วันเข้าพรรษาต้นแบบสร้างความปรองดองสังคมไทยอย่างไร
สำราญ สมพงษ์ นิสิตปริญญาเอก สาขาสันติศึกษา มจร รายงาน
เมื่อทุกท่านทำบุญครบทั้ง ทาน ศีล สมาธิและปัญญา ความปรองดองก็เกิดแล้ว และเกิดนานเท่าใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าจะรักษาความปรองดองไว้ได้นานเท่าใด ไม่ใช่ออกนอกวัดก็แบ่งฝ่ายกันอยู่เหมือนเดิม
ที่นี้ตัวอย่างของพระภิกษุและสามเณรที่เป็นต้นแบบของ
การสร้างความปรองดองก็อยู่ตรงที่การแสดงสามีจิกรรมโดยกล่าวคำขอขมาเป็นภาษาบาลีพร้อมกันหลายคนว่า
ผู้ขอ เถเร ปะมาเทนะ ทะวารัตตะเยนะ กะตัง, สัพพัง อะปะราธัง ขะมะตุ โน ภันเต. (3 หน)
แปลความว่า ท่านพระเถระ ความผิดพลาดที่ได้กระทำด้วยความประมาททั้งทวารทั้ง 3 คือกาย วาจา ใจ ขอท่านจงยกโทษหรือให้อภัยแต่
ความผิดพลาดทั้งปวงนั้นแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายด้วยเถิด
ผู้รับ อะหัง ขะมามิ ตุมเหหิปิ เม ขะมิตัพพัง.
แปลความว่า เรายกโทษหรือให้อภัยแก่พวกท่านทั้งหลายและพวกท่านทั้งหลายก็ยกโทษหรือให้อภัยแก่เราด้วย
ผู้ขอ ขะมามะ ภันเต แปลความว่า ขอรับ พวกข้าพเจ้าทั้งหลายยกโทษหรือให้อภัย
นี้เท่ากับการแสดงความอโหสิกรรมหรืออภัยทานของพระภิกษุและสามเณร เท่ากับว่าพระภิกษุและสามเณรได้ให้ทานในข้ออภัยทาน ส่วนญาติโยมทั้งหลายได้ทานข้อวัตถุทาน และสามารถเอาตัวอย่างข็องพระภิกษุและสามเณรไปทำกับบุคคลที่เคยมีเรื่องทะเลาะ ความเห็นไม่ลงรอยกันบ้างก็ให้อภัยทานกัน ก็เชื่อแน่ว่าสังคมไทยจะเกิดความปรองดองสมานฉันท์โดยยกเอาวันเข้าพรรษานี้เป็นตัวอย่าง
ท่านทั้งหลาย ประเพณีของพระภิกษุได้แสดงถึงว่า ท้ายที่สุดของการอยู่ร่วมกันที่ต้องมีปัญหากระทบกระทั่งกัน แต่สุดท้ายก็ยังสามารถขอขมาลาโทษได้ สมแล้วที่ประเพณีเราเหล่าฆราวาสก็สามมารถนำมาใช้ในสภาพบ้านเมืองเช่นนี้ได้
อ่านเพิ่มเติมเนื้อหาได้ที่ :
http://www.banmuang.co.th/news/education/85142#.WWH1t9WXuy0.twitter
วันเข้าพรรษาต้นแบบสร้างปรองดองในสังคมไทย??
เมื่อทุกท่านทำบุญครบทั้ง ทาน ศีล สมาธิและปัญญา ความปรองดองก็เกิดแล้ว และเกิดนานเท่าใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าจะรักษาความปรองดองไว้ได้นานเท่าใด ไม่ใช่ออกนอกวัดก็แบ่งฝ่ายกันอยู่เหมือนเดิม
ที่นี้ตัวอย่างของพระภิกษุและสามเณรที่เป็นต้นแบบของการสร้างความปรองดองก็อยู่ตรงที่การแสดงสามีจิกรรมโดยกล่าวคำขอขมาเป็นภาษาบาลีพร้อมกันหลายคนว่า
ผู้ขอ เถเร ปะมาเทนะ ทะวารัตตะเยนะ กะตัง, สัพพัง อะปะราธัง ขะมะตุ โน ภันเต. (3 หน)
แปลความว่า ท่านพระเถระ ความผิดพลาดที่ได้กระทำด้วยความประมาททั้งทวารทั้ง 3 คือกาย วาจา ใจ ขอท่านจงยกโทษหรือให้อภัยแต่
ความผิดพลาดทั้งปวงนั้นแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายด้วยเถิด
ผู้รับ อะหัง ขะมามิ ตุมเหหิปิ เม ขะมิตัพพัง.
แปลความว่า เรายกโทษหรือให้อภัยแก่พวกท่านทั้งหลายและพวกท่านทั้งหลายก็ยกโทษหรือให้อภัยแก่เราด้วย
ผู้ขอ ขะมามะ ภันเต แปลความว่า ขอรับ พวกข้าพเจ้าทั้งหลายยกโทษหรือให้อภัย
นี้เท่ากับการแสดงความอโหสิกรรมหรืออภัยทานของพระภิกษุและสามเณร เท่ากับว่าพระภิกษุและสามเณรได้ให้ทานในข้ออภัยทาน ส่วนญาติโยมทั้งหลายได้ทานข้อวัตถุทาน และสามารถเอาตัวอย่างข็องพระภิกษุและสามเณรไปทำกับบุคคลที่เคยมีเรื่องทะเลาะ ความเห็นไม่ลงรอยกันบ้างก็ให้อภัยทานกัน ก็เชื่อแน่ว่าสังคมไทยจะเกิดความปรองดองสมานฉันท์โดยยกเอาวันเข้าพรรษานี้เป็นตัวอย่าง
ท่านทั้งหลาย ประเพณีของพระภิกษุได้แสดงถึงว่า ท้ายที่สุดของการอยู่ร่วมกันที่ต้องมีปัญหากระทบกระทั่งกัน แต่สุดท้ายก็ยังสามารถขอขมาลาโทษได้ สมแล้วที่ประเพณีเราเหล่าฆราวาสก็สามมารถนำมาใช้ในสภาพบ้านเมืองเช่นนี้ได้
อ่านเพิ่มเติมเนื้อหาได้ที่ : http://www.banmuang.co.th/news/education/85142#.WWH1t9WXuy0.twitter