สวัสดีค่ะทุกคน เจ้าของเดียวกับ
https://ppantip.com/topic/34508269 แต่ยังตื่นเต้นเหมือนเดิมนะ 5555
ช่วยเข้าไปไลค์เพจเป็นกำลังใจให้เราด้วยนะ
https://www.facebook.com/semispace/
เกริ่นแล้ว ขายของแล้ว ไปเริ่มกันเลยดีกว่า!
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าเราเป็นผู้หญิงค่ะ และทริปนี้เราเดินทางคนเดียว เริ่มต้นการเดินทางจากลอนดอน ทริปนี้ค่อนข้างปุบปับไม่ได้มีการแพลนอะไรไว้ เราจองตั๋วเครื่องบินและที่พัก 5 วันก่อนการเดินทางแล้วก็แพ็คกระเป๋ารอไปเลยค่ะ ราคาตั๋วเครื่องบินไม่ได้ถูกมาก แต่มีบินตรงจาก London Gatwick Airport ไป Dubrovnik Airport ในราคาประมาณ 15,000 บาท เราเลยตัดสินใจจองเลย ที่พักเราเลือกพักที่ hostel ค่ะ เพราะสำหรับเราแล้วเรื่องที่พักไม่ใช่เรื่องใหญ่เน้นออกไปข้างนอกเพื่อเที่ยวมากกว่า (แต่ที่เมืองนี้โฮสเทลไม่ได้ราคาถูกมากนะคะ) อาหารการกินไม่ได้ประหยัดมาก อยากลองทานอะไรใหม่ๆ ก็ลองเลย เน้นเที่ยวเต็มที่ ไม่ประหยัดมากไปจนหมดสนุก
สิ่งที่ยาก และน่ากังวลสำหรับทริปนี้คงจะเป็นเรื่องของการที่เราเป็นผู้หญิงเที่ยวคนเดียว แต่เอาจริงๆ แล้วไม่ใช่เรื่องยากเลย เราจะลิสต์ให้ประมาณนี้
- ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ แต่ไม่ถึงขั้นระแวง ต้องรอบคอบ และมีสติตลอดเวลาแล้วก็พยายามอย่าพาตัวเองไปในที่ที่เสี่ยงมากจนเกินไป
- การเตรียมตัว ต้องเตรียมไปให้พร้อม ไม่ว่าจะเป็นของใช้ส่วนตัว หรือเอกสารต่างๆ ยังไงเหลือก็ดีกว่าขาด
- ศึกษาข้อมูลของเมืองที่จะไป เช่น ภาษา, วัฒนธรรม, สกุลเงิน, แลนด์มาร์คที่ควรไป
- หากอยากให้การเที่ยวของเราพิเศษอีกหน่อย ก็ลองไปที่ที่คนยังไม่ค่อยไปกันดูบ้าง เพื่อเป็นการเปิดประสบการณ์ และเมื่อมาเล่าให้คนอื่นฟัง จะได้น่าสนใจ และน่าตื่นเต้นกว่าที่อื่นๆ ที่คนไปกันเยอะ
Dubrovnik (ดูบรอฟนิก) เป็นเมืองติดทะเลฝั่งตะวันตกของประเทศ Croatia สารภาพตามตรงว่าเกิดมาเราไม่เคยได้ยินชื่อเมืองนี้มาก่อนเลย และ Croatia ก็ไม่เคยอยู่ในลิสต์ของเราเลย แต่ด้วยความรู้สึกว่าประเทศอื่นเช่นอิตาลี ฝรั่งเศส อะไรพวกนี้คนก็รู้จักกันดีอยู่แล้ว ไปมากันเยอะแล้ว แถมรีวิวก็เยอะอีกต่างหาก เราขอไปที่ใหม่ๆ บ้างเถอะ
**การจะเข้าประเทศ Croatia ได้ต้องมี Schengen Visa ที่ยังไม่หมดอายุนะคะ และถึงแม้ว่าประเทศนี้จะเข้าร่วมในกลุ่มสมาชิก EU แล้ว แต่ค่าเงินที่ใช้ยังเป็น Croatian Kuna อยู่ค่ะ (แต่ในเมืองท่องเที่ยวบางร้านก็รับเงินยูโรนะ)** จริงๆ แล้วเราคิดว่าน่าจะมีคนบางส่วนเริ่มรู้จักเมืองนี้มากขึ้นจากซีรี่ย์ชื่อดังอย่าง Game of Thrones เพราะว่าเมืองนี้เป็นสถานที่ถ่ายทำหลักๆ ของหนังเรื่องนี้นั่นเองค่ะ เพราะฉะนั้นก็จะมีทัวร์ Game of Thrones ที่พาไปดูตามจุดถ่ายทำต่างๆ สำหรับใครที่อินมากๆ ก็ลองไปดู แต่เราไม่เคยดูก็เลยไม่อิน
เราไปถึง Dubrovnik ประมาณ 2 ทุ่มกว่าแต่ท้องฟ้ายังสว่างค่ะ เพราะช่วงซัมเมอร์ที่เมืองนอกกว่าพระอาทิตย์จะตกก็ประมาณ 2-3 ทุ่ม บางทีเกือบ 4 ทุ่มก็ยังสว่างอยู่เลย สนามบินที่นี่ไม่ใหญ่มาก ตอนเราไปถึงมีตม.แค่ 2 เคาเตอร์ แต่ก็ผ่านไปไวมากค่ะเจ้าหน้าที่ไม่ได้ถามอะไร แล้วเราก็ไปรับกระเป๋าได้เลย การเดินทางจากสนามบินเข้ามาในเมืองวิธีที่ง่ายที่สุดคือ Airport shuttle bus เมื่อเดินออกมาจากที่รับกระเป๋าแล้วให้เดินไปฝั่งขวา จะเจอเคาเตอร์ขายตั๋วบัสที่ชื่อว่า ATLAS เราก็ไปซื้อตั๋วในราคา 40kn แล้วรอไปขึ้นบัสที่ประตูทางออก ไม่หลงแน่นอนเพราะมีคนเดินไปทางเดียวกับเราหลายคนอยู่ หรือไม่ก็ถามเจ้าหน้าที่ดูได้ค่ะ แต่ต้องบอกก่อนว่าคนเมืองนี้ไม่ได้พูดจาดีมากนะคะ อย่าคาดหวังอะไรมาก บางทีทำหน้าดุๆ หรือเหวี่ยงใส่เราก็มีค่ะ (เราไม่โดนนะแต่คนอื่นโดนคนขับรถบัสเหวี่ยงนิดหน่อย)
บัสจะออกเป็นเวลา แต่ถ้าพลาดไปก็ไม่ต้องห่วง เพราะคันถัดไปก็ตามมาเป็นระยะอยู่แล้ว ระยะทางกว่าจะเข้าไปถึง Old Town ไกลพอสมควร นั่งรถประมาณ 20 นาที ระหว่างทางก็จะเป็นเขา ถ้าใครอยากเห็นวิวดีหน่อยแนะนำให้นั่งฝั่งซ้ายค่ะ ก็จะได้วิวผา วิวทะเล แต่ก็ไม่ต้องซีเรียสมากค่อยไปดื่มด่ำกันต่อในเมือง เราไปถึงในเมืองประมาณ 3 ทุ่มกว่า แต่สิ่งที่เราแปลกใจคือคนยังเยอะมาก ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยว จากข้อมูลที่เราหามาคือเมืองนี้ไม่ค่อยมีคนในท้องที่อาศัยอยู่เยอะเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เพราะเริ่มกลายเป็นเมืองท่องเที่ยว จึงทำให้คนในพื้นที่ขายที่พักให้นักลงทุนเข้ามาทำธุรกิจแล้วก็ย้ายไปอยู่เมืองอื่นแทน แต่ต้องยอมรับว่านักท่องเที่ยวเยอะมาก พอเข้าไปในเขต Old Town ร้านขายของต่างๆ ก็ยังเปิดอยู่ครบซึ่งนี่ถือเป็นเรื่องผิดปกติของยุโรปเลยนะ เพราะปกติที่ประเทศอื่นร้านขายของทั่วไปทุ่มสองทุ่มก็เริ่มปิดกันแล้วค่ะ (ไม่รวมร้านอาหารนะ) ไม่ค่อยเปิดดึกเหมือนเอเชียบ้านเรา เราเลยมีเวลาเอาของไปเก็บที่โฮสเทล แล้วออกมาเดินเล่นหาอะไรกินนิดหน่อยก่อนกลับไปพัก
เช้าวันถัดมาเราตื่นแต่เช้าเพราะตั้งใจจะไปเดินบน City wall ที่เค้าเปิดตั้งแต่ 8 โมง ค่าเข้าอยู่ที่ 150kn ถือว่าแพงอยู่ แต่วิวที่ได้เห็นก็ถือว่าคุ้มค่ะ เหตุผลที่ต้องไปเช้าเพราะเราเป็นคนที่ชอบถ่ายรูปมาก และไม่อยากถ่ายออกมาให้ติดคนเยอะ
ถ้าเดินทะลุประตูนี้ไปจะเป็น Old Port หรือจุดขึ้นเรือสำหรับคนที่อยากไป 3 islands day tour โดยเรือจะออกประมาณ 9.30 แล้วพาไปยังเกาะต่างๆ ก่อนกลับมาที่ท่าเรือเดิมตอนช่วงเย็นค่ะ
การเดินบนกำแพงเมืองนั้นต้องบอกเลยว่าร้อนมากๆ แม้ว่าเราจะไปตั้งแต่เช้าแต่แดดเมืองนอกนั้นก็แรงพอๆ กับแดดที่ไทยเลยค่ะ เผลอๆ แรงกว่าอีก เพราะฉันนั้นสิ่งที่เราแนะนำคือ ทาครีมกันแดด เตรียมหมวก และแว่นกันแดดไปจะดีที่สุด อ้อ อย่าลืมเตรียมน้ำขึ้นไปดื่มด้วยนะ เพราะกว่าจะเดินครบก็เป็นระยะทางประมาณ 2 km. ถ้านับเวลาก็ชั่วโมงกว่าๆ ค่ะ (เราแวะถ่ายรูปค่อนข้างบ่อยพอสมควร) วิวข้างบนทำให้มองเห็นทั่วทั้งเมือง สำหรับเราแล้วเราชอบมากนะ ชอบสีที่ตัดกับระหว่างท้องฟ้าที่สีสวยมาก กับหลังคาบ้านสีแดงในเมือง มองไปทางไหนก็สวยไปหมด อยากจะเตือนนิดหน่อยว่าด้านบนกำแพงจะเป็นหิน พื้นบางจุดค่อนข้างลื่น ใส่รองเท้าดีๆ ไปเดินก็ดีนะคะจะได้สบาย
เมื่อลงมาจากกำแพง อากาศเริ่มร้อนขึ้นทุกทีประมาณ 31°C แต่เราก็ไปต่อที่ Sv. Jakov Beach ซึ่งเป็นหาดที่ไม่ได้รับความนิยมเท่ากับหาดดังอย่าง Banje Beach แต่คนในท้องที่ยืนยันว่าสวยกว่าค่ะ แต่ใช้เวลาเดินทางไปไกลกว่าพอสมควร เราเป็นคนเดินไวแต่ก็ใช้เวลาเดินไปประมาณ 20 นาที ขึ้นเนินด้วย เหนื่อย และร้อนแต่ถ้าเทียบกับการที่ไม่ต้องไปเบียดกับคนเยอะๆ ที่ Banje Beach เราว่ามันคุ้มมากเลย เราใช้เวลาอยู่ที่หาดประมาณ 2-3 ชั่วโมง ไม่ได้ลงไปนอนอาบแดดแต่ไปนั่งรับลม แล้วก็พักทานข้าวที่ร้านอาหาร บรรยากาศดี คนไม่พลุกพล่านถือว่าผ่านเลยค่ะ
ฺBanje Beach ที่นี่เป็นหาดดังประจำเมือง ใช้เวลาเดินประมาณ 10 นาที แต่คนเป็นแสนค่าาา
Sv. Jakov เป็น local beach เดินไกลกว่า เล็กกว่า แต่ไม่ต้องเบียดกับคนอื่นมาก ถ้าชอบความสงบ แนะนำที่นี่ค่ะ
ทะเลที่นี่น้ำใสมาก แต่เป็นหาดหินไม่ใช่หาดทราย เล่นน้ำไม่สนุกแต่ก็ได้บรรยากาศอีกแบบดีนะ
พอตกเย็นมาเราก็เตรียมไปดูพระอาทิตย์ตกบนจุดชมวิวบนเขาที่สามารถขึ้นไปได้สองวิธีคือ cable car ในราคาไปกลับ 140 kn ถ้าซื้อทีละขาจะตกอยู่ที่ 85kn เพราะฉะนั้นถ้าใครมั่นใจว่ายังไงก็นั่งกระเช้าแน่ๆ ก็ซื้อไปกลับเลยค่ะถูกกว่าพอสมควร แต่สำหรับบางคนที่อยากลองเดินขึ้นเขา แล้วฟิตร่างกายมาอย่างดีก็เดินได้นะ ใช้เวลาประมาณ 45 นาที แต่เราไปประมาณ 6 โมงกว่าแล้ว กลัวไม่ทันตอนพระอาทิตย์ตกเลยขึ้นกระเช้าไปเลย (จริงๆ ขี้เกียจ 55555) สำหรับเราที่ชอบธรรมชาติมากๆ วิวด้านบนที่เห็นคือคุ้มมากกก ข้างบนเราสามารถมองเห็นตัวเมืองด้านล่าง เห็นทะเลตัดกับเส้นขอบฟ้า สวยจนไม่รู้จะบรรยายยังไง ถ่ายรูปมาก็ไม่สวยเท่าที่ตาเห็นอยู่ดี
วันที่เราไปเป็นสองคืนก่อนพระจันทร์เต็มดวง สวยมาก
วันต่อมา highlight ประจำวันนี้ของเราคือรอไปพายคายักตอนเย็น ตอนเช้าเลยไม่ได้มีโปรแกรมน่าตื่นเต้นอะไรมาก แต่ออกไปเดินเล่นในจุดที่ยังไม่ได้ไป แล้วเก็บแรงไว้พายเรือตอนเย็น ที่แรกที่ไปคือ Old Port แม้เราจะออกไปเช้าประมาณ 9 โมงกว่า แต่ก็เริ่มมีคนไปรอขึ้นเรือกันเยอะแล้ว
เอาล่ะ มาถึงความพิเศษของทริปเรา นี่เป็นการพายคายักครั้งแรกของเรา แต่ก็อยากลองดูเพราะมาทั้งทีจะให้อยู่แต่ในเมืองก็น่าเบื่อ การพายคายักจะมีเป็นทัวร์พาไปรอบ Lokrum Island ระยะทาง 8km. ราคาของทัวร์จะอยู่ที่ 250kn หากคิดเป็นเงินไทยก็ค่อนข้างแพง แต่ยังไงก็ต้องลองนะ ทัวร์จะมีเวลาให้เลือกว่าอยากไปช่วงไหนแต่ต้องแล้วแต่ช่วง เช่นช่วงนี้เป็นซัมเมอร์ คนเยอะตารางช่วงเช้ากับบ่ายก็อาจจะเต็มเพราะราคาถูกกว่านิดหน่อย แต่ไม่ต้องนอยด์เพราะจริงๆ ถึงจะพายช่วงเช้า (เริ่มตั้งแต่ 10โมงเช้า) อากาศก็ร้อนอยู่ดี เราเลือกช่วงเย็นดีกว่าเพราะจะได้ดูตอนพระอาทิตย์ตก และอากาศก็ไม่ร้อนเท่าตอนบ่ายด้วย ใครที่มาคนเดียวไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีคู่นะคะ เพราะไกด์จะพยายามหาคู่ให้เราค่ะ มีถังกันน้ำใบใหญ่ไว้ให้สำหรับใส่กระเป๋า และของที่เราอยากจะเอาไปเล่นน้ำ (มีจอดแวะให้เล่นน้ำที่หาด) และใบเล็กสำหรับใส่โทรศัพท์หรือกล้องสำหรับคนที่อยากถ่ายภาพระหว่างทาง แต่เอาจริงๆ ไม่ได้หยิบมาถ่ายบ่อยมากเพราะการพายคายักนี่ทำให้เปียกปอนพอสมควรเลย 5555
Lokrum Island (โลครุม) ความพิเศษอยู่ตรงที่บนเกาะนี้มีพืชกว่า 500 ชนิด และเป็นเกาะเดียวที่ไม่อนุญาตให้มีการพักอาศัยค้างคืน มีแต่เจ้าหน้าที่ดับเพลิง 2 คนนอนเฝ้าเกาะ แต่ระหว่างวันนักท่องเที่ยวสามารถขึ้นเรือมาเล่นน้ำที่เกาะได้ค่ะ
วิวดีมากกก โรแมนติกมาก ถ้าได้มากับคนรักคือดี หายเหนื่อยเลย
สรุป
- ถ้าชอบดูวิวธรรมชาติ คือควรไป
- ในเมืองไม่มีอะไรมาก ไม่มีที่ช็อปปิ้งนอกจากร้านของฝาก
- นักท่องเที่ยวเยอะมาก
- ถ้าจะมาเที่ยวยุโรปตอนใต้อยู่แล้ว ควรแวะมาค่ะ
ฝากเพจอีกทีนะคะ
https://www.facebook.com/semispace/
Dubrovnik, Croatia ทะเลยุโรป ไปแบบไม่ได้ตั้งใจ แต่ติดใจที่สุด!!!
ช่วยเข้าไปไลค์เพจเป็นกำลังใจให้เราด้วยนะ https://www.facebook.com/semispace/
เกริ่นแล้ว ขายของแล้ว ไปเริ่มกันเลยดีกว่า!
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าเราเป็นผู้หญิงค่ะ และทริปนี้เราเดินทางคนเดียว เริ่มต้นการเดินทางจากลอนดอน ทริปนี้ค่อนข้างปุบปับไม่ได้มีการแพลนอะไรไว้ เราจองตั๋วเครื่องบินและที่พัก 5 วันก่อนการเดินทางแล้วก็แพ็คกระเป๋ารอไปเลยค่ะ ราคาตั๋วเครื่องบินไม่ได้ถูกมาก แต่มีบินตรงจาก London Gatwick Airport ไป Dubrovnik Airport ในราคาประมาณ 15,000 บาท เราเลยตัดสินใจจองเลย ที่พักเราเลือกพักที่ hostel ค่ะ เพราะสำหรับเราแล้วเรื่องที่พักไม่ใช่เรื่องใหญ่เน้นออกไปข้างนอกเพื่อเที่ยวมากกว่า (แต่ที่เมืองนี้โฮสเทลไม่ได้ราคาถูกมากนะคะ) อาหารการกินไม่ได้ประหยัดมาก อยากลองทานอะไรใหม่ๆ ก็ลองเลย เน้นเที่ยวเต็มที่ ไม่ประหยัดมากไปจนหมดสนุก
- ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ แต่ไม่ถึงขั้นระแวง ต้องรอบคอบ และมีสติตลอดเวลาแล้วก็พยายามอย่าพาตัวเองไปในที่ที่เสี่ยงมากจนเกินไป
- การเตรียมตัว ต้องเตรียมไปให้พร้อม ไม่ว่าจะเป็นของใช้ส่วนตัว หรือเอกสารต่างๆ ยังไงเหลือก็ดีกว่าขาด
- ศึกษาข้อมูลของเมืองที่จะไป เช่น ภาษา, วัฒนธรรม, สกุลเงิน, แลนด์มาร์คที่ควรไป
- หากอยากให้การเที่ยวของเราพิเศษอีกหน่อย ก็ลองไปที่ที่คนยังไม่ค่อยไปกันดูบ้าง เพื่อเป็นการเปิดประสบการณ์ และเมื่อมาเล่าให้คนอื่นฟัง จะได้น่าสนใจ และน่าตื่นเต้นกว่าที่อื่นๆ ที่คนไปกันเยอะ
Dubrovnik (ดูบรอฟนิก) เป็นเมืองติดทะเลฝั่งตะวันตกของประเทศ Croatia สารภาพตามตรงว่าเกิดมาเราไม่เคยได้ยินชื่อเมืองนี้มาก่อนเลย และ Croatia ก็ไม่เคยอยู่ในลิสต์ของเราเลย แต่ด้วยความรู้สึกว่าประเทศอื่นเช่นอิตาลี ฝรั่งเศส อะไรพวกนี้คนก็รู้จักกันดีอยู่แล้ว ไปมากันเยอะแล้ว แถมรีวิวก็เยอะอีกต่างหาก เราขอไปที่ใหม่ๆ บ้างเถอะ **การจะเข้าประเทศ Croatia ได้ต้องมี Schengen Visa ที่ยังไม่หมดอายุนะคะ และถึงแม้ว่าประเทศนี้จะเข้าร่วมในกลุ่มสมาชิก EU แล้ว แต่ค่าเงินที่ใช้ยังเป็น Croatian Kuna อยู่ค่ะ (แต่ในเมืองท่องเที่ยวบางร้านก็รับเงินยูโรนะ)** จริงๆ แล้วเราคิดว่าน่าจะมีคนบางส่วนเริ่มรู้จักเมืองนี้มากขึ้นจากซีรี่ย์ชื่อดังอย่าง Game of Thrones เพราะว่าเมืองนี้เป็นสถานที่ถ่ายทำหลักๆ ของหนังเรื่องนี้นั่นเองค่ะ เพราะฉะนั้นก็จะมีทัวร์ Game of Thrones ที่พาไปดูตามจุดถ่ายทำต่างๆ สำหรับใครที่อินมากๆ ก็ลองไปดู แต่เราไม่เคยดูก็เลยไม่อิน
เราไปถึง Dubrovnik ประมาณ 2 ทุ่มกว่าแต่ท้องฟ้ายังสว่างค่ะ เพราะช่วงซัมเมอร์ที่เมืองนอกกว่าพระอาทิตย์จะตกก็ประมาณ 2-3 ทุ่ม บางทีเกือบ 4 ทุ่มก็ยังสว่างอยู่เลย สนามบินที่นี่ไม่ใหญ่มาก ตอนเราไปถึงมีตม.แค่ 2 เคาเตอร์ แต่ก็ผ่านไปไวมากค่ะเจ้าหน้าที่ไม่ได้ถามอะไร แล้วเราก็ไปรับกระเป๋าได้เลย การเดินทางจากสนามบินเข้ามาในเมืองวิธีที่ง่ายที่สุดคือ Airport shuttle bus เมื่อเดินออกมาจากที่รับกระเป๋าแล้วให้เดินไปฝั่งขวา จะเจอเคาเตอร์ขายตั๋วบัสที่ชื่อว่า ATLAS เราก็ไปซื้อตั๋วในราคา 40kn แล้วรอไปขึ้นบัสที่ประตูทางออก ไม่หลงแน่นอนเพราะมีคนเดินไปทางเดียวกับเราหลายคนอยู่ หรือไม่ก็ถามเจ้าหน้าที่ดูได้ค่ะ แต่ต้องบอกก่อนว่าคนเมืองนี้ไม่ได้พูดจาดีมากนะคะ อย่าคาดหวังอะไรมาก บางทีทำหน้าดุๆ หรือเหวี่ยงใส่เราก็มีค่ะ (เราไม่โดนนะแต่คนอื่นโดนคนขับรถบัสเหวี่ยงนิดหน่อย)
บัสจะออกเป็นเวลา แต่ถ้าพลาดไปก็ไม่ต้องห่วง เพราะคันถัดไปก็ตามมาเป็นระยะอยู่แล้ว ระยะทางกว่าจะเข้าไปถึง Old Town ไกลพอสมควร นั่งรถประมาณ 20 นาที ระหว่างทางก็จะเป็นเขา ถ้าใครอยากเห็นวิวดีหน่อยแนะนำให้นั่งฝั่งซ้ายค่ะ ก็จะได้วิวผา วิวทะเล แต่ก็ไม่ต้องซีเรียสมากค่อยไปดื่มด่ำกันต่อในเมือง เราไปถึงในเมืองประมาณ 3 ทุ่มกว่า แต่สิ่งที่เราแปลกใจคือคนยังเยอะมาก ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยว จากข้อมูลที่เราหามาคือเมืองนี้ไม่ค่อยมีคนในท้องที่อาศัยอยู่เยอะเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เพราะเริ่มกลายเป็นเมืองท่องเที่ยว จึงทำให้คนในพื้นที่ขายที่พักให้นักลงทุนเข้ามาทำธุรกิจแล้วก็ย้ายไปอยู่เมืองอื่นแทน แต่ต้องยอมรับว่านักท่องเที่ยวเยอะมาก พอเข้าไปในเขต Old Town ร้านขายของต่างๆ ก็ยังเปิดอยู่ครบซึ่งนี่ถือเป็นเรื่องผิดปกติของยุโรปเลยนะ เพราะปกติที่ประเทศอื่นร้านขายของทั่วไปทุ่มสองทุ่มก็เริ่มปิดกันแล้วค่ะ (ไม่รวมร้านอาหารนะ) ไม่ค่อยเปิดดึกเหมือนเอเชียบ้านเรา เราเลยมีเวลาเอาของไปเก็บที่โฮสเทล แล้วออกมาเดินเล่นหาอะไรกินนิดหน่อยก่อนกลับไปพัก
เช้าวันถัดมาเราตื่นแต่เช้าเพราะตั้งใจจะไปเดินบน City wall ที่เค้าเปิดตั้งแต่ 8 โมง ค่าเข้าอยู่ที่ 150kn ถือว่าแพงอยู่ แต่วิวที่ได้เห็นก็ถือว่าคุ้มค่ะ เหตุผลที่ต้องไปเช้าเพราะเราเป็นคนที่ชอบถ่ายรูปมาก และไม่อยากถ่ายออกมาให้ติดคนเยอะ
ถ้าเดินทะลุประตูนี้ไปจะเป็น Old Port หรือจุดขึ้นเรือสำหรับคนที่อยากไป 3 islands day tour โดยเรือจะออกประมาณ 9.30 แล้วพาไปยังเกาะต่างๆ ก่อนกลับมาที่ท่าเรือเดิมตอนช่วงเย็นค่ะ
การเดินบนกำแพงเมืองนั้นต้องบอกเลยว่าร้อนมากๆ แม้ว่าเราจะไปตั้งแต่เช้าแต่แดดเมืองนอกนั้นก็แรงพอๆ กับแดดที่ไทยเลยค่ะ เผลอๆ แรงกว่าอีก เพราะฉันนั้นสิ่งที่เราแนะนำคือ ทาครีมกันแดด เตรียมหมวก และแว่นกันแดดไปจะดีที่สุด อ้อ อย่าลืมเตรียมน้ำขึ้นไปดื่มด้วยนะ เพราะกว่าจะเดินครบก็เป็นระยะทางประมาณ 2 km. ถ้านับเวลาก็ชั่วโมงกว่าๆ ค่ะ (เราแวะถ่ายรูปค่อนข้างบ่อยพอสมควร) วิวข้างบนทำให้มองเห็นทั่วทั้งเมือง สำหรับเราแล้วเราชอบมากนะ ชอบสีที่ตัดกับระหว่างท้องฟ้าที่สีสวยมาก กับหลังคาบ้านสีแดงในเมือง มองไปทางไหนก็สวยไปหมด อยากจะเตือนนิดหน่อยว่าด้านบนกำแพงจะเป็นหิน พื้นบางจุดค่อนข้างลื่น ใส่รองเท้าดีๆ ไปเดินก็ดีนะคะจะได้สบาย
เมื่อลงมาจากกำแพง อากาศเริ่มร้อนขึ้นทุกทีประมาณ 31°C แต่เราก็ไปต่อที่ Sv. Jakov Beach ซึ่งเป็นหาดที่ไม่ได้รับความนิยมเท่ากับหาดดังอย่าง Banje Beach แต่คนในท้องที่ยืนยันว่าสวยกว่าค่ะ แต่ใช้เวลาเดินทางไปไกลกว่าพอสมควร เราเป็นคนเดินไวแต่ก็ใช้เวลาเดินไปประมาณ 20 นาที ขึ้นเนินด้วย เหนื่อย และร้อนแต่ถ้าเทียบกับการที่ไม่ต้องไปเบียดกับคนเยอะๆ ที่ Banje Beach เราว่ามันคุ้มมากเลย เราใช้เวลาอยู่ที่หาดประมาณ 2-3 ชั่วโมง ไม่ได้ลงไปนอนอาบแดดแต่ไปนั่งรับลม แล้วก็พักทานข้าวที่ร้านอาหาร บรรยากาศดี คนไม่พลุกพล่านถือว่าผ่านเลยค่ะ
ฺBanje Beach ที่นี่เป็นหาดดังประจำเมือง ใช้เวลาเดินประมาณ 10 นาที แต่คนเป็นแสนค่าาา
Sv. Jakov เป็น local beach เดินไกลกว่า เล็กกว่า แต่ไม่ต้องเบียดกับคนอื่นมาก ถ้าชอบความสงบ แนะนำที่นี่ค่ะ
ทะเลที่นี่น้ำใสมาก แต่เป็นหาดหินไม่ใช่หาดทราย เล่นน้ำไม่สนุกแต่ก็ได้บรรยากาศอีกแบบดีนะ
พอตกเย็นมาเราก็เตรียมไปดูพระอาทิตย์ตกบนจุดชมวิวบนเขาที่สามารถขึ้นไปได้สองวิธีคือ cable car ในราคาไปกลับ 140 kn ถ้าซื้อทีละขาจะตกอยู่ที่ 85kn เพราะฉะนั้นถ้าใครมั่นใจว่ายังไงก็นั่งกระเช้าแน่ๆ ก็ซื้อไปกลับเลยค่ะถูกกว่าพอสมควร แต่สำหรับบางคนที่อยากลองเดินขึ้นเขา แล้วฟิตร่างกายมาอย่างดีก็เดินได้นะ ใช้เวลาประมาณ 45 นาที แต่เราไปประมาณ 6 โมงกว่าแล้ว กลัวไม่ทันตอนพระอาทิตย์ตกเลยขึ้นกระเช้าไปเลย (จริงๆ ขี้เกียจ 55555) สำหรับเราที่ชอบธรรมชาติมากๆ วิวด้านบนที่เห็นคือคุ้มมากกก ข้างบนเราสามารถมองเห็นตัวเมืองด้านล่าง เห็นทะเลตัดกับเส้นขอบฟ้า สวยจนไม่รู้จะบรรยายยังไง ถ่ายรูปมาก็ไม่สวยเท่าที่ตาเห็นอยู่ดี
วันที่เราไปเป็นสองคืนก่อนพระจันทร์เต็มดวง สวยมาก
วันต่อมา highlight ประจำวันนี้ของเราคือรอไปพายคายักตอนเย็น ตอนเช้าเลยไม่ได้มีโปรแกรมน่าตื่นเต้นอะไรมาก แต่ออกไปเดินเล่นในจุดที่ยังไม่ได้ไป แล้วเก็บแรงไว้พายเรือตอนเย็น ที่แรกที่ไปคือ Old Port แม้เราจะออกไปเช้าประมาณ 9 โมงกว่า แต่ก็เริ่มมีคนไปรอขึ้นเรือกันเยอะแล้ว
เอาล่ะ มาถึงความพิเศษของทริปเรา นี่เป็นการพายคายักครั้งแรกของเรา แต่ก็อยากลองดูเพราะมาทั้งทีจะให้อยู่แต่ในเมืองก็น่าเบื่อ การพายคายักจะมีเป็นทัวร์พาไปรอบ Lokrum Island ระยะทาง 8km. ราคาของทัวร์จะอยู่ที่ 250kn หากคิดเป็นเงินไทยก็ค่อนข้างแพง แต่ยังไงก็ต้องลองนะ ทัวร์จะมีเวลาให้เลือกว่าอยากไปช่วงไหนแต่ต้องแล้วแต่ช่วง เช่นช่วงนี้เป็นซัมเมอร์ คนเยอะตารางช่วงเช้ากับบ่ายก็อาจจะเต็มเพราะราคาถูกกว่านิดหน่อย แต่ไม่ต้องนอยด์เพราะจริงๆ ถึงจะพายช่วงเช้า (เริ่มตั้งแต่ 10โมงเช้า) อากาศก็ร้อนอยู่ดี เราเลือกช่วงเย็นดีกว่าเพราะจะได้ดูตอนพระอาทิตย์ตก และอากาศก็ไม่ร้อนเท่าตอนบ่ายด้วย ใครที่มาคนเดียวไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีคู่นะคะ เพราะไกด์จะพยายามหาคู่ให้เราค่ะ มีถังกันน้ำใบใหญ่ไว้ให้สำหรับใส่กระเป๋า และของที่เราอยากจะเอาไปเล่นน้ำ (มีจอดแวะให้เล่นน้ำที่หาด) และใบเล็กสำหรับใส่โทรศัพท์หรือกล้องสำหรับคนที่อยากถ่ายภาพระหว่างทาง แต่เอาจริงๆ ไม่ได้หยิบมาถ่ายบ่อยมากเพราะการพายคายักนี่ทำให้เปียกปอนพอสมควรเลย 5555
Lokrum Island (โลครุม) ความพิเศษอยู่ตรงที่บนเกาะนี้มีพืชกว่า 500 ชนิด และเป็นเกาะเดียวที่ไม่อนุญาตให้มีการพักอาศัยค้างคืน มีแต่เจ้าหน้าที่ดับเพลิง 2 คนนอนเฝ้าเกาะ แต่ระหว่างวันนักท่องเที่ยวสามารถขึ้นเรือมาเล่นน้ำที่เกาะได้ค่ะ
วิวดีมากกก โรแมนติกมาก ถ้าได้มากับคนรักคือดี หายเหนื่อยเลย
- ถ้าชอบดูวิวธรรมชาติ คือควรไป
- ในเมืองไม่มีอะไรมาก ไม่มีที่ช็อปปิ้งนอกจากร้านของฝาก
- นักท่องเที่ยวเยอะมาก
- ถ้าจะมาเที่ยวยุโรปตอนใต้อยู่แล้ว ควรแวะมาค่ะ
ฝากเพจอีกทีนะคะ https://www.facebook.com/semispace/