การให้แสง ก็ทำได้สวยมาก เรียกได้ว่าใครที่อยากศึกษา
Cinematography สวยๆ ก็ดูจากเรื่องนี้ได้ ภาพสวยมาก นอกจากนี้สถานที่ถ่ายทำป่าไม้ ธรรมชาติ ก็งามจับใจ เหมาะที่จะเสพอย่างยิ่ง
ที่ขาดไม่ได้หากไม่ได้พูดถึงคงเป็นเรื่องการแสดงซึ่งสามารถแสดงได้เยี่ยมทุกคน แต่ที่ทุ่มพลังมากกว่าคนอื่น ก็เป็นใครไม่ได้นอกจาก
Viggo Mortensen (ฺBen) บอกเลยพี่แกแสดงโคตรดี ทั้งแววตา สีหน้า ท่าทาง ชนิดที่ว่าถ้าไม่ได้เข้าชิงออสการ์ก็ไม่รู้ยังไงแล้ว ขนาดว่าผมดูจบ ยังรู้สึกได้เลยว่า แกแสดงได้เฉือนกับ
Casey Affleck มาก (นึกไปนึกมาก็เสียดาย ผมกลับโดนใจการแสดงของพี่ Viggo มากกว่านะ 555)
หนังสอนเราผ่านการดำเนินชีวิตของครอบครัวเบนที่สุดโต่งไปทุกๆเรื่อง ไม่ว่าจะเรื่องแนวคิดทางการเมืองที่มองว่า โลกทุนนิยมมันจอมปลอมและสังคมนิยมที่ดูอุดมคติ การใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติแบบไม่พึ่งเทคโนโลยีใดๆ เพื่อหวนคืนสู่ธรรมชาติอยู่อย่างมีความสุขและรังเกียจที่จะอยู่อย่างสบายๆแบบคนเมือง เสพสุขกับโลกอันฉาบฉวย... หนังพยายามเปรียบเทียบระหว่างความสุดขั้ว ความคิดเบนอยู่อีกขั้วหนึ่ง ขณะที่ชาวโลกก็อยู่อีกขั้วหนึ่ง ปัญหาคือ เบนและครอบครัวจะใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไปได้จริงหรือ? ต้องขโมยของชาวบ้านกินตลอดเวลา?
แนวคิดที่ดูถูกรังเกียจทุนนิยมอย่างสุดขั้ว จะไม่ทำให้เบนและครอบครัวเป็นตัวประหลาดในสังคมหรือ? และถ้าคนในครอบครัวเบนต้องมาใช้ชีวิตอย่างคนปกติในสักวันหนึ่ง เขาจะทำตัวยังไงในเมื่อชีวิตนี้แทบไม่เคยใช้ชีวิตอย่างคนในสังคมทำกัน
...สุดท้ายก็ไม่มีใครบอกได้ว่าสิ่งใดดีที่สุด ในบางครั้งเราต้องพึ่งสิ่งหนึ่ง แต่อีกสถานการณ์เราก็ต้องเปลี่ยนไปอีกแบบหนึ่ง มันไม่มีคำตอบตายตัวในทุกๆอย่าง ที่สำคัญคือ เราจะประสานความต่างทั้งสองขั้วนี้ยังไงให้มันสมดุล ลื่นไหล ปรับเปลี่ยนได้ทุกเมื่อ และเราจะอยู่อย่างไรให้เป็นตัวของตัวเองได้ในขณะที่เราไม่แปลกแยก แปลกประหลาดในสังคม นี่แหละคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต และครอบครัวคือ คนที่อยู่ข้างเราในวันที่ทุกข์ที่สุด เพื่อผ่านมันไปด้วยกัน
ผมชอบคำพูดนึงที่เบนบอกลูกๆในตอนท้ายเรื่อง (เหมือนเป็นประโยคเดียวที่เก็บแก่นของเรื่องเอาไว้)
" พ่อคิดว่าแม่จะดีขึ้นที่นั่น แต่ไม่เลย...มันมากเกินไป..."
- Ben (Viggo Mortensen)
ชอบอีกอย่างคือการใส่เพลง
Sweet Child O Mine ของวง
Guns N' Roses เข้ามา ซึ่งเหมือนเป็นบทสรุปทุกอย่างที่หนังดำเนินมา และทำให้หนังสามารถปิดฉากตอนท้ายได้อย่างสมบูรณ์
" ...She’s got a smile that it seems to me
เธอมีรอยยิ้มที่เหมือนจะส่งมาให้ฉัน
Reminds me of childhood memories
ทำให้ฉันหวนคิดถึง ความทรงจำในวัยเด็ก
Where everything was as fresh as the bright blue sky
ที่ๆทุกอย่างๆ ล้วนสดใสราวกับท้องฟ้าที่สว่างสดใส..."
Guns N' Roses
Sweet Child O Mine - Captain fantastic soundtrack Lyrics
สรุป
Captain Fantastic ผมให้
9/10 (ยอดเยี่ยม แปลก งดงาม ลึกซึ้ง) ใครที่ยังไม่ได้ดู ก็อยากให้ลองดูกันนะครับ อาจจะดูนอกกระแสหน่อย แต่เป็นหนึ่งในหนังที่งดงามและให้อะไรกับเรามากเกินกว่าที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ อีกทั้งยังเป็นหนังครอบครัวที่พิลึกทั้งตลกร้าย ดราม่า เศร้า ผสานกับการแสดงของ
Viggo Mortensen ทำให้หนังเรื่องนี้มีองค์ประกอบที่สมบูรณ์ ยังสงสัยว่า ทำไมหนังถึงไมไม่ได้เข้าชิงออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมด้วย (หรือมันดูนอกกระแสไปก็ไม่รู้ ?)
หากใครไม่ชอบหนังนอกกระแส หนังที่ต้องตีความ แฝงปรัชญาและ Symbol ต่างๆเอาไว้ แนวเรื่องแปลกๆ ไม่เหมือนหนัง Box Office ก็อาจจะข้ามเรื่องนี้ไปก็ได้นะครับ แต่ส่วนตัวผมชอบมาก (ชอบส่วนตัวเป็นพิเศษด้วย 555)
"แปลกพิลึก แหวกแนว แต่แฝงด้วยความงดงาม พร้อมกับแก่นอันเฉียบคม"
9/10
----------------------------------------------------------------------
Captain Fantastic (2016) (Imdb)
In the forests of the Pacific Northwest, a father devoted to raising his six kids with a rigorous physical and intellectual education is forced to leave his paradise and enter the world, challenging his idea of what it means to be a parent.
Director: Matt Ross
Writer: Matt Ross
Stars: Viggo Mortensen, George MacKay, Samantha Isler | See full cast & crew »
----------------------------------------------------------------------
ป.ล.ในหนังบางช็อตที่อาจมีฉากรุนแรงบ้างนะครับ รวมถึงฉากโป๊ของพี่
Viggo
ป.ล.2 เจอบทความรีวิวที่น่าสนใจของ
The Matter เกี่ยวกับ
Captain Fantastic เน้นไปด้านวิเคราะห์ปรัชญาการเมืองใครสนใจก็ลองอ่านดูได้นะครับ
ป.ล.3 สำหรับคนที่ดูแล้วหรือยังไม่ได้ดู ก็สามารถมาคุยกันได้นะครับ ชอบฉากไหน ประทับใจเรื่องใด ก็มาคุยแลกเปลี่ยนกันได้เลยครับ
----------------------------------------------------------------------
(เพิ่มเติม) Into the Wild (2007) : เข้าป่าหาชีวิต
มีอีกเรื่องที่ผมว่าสไตล์หนังคล้ายกัน จัดว่าเป็นหนังดี ก็คือ
Into the Wild (2007) ครับ สร้างจากเรื่องจริง เป็นเรื่องราวของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เลือกจะเผาเงินทั้งหมด แล้วออกเดินทางพเนจรไปอยู่ในป่า จัดว่าเป็นหนังดีอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าใครชอบ
Captain Fantastic เรื่อง
Into the Wild ก็แนะนำเหมือนกันครับ
(Imdb : 8.1/10)
[CR] (Review หนังนอกกระแส) Captain Fantastic (2016) : แปลกพิลึก แหวกแนว แต่แฝงด้วยความงดงาม
Reminds me of childhood memories
Where everything was as fresh as the bright blue sky..."
Captain Fantastic หนังดีนอกกระแสที่กวาดรางวัลชื่อเสียงจากเทศกาลหนังต่างๆมาได้มากมาย โดยเฉพาะการเปิดตัวหนังที่เทศกาลหนัง Sundance และการเข้าชิง Un Certain Regard Award ของ Canne Film Festival ในส่วนของรางวัลใหญ่ๆ อย่าง Golden Globe , Oscar , BAFTA ก็สามารถเข้าชิงรางวัลนักแสดงนำชายมาได้โดยฝีมือของ Viggo Mortensen (พี่อารากอนจาก The Lord of the ring นั่นเอง) จึงนับว่าเป็นหนังที่ดีกรีไม่ธรรมดาทีเดียวเชียว และเป็นหนังที่ผมชอบมากๆ
Captain Fantastic ได้รับการกำกับโดย Matt Ross มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวพิลึกที่มีผู้นำครอบครัวคือ เบน (Viggo Mortenson) เขาเลี้ยงดูลูกๆทั้งห้าอยู่ในป่าแห่งหนึ่งด้วยหลักสูตรของเขาเอง ล่าสัตว์ อาหารการกิน ศิลปะป้องกันตัว ปรัชญาและการเมือง (พร้อมกับความคิดรังเกียจทุนนิยมอย่างสุดขั้ว) วิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ชั้นสูง เรื่องราวต่างๆมันมาเกิดขึ้นเมื่อภรรยาเขาเสียชีวิต เขาและลูกๆจึงต้องเดินทางไกลเพื่อไปทำพิธีศพ ทำให้พวกเขาต้องพบเจอกับโลกแห่งความเป็นจริงที่ๆทุนนิยมกระจายแพร่ตัวอยู่ในชีวิตประจำวันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เขาจะเอาตัวรอดจากการเผชิญโลกความเป็นจริงอย่างไร ?
ก่อนอื่นต้องขอคารวะผู้กำกับอย่างสุดหัวใจ Captain Fantastic เป็นหนังที่ทำได้ยากมาก ด้วยบทเรื่องและแนวเรื่องที่แหวกแนวไม่เหมือนใคร แถมยังแหกคอกไปทางสายหนังอินดี้นอกกระแส Captain Fantastic มีบทหนังที่เฉียบคม โดยการจิกกัดการเมือง สังคมและวิถีชีวิตของชาวเมือง (ทั้งทุนนิยมและสังคมนิยม) ผ่านมุกตลกร้ายเสียดสีต่างๆ
ถ้ามองในมุมปรัชญา ผมรู้สึกว่าหนังค่อนข้างจะอิงกับ " ปรัชญาอัตถิภาวนิยม (Existentialism) " ที่มุ่งเน้นความเป็นปัจเจกนิยม หรือความเป็นตัวตนของตัวเอง (แต่เป็นชนิดแบบสุดโต่ง) ท่ามกลางโลกที่พร้อมจะทำให้เราสูญเสียตัวตนได้ง่ายๆ
แต่ที่ว่ามาเป็นเพียงเปลือกนอกของ Captain Fantastic แก่นแท้ของหนังจริงๆกลับเป็นเรื่องครอบครัว และการใช้ชีวิตที่สมดุล หนังจึงผสมเรื่องหลายๆอย่างไว้ด้วยกัน ทั้งเรื่องการเมือง ครอบครัว แนวหนังเดินทาง นอกจากนี้หนังก็เล่าเรื่องแบบมีชั้นเชิง ตลกร้าย หลายๆอย่างผสมกันอย่างลงตัว ทำให้ผมรู้สึกว่าเป็นหนังที่ทำได้ยาก คนทำเก่งจริงๆ
ส่วนการดำเนินเรื่องก็ทำได้เยี่ยม หนังทำได้น่าติดตามตลอดเวลา มีตลก ดราม่า เศร้าและประทับใจ ลึกซึ้งครบทุกอารมณ์ รวมถึงโปรดักชันหนัง มุมกล้อง การถ่ายภาพ การให้แสง ก็ทำได้สวยมาก เรียกได้ว่าใครที่อยากศึกษา Cinematography สวยๆ ก็ดูจากเรื่องนี้ได้ ภาพสวยมาก นอกจากนี้สถานที่ถ่ายทำป่าไม้ ธรรมชาติ ก็งามจับใจ เหมาะที่จะเสพอย่างยิ่ง
ที่ขาดไม่ได้หากไม่ได้พูดถึงคงเป็นเรื่องการแสดงซึ่งสามารถแสดงได้เยี่ยมทุกคน แต่ที่ทุ่มพลังมากกว่าคนอื่น ก็เป็นใครไม่ได้นอกจาก Viggo Mortensen (ฺBen) บอกเลยพี่แกแสดงโคตรดี ทั้งแววตา สีหน้า ท่าทาง ชนิดที่ว่าถ้าไม่ได้เข้าชิงออสการ์ก็ไม่รู้ยังไงแล้ว ขนาดว่าผมดูจบ ยังรู้สึกได้เลยว่า แกแสดงได้เฉือนกับ Casey Affleck มาก (นึกไปนึกมาก็เสียดาย ผมกลับโดนใจการแสดงของพี่ Viggo มากกว่านะ 555)
หนังสอนเราผ่านการดำเนินชีวิตของครอบครัวเบนที่สุดโต่งไปทุกๆเรื่อง ไม่ว่าจะเรื่องแนวคิดทางการเมืองที่มองว่า โลกทุนนิยมมันจอมปลอมและสังคมนิยมที่ดูอุดมคติ การใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติแบบไม่พึ่งเทคโนโลยีใดๆ เพื่อหวนคืนสู่ธรรมชาติอยู่อย่างมีความสุขและรังเกียจที่จะอยู่อย่างสบายๆแบบคนเมือง เสพสุขกับโลกอันฉาบฉวย... หนังพยายามเปรียบเทียบระหว่างความสุดขั้ว ความคิดเบนอยู่อีกขั้วหนึ่ง ขณะที่ชาวโลกก็อยู่อีกขั้วหนึ่ง ปัญหาคือ เบนและครอบครัวจะใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไปได้จริงหรือ? ต้องขโมยของชาวบ้านกินตลอดเวลา?
แนวคิดที่ดูถูกรังเกียจทุนนิยมอย่างสุดขั้ว จะไม่ทำให้เบนและครอบครัวเป็นตัวประหลาดในสังคมหรือ? และถ้าคนในครอบครัวเบนต้องมาใช้ชีวิตอย่างคนปกติในสักวันหนึ่ง เขาจะทำตัวยังไงในเมื่อชีวิตนี้แทบไม่เคยใช้ชีวิตอย่างคนในสังคมทำกัน
...สุดท้ายก็ไม่มีใครบอกได้ว่าสิ่งใดดีที่สุด ในบางครั้งเราต้องพึ่งสิ่งหนึ่ง แต่อีกสถานการณ์เราก็ต้องเปลี่ยนไปอีกแบบหนึ่ง มันไม่มีคำตอบตายตัวในทุกๆอย่าง ที่สำคัญคือ เราจะประสานความต่างทั้งสองขั้วนี้ยังไงให้มันสมดุล ลื่นไหล ปรับเปลี่ยนได้ทุกเมื่อ และเราจะอยู่อย่างไรให้เป็นตัวของตัวเองได้ในขณะที่เราไม่แปลกแยก แปลกประหลาดในสังคม นี่แหละคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต และครอบครัวคือ คนที่อยู่ข้างเราในวันที่ทุกข์ที่สุด เพื่อผ่านมันไปด้วยกัน
ผมชอบคำพูดนึงที่เบนบอกลูกๆในตอนท้ายเรื่อง (เหมือนเป็นประโยคเดียวที่เก็บแก่นของเรื่องเอาไว้)
ชอบอีกอย่างคือการใส่เพลง Sweet Child O Mine ของวง Guns N' Roses เข้ามา ซึ่งเหมือนเป็นบทสรุปทุกอย่างที่หนังดำเนินมา และทำให้หนังสามารถปิดฉากตอนท้ายได้อย่างสมบูรณ์
เธอมีรอยยิ้มที่เหมือนจะส่งมาให้ฉัน
Reminds me of childhood memories
ทำให้ฉันหวนคิดถึง ความทรงจำในวัยเด็ก
Where everything was as fresh as the bright blue sky
ที่ๆทุกอย่างๆ ล้วนสดใสราวกับท้องฟ้าที่สว่างสดใส..."
สรุป
Captain Fantastic ผมให้ 9/10 (ยอดเยี่ยม แปลก งดงาม ลึกซึ้ง) ใครที่ยังไม่ได้ดู ก็อยากให้ลองดูกันนะครับ อาจจะดูนอกกระแสหน่อย แต่เป็นหนึ่งในหนังที่งดงามและให้อะไรกับเรามากเกินกว่าที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ อีกทั้งยังเป็นหนังครอบครัวที่พิลึกทั้งตลกร้าย ดราม่า เศร้า ผสานกับการแสดงของ Viggo Mortensen ทำให้หนังเรื่องนี้มีองค์ประกอบที่สมบูรณ์ ยังสงสัยว่า ทำไมหนังถึงไมไม่ได้เข้าชิงออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมด้วย (หรือมันดูนอกกระแสไปก็ไม่รู้ ?)
หากใครไม่ชอบหนังนอกกระแส หนังที่ต้องตีความ แฝงปรัชญาและ Symbol ต่างๆเอาไว้ แนวเรื่องแปลกๆ ไม่เหมือนหนัง Box Office ก็อาจจะข้ามเรื่องนี้ไปก็ได้นะครับ แต่ส่วนตัวผมชอบมาก (ชอบส่วนตัวเป็นพิเศษด้วย 555)
Captain Fantastic (2016) (Imdb)
In the forests of the Pacific Northwest, a father devoted to raising his six kids with a rigorous physical and intellectual education is forced to leave his paradise and enter the world, challenging his idea of what it means to be a parent.
Director: Matt Ross
Writer: Matt Ross
Stars: Viggo Mortensen, George MacKay, Samantha Isler | See full cast & crew »
ป.ล.ในหนังบางช็อตที่อาจมีฉากรุนแรงบ้างนะครับ รวมถึงฉากโป๊ของพี่ Viggo
ป.ล.2 เจอบทความรีวิวที่น่าสนใจของ The Matter เกี่ยวกับ Captain Fantastic เน้นไปด้านวิเคราะห์ปรัชญาการเมืองใครสนใจก็ลองอ่านดูได้นะครับ
ป.ล.3 สำหรับคนที่ดูแล้วหรือยังไม่ได้ดู ก็สามารถมาคุยกันได้นะครับ ชอบฉากไหน ประทับใจเรื่องใด ก็มาคุยแลกเปลี่ยนกันได้เลยครับ
(เพิ่มเติม) Into the Wild (2007) : เข้าป่าหาชีวิต
มีอีกเรื่องที่ผมว่าสไตล์หนังคล้ายกัน จัดว่าเป็นหนังดี ก็คือ Into the Wild (2007) ครับ สร้างจากเรื่องจริง เป็นเรื่องราวของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เลือกจะเผาเงินทั้งหมด แล้วออกเดินทางพเนจรไปอยู่ในป่า จัดว่าเป็นหนังดีอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าใครชอบ Captain Fantastic เรื่อง Into the Wild ก็แนะนำเหมือนกันครับ (Imdb : 8.1/10)