รวม The shock ที่ฟังมาและคิดว่าหลอนที่สุด

เอามาแบ่งกันค่ะ เพื่อสายหลอน แบบฟังเองหลอนเอง อ่านเองระทึกเอง หลังๆนี่ฟังไปฟังมาก็กลัวมุมมืดเฉยเลย55555555
ถ้าไม่กล้าฟังหรืออยากฟังเพลงอื่นแต่ก็อยากเสพเรื่องหลอน ก็จะเรียบเรียงให้อ่านค่ะ
อันนี้สำหรับเรานะที่คิดว่าหลอนดี ฟังแล้วระทึกหรือสนุกๆ
ไม่จัดอันดับนะคะ เพราะเลือกไม่ถูก 5555555
(ขอบอกไว้ก่อนว่ามีการบรรยายเวิ่นๆเพื่อเพิ่มอรรถรสนิดหน่อยค่ะ อย่าถือสาเลยนะคะ5555555)

......

มาที่เรื่องแรกกันก่อนเลยค่ะ

1. เขื่อนประตูผี - คุณบอย

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับรุ่นพี่คุณบอย ซึ่งเรื่องเกิดขึ้นมากว่าสิบปีแล้ว(นับจากวันที่คุณบอยเล่านะคะ) รุ่นพี่ของคุณบอยในตอนนั้นอาศัยอยู่แถวพุทธมนฑล บ้านของรุ่นพี่คนนี้จะอยู่ข้างๆกับหมู่บ้านหนึ่งค่ะ คล้ายๆกับว่าทำออกมาแล้วขายไม่ได้ เลยมีคนอยู่แค่ไม่กี่หลัง ทางเข้าหมู่บ้านนี้ซึ่งเป็นทางที่กลับเข้าบ้านคุณบอยเหมือนกันลึกและเปลี่ยวมาก พวกแท็กซี่กับวินมอเตอร์ไซค์จะไม่กล้าเข้าไป จึงต้องใช้วิธีพายเรืออีกทางที่ไม่ผ่านหมู่บ้านเข้าไปแทน ซึ่งช่วงที่เป็นทางน้ำนี่รอบด้านจะเป็นพวกสวนมะพร้าว ท่าน้ำ เป็นสวนเสียส่วนใหญ่ และท่าน้ำบางท่าก็เปิดไฟบ้างไม่เปิดไฟบ้าง ฉะนั้นเวลากลางคืนจึงจะมืดมากเพราะแทบไม่มีแสงไฟ

ตรงทางน้ำนั้นจะมีประตูเขื่อนกั้นอยู่ คนพื้นที่เรียกว่าประตูผี เมื่อก่อนเนี่ยยังไม่เป็นประตูเขื่อน และมันจะเป็นทางน้ำหักศอก ถ้าพายเรือยังไงก็ต้องตีโค้งเพื่อผ่านทาง ทีนี้มีการทำประตูเขื่อนเพิ่มขึ้นมา พอทำประตูเขื่อนขึ้นมาก็เกิดน้ำวนด้านหน้าประตู
ถ้าพายเรือช่วงเลี้ยวไม่ดีก็มีสิทธิถูกน้ำดูดไปกระแทกกับประตูเขื่อนได้ทันที

วันหนึ่งรุ่นพี่เพิ่งกลับจากที่ทำงาน กำลังจะเดินไปที่เรือตัวเองซึ่งจอดไว้ห่างจากเขื่อนประมาณหนึ่ง เขาสังเกตุเห็นกู้ภัยหลายคนมารวมกันที่หน้าเขื่อน เท่านั้นเองรุ่นพี่ก็ทราบทันทีว่าคงมีคนตายอีกแน่ แต่ก็ยังเดินไปถามเพื่อความแน่ใจ
"มีคนตายเหรอพี่?"
"ใช่ เนี่ยพายเรือมาแล้วถูกน้ำดูดไปซัดกับประตูเขื่อนแตก ตายไม่รอด"

ต้องอธิบายก่อนว่าทางน้ำวนนี้พอถูกดูดไปซัดกับประตูเขื่อนจนเรือแตกแล้ว ศพจะถูกน้ำดูดไปติดอยู่ใต้ประตูเขื่อน ม้วนวนอยู่อย่างนั้น ซึ่งมันอยู่ใต้น้ำ ฉะนั้น อาสากู้ภัยจะต้องใช้เชือกหนาๆถึงสองเส้นผูกตัวเองไว้ถึงจะกล้าดำน้ำลงไปงมศพขึ้นมา เพราะน้ำวนมันแรงมากจริงๆ ยิ่งช่วงน้ำขึ้นแล้วต้องเปิดประตูเขื่อนระบายน้ำออก แรงดันจากประตูเขื่อนทำให้เกิดแรงน้ำวนมากขึ้น ต้องรอช่วงน้ำลงถึงจะปลอดภัยกว่า

วันต่อมาน้าชายบอกรุ่นพี่ว่า
"เมื่อวานเพิ่งมีคนตาย เอ็งอย่ากลับดึกมากนักนะ มันอันตราย" คงเป็นความเชื่อของคนเก่าคนแก่ว่าคนตายโหงมักจะหาตัวตายตัวแทน รุ่นพี่เองก็ไม่ได้เชื่อเรื่องทำนองนี้สักเท่าไหร่ แต่เขาก็ตอบรับไป
"ครับ ครับ"

แต่สุดท้ายตอนกลับมาถึงเขื่อนตะวันก็ตกดินไปตั้งนานแล้ว รุ่นพี่ขึ้นเรือแล้วพายออกมาเพื่อกลับบ้าน ระหว่างทางนั้นมืดมาก มีแค่แสงไฟจากหลอดไฟตามท่าน้ำ สมัยก่อนค่อนข้างเงียบสงบ มีแค่เสียงแมลงกลางคืน ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบที่เสียงรอบข้างเงียบลง จนได้ยินบางอย่างตามหลังมา
"จ๋อม...จ๋อม"
มันคือเสียงพายเรือ รุ่นพี่ได้ยินเสียงใครสักคนพายเรือตามหลังมา ในตอนนั้นเขาคิดเพียงแค่ว่าโชคดีจังที่มีคนมาพายเรือเป็นเพื่อนในตอนมืดๆแบบนี้
แต่จนแล้วจนรอด เรือลำนั้นก็เอาแต่พายอยู่ตามหลัง ไม่มีทีท่าจะเร่งพายหรือตีคู่แต่อย่างใด

รุ่นพี่พักไม้พายไว้บนเรือครั้งหนึ่ง เพราะเมื่อย แต่ตอนนั้นเองที่เขารู้สึกสะกิดใจ เพราะเสียงข้างหลังมันก็หายไปเหมือนกัน พอรุ่นพี่เริ่มจ้วงไม้พายอีกครั้ง เสียงพายข้างหลังก็ดังตาม
เป็นอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ
เมื่อรุ่นพี่พักไม้ อีกฝ่ายจะพักตาม พอเริ่มพายใหม่ อีกฝ่ายก็จะพายตาม

ด้วยความที่มันมืดมากและเปลี่ยว รุ่นพี่จึงไม่กล้าหันไปมองว่าใครตามมากันแน่ เลยได้แต่จำใจพายไปเรื่อยๆ จนอีกไม่กี่ร้อยเมตรก็จะถึงบ้าน
รุ่นพี่สงสัยมากว่าข้างหลังคือใคร จึงรอให้ใกล้ถึงบ้านแล้วค่อยหันกลับไปมอง

รุ่นพี่หันกลับไปมองเรือที่พายตามหลังมา ถึงได้เห็นว่า เป็นผู้หญิงผมยาวกระเซอะกระเซิงปิดหน้า แต่ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้นั่งอยู่บนเรือ...เธอนั่งอยู่บนโลงศพ!
สิ่งที่เธออาศัยเป็นพาหนะคือโลงศพ
"จ๋อม...จ๋อม" เธอยังพายอยู่ ตอนนั้นเองที่รุ่นพี่เห็นเต็มตา ว่าสิ่งที่เธอจุ่มลงไปในน้ำไม่ใช่ไม้พาย แต่เป็นมือสองข้างของผู้หญิงคนนั้น มือใหญ่ๆเท่าใบพายจ้วงลงน้ำครั้งแล้วครั้งเล่าไล่หลังเขามาเรื่อยๆ
"จ๋อม...จ๋อม"

รุ่นพี่ถึงกับตัวแข็งทำอะไรไม่ถูก ผู้หญิงคนนั้นเอามือตัวเองจุ่มลงน้ำแล้วพาย "จ๋อม...จ๋อม" เป็นจังหวะ แต่สิ่งที่แปลกคือผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ขยับไปไหนเลย แต่เป็นเรือของเขาเองที่ลอยเข้าไปใกล้โลงศพมากขึ้นเรื่อยๆ โดยที่เขาทำอะไรไม่ได้

"ตูม!" น้าชายที่ออกมารอรุ่นพี่นั้นเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ก็รีบกระโดดลงน้ำแล้วลากหัวเรือของรุ่นพี่ที่ใกล้จะถึงโลงศพนั้นเต็มแก่ กลับเข้าท่าทันที
"ขึ้นมาเร็วๆ!!" น้าชายตะโกนสั่ง ทั้งสั่งทั้งลากรุ่นพี่กลับขึ้นบ้าน
"อย่าหันไปมอง ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว รีบเข้าห้องพระไปเร็วๆ"
ทั้งน้าและรุ่นพี่พากันวิ่งเข้าห้องพระ น้าชายคว้าองค์พระพุทธรูปในห้องให้รุ่นพี่กอดเอาไว้ โดยไม่ยอมตอบคำถามรุ่นพี่ที่ถามว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อกี้ใคร
"ไม่ต้องถาม เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปวัดด้วยกัน" น้าชายบอกเขาแค่นั้น
คืนนั้นทั้งน้าชายและรุ่นพี่ไม่ได้นอนเลย เพราะรุ่นพี่นั้นกำลังกลัวอยู่ ส่วนน้าชายถึงกับมาเฝ้าที่ห้องนอนพร้อมกับบอกว่า "ต้องมาเฝ้า ไม่งั้นเดี๋ยวมันมาเอาตัวไป"

พอเช้ามาน้าชายรีบพารุ่นพี่ไปหาหลวงพ่อที่วัด พอหลวงพ่อฟังเรื่องก็บอกทั้งน้าชายทั้งรุ่นพี่ว่า
"ให้มันไปอยู่ในโบสถ์สามวัน ล้อมด้วยสายสิญจน์ไม่งั้นไม่รอด"

น้าชายให้รุ่นพี่เข้าไปอยู่ในโบสถ์และ ไม่ว่ารุ่นพี่จะถามอะไรน้าก็บ่ายเบี่ยงไม่ยอมตอบ บอกแต่ว่า "ถ้าไม่อยากตายก็ทำตาม"

หลวงพ่อบอกกับรุ่นพี่ว่า "ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าออกมานอกประตูโบสถ์ ไม่ว่าจะได้ยินได้เห็นอะไร ก็ห้ามออกมาพ้นบริเวณโบสถ์ แล้วจะให้พระกับเณรมาเฝ้าคืนละรูป"

รุ่นพี่บอกว่าแม้แต่กลางวันก็ห้ามออก ซึ่งตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเขา คุณบอยถามว่าแล้วตอนถ่ายทุกข์พี่ทำยังไง
รุ่นพี่ก็บอกว่าเขาจะมีกระโถนมาให้

คืนแรกที่รุ่นพี่เข้าไปนอนในโบสถ์โดยมีสามเณรหนึ่งรูปมาเฝ้า พอพ้นสามทุ่ม ก็มีเสียงบางอย่างวนอยู่หน้าโบสถ์
"จ๋อม...จ๋อม.." มันคือเสียงบางอย่างจ้วงลงน้ำในจังหวะช้าๆ วนอยู่ที่ท่าน้ำวัด
ตัวรุ่นพี่เองนั้นกลัวก็กลัวแต่ก็อยากรู้ สุดท้ายก็กลั้นใจบอกเณรที่มาเฝ้า ซึ่งเณรก็ได้ยินเสียงเหมือนกัน
"เณร ออกไปดูให้หน่อยสิว่าใครมาพายเรืออยุ่หน้าโบสถ์"
"ไม่เอาหรอกครับ ผมก็กลัว" เสียงพายดังขึ้นอีกทำให้ทั้งคู่เงียบ
แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ นอกจากเสียงน้ำแล้วมันก็แทรกด้วยเสียงผู้หญิงเรียกชื่อเขาไปด้วย
"จ๋อม...พี่...จ๋อม...พี่" วนอยู่อย่างนั้น

เป็นอย่างนี้อยู่สองคืน แต่พอคืนที่สามนั่นเองที่เกิดเรื่อง

คืนที่สามนี้หลวงพ่อบอกว่าเป็นวันพระใหญ่ จะให้พระและเณรไปเฝ้าอย่างละรูป

ในคืนนั้นเองที่รุ่นพี่ตัดสินใจขอให้พระเปิดประตูโบสถ์เอาไว้ เพราะเขาอยากจะเห็นอยากจะดูว่าอะไรกันแน่ที่มาพายเรือหน้าโบสถ์ตอนดึกขนาดนี้ ซึ่งประตูโบสถ์และท่าน้ำวัดนั้นห่างกันไม่มาก

พอเวลาสามทุ่มเหมือนเดิม เสียงเดิมก็ลอยมา

"จ๋อม...จ๋อม"

รุ่นพี่พยายามมองไปที่ท่าน้ำ ในเวลาไม่นานรุ่นพี่ก็ได้เห็นสมใจอยาก เพราะตอนนั้นเองที่เขาเห็นเงาตะคุ่มๆ โผล่เอียงไปมา รุ่นพี่เห็นว่าเป็นหัวคนค่อยๆโผล่ออกมา เส้นผมกระเซอะกระเซิง คอของผู้หญิงคนนั้นยืดโผล่ออกมาจนพ้นเนินท่าน้ำ แม้จะนั่งในโบสถ์ก็ยังเห็น
แสงสว่างจากข้างนอกทำให้เขาเห็นว่าเป็นใบหน้าของผู้หญิงในลักษณะซูบตอบ หนังแทบจะติดกระดูก แต่ดวงตาเป็นหลุมลึกโบ๋ลงไป แต่กระนั้นก็ยังจับจ้องมาที่รุ่นพี่ ผู้หญิงคนนั้นยิ้ม...ยิ้มกว้างอย่างดีอกดีใจ พร้อมกับเรียกรุ่นพี่ไปด้วย หัวกระเซิงนั้นเอนไปมา ส่งเสียงหัวเราะแล้วตะโกนเรียกชื่อรุ่นพี่ที่นั่งอยู่ในโบสถ์

รุ่นพี่เห็นแบบนั้นก็ตัวสั่น ทั้งพระทั้งเณรวิ่งไปปิดประตูโบสถ์เข้ามาอยุ่ในสายสิญจ์ ตัวสั่นงันงกก้มหน้าฟังเสียงหัวเราะแหลมๆวนไปมาอยู่หน้าโบสถ์

เสียงร้องโวยวายดังลั่นจากโบสถ์ ทำให้กรรมการวัดสี่คนที่ได้รับคำสั่งจากหลวงพ่อให้มาดูพวกเขาที่โบสถ์ถึงกับวิ่งเข้ามาเปิดประตู พอวิ่งมาถึงกึ่งกลางระหว่างประตูโบสถ์กับท่าน้ำ กรรมการวัดท่านหนึ่งถึงกับหยุดกึก แล้วสาดไฟไปที่ท่าน้ำ เขามาเล่าทีหลังว่าได้ยินเสียงจ้วงไม้พายเร็วๆ
"จ๋อม..จ๋อม..จ๋อม"
จ้วงเหมือนกับรีบไปไหนสักที่ แต่พอสาดไฟแล้วกลับไม่เห็นอะไรเลย

พอกลับมาดูทั้งสามคนในโบสถ์จึงทราบเรื่องทั้งหมด กรรมการวัดท่านหนึ่งวิ่งไปเพื่อแจ้งหลวงพ่อ พอหลวงพ่อเดินทางมาถึงและได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจึงบอกกับรุ่นพี่ว่า
"เอ็งพ้นแล้วล่ะ เขาไปเอาคนอื่นแล้ว"
พอหลวงพ่อพูดแบบนั้น ในคืนเดียวกันนั้นเอง ราวๆตีห้า น้าชายก็มาหารุ่นพี่ที่โบสถ์เพื่อบอกว่า เมื่อตอนดึกๆ มีผู้หญิงคนหนึ่งโดนน้ำดูดเรือไปกระแทกกับประตูเขื่อน
"ศพยังติดอยู่ที่ประตูอยู่เลย"

พอคิดย้อนกลับไปถึงเสียงจ้วงเรือของสัมภเวสีตนนั้น หลวงพ่อท่านจึงคิดว่าสัมภเวสีตนนั้นคงทราบว่าจะมีคนมาที่เขื่อน จึงรีบจ้ำเรือไปเอาคนนั้นแทน

รุ่นพี่เล่าว่าพอออกจากโบสถ์แล้วพากันไปทำบุญรดน้ำมนต์ เรียกขวัญอะไรกันเสร็จ น้าชายก็บอกทีหลังว่าผู้หญิงคนนั้นที่ตายไปแทนรุ่นพี่ คือลูกสาวของคนรู้จักที่อยู่หลังบ้านเขานี่เอง เพราะลูกสาวเขากลับมาดึกแต่พายเรืออีท่าไหนไม่ทราบเรือถึงถูกดูดไปกระแทกกับประตูเขื่อน

จบ

(รอเรียบเรียงเรื่องที่สอง **มาได้เรื่อยๆถ้ายังฟังเดอะช็อกอยู่5555555)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่