ห้องเพลง**คนรากหญ้า** พักยกการเมือง มุมนี้ไม่มีสี ไม่มีกลุ่ม...มีแต่เสียง 9/7/2017 (วันเข้าพรรษา-ปุริมพรรษา ปัจฉิมพรรษา)

กระทู้คำถาม



พลุ MC นู๋สร้างชาติ รับหน้าที่ค่ะพลุ







วันนี้เป็นวันเข้าพรรษา ใครไปวัด ไปทำบุญ ก็ขออนโมทนาสาธุด้วยค่ะ

ประวัติวันเข้าพรรษา

           เมื่อครั้งที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ ณ วัด เวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ มีเหตุการณ์เกิดขึ้นคือ พวกชาวบ้าน กลุ่มหนึ่งพากันกล่าวตำหนิพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาว่า ช่างไม่รู้จักกาลเวลาเสียเลยพากันจาริกไปเรื่อยๆ ไม่หยุดยั้งแม้ในระหว่างฤดูฝนบางครั้งก็ไปเหยียบข้าวกล้าของชาวนาเสียหาย ขณะที่พวกนิครนถ์ นักบวชในศาสนาอื่นและฝูงนกยังหยุดพักผ่อนไม่ท่องเที่ยงไปในฤดูฝนเช่นนี้ เรื่องนี้ทราบถึงพระพุทธเจ้าในกาลต่อมา พระองค์จึงทรงรับสั่งให้พระสงฆ์ประชุมพร้อมกันตรัสถามจนได้ความเป็นจริงแล้วจึงทรงบัญญัติเรื่องการเข้าพรรษาไว้ว่า

           อนุชานามิ ภิกขะเว อุปะคันตุง    แปลว่า  "ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้พวกเธออยู่จำพรรษา"



เรื่องราวเกี่ยวกับการเข้าพรรษา หลายๆ ท่านก็ทราบกันดี แต่บางท่านอาจยังไม่เคยได้ยินคำว่า "ปุริมพรรษา ปัจฉิมพรรษา" วันนี้มีคำตอบค่ะ

ประเภทของการเข้าพรรษาของพระสงฆ์

“เข้าพรรษา” แปลว่า “พักฝน” หมายถึง พระภิกษุสงฆ์ต้องอยู่ประจำ ณ วัดใดวัดหนึ่งระหว่างฤดูฝน แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ

    1. ปุริมพรรษา (เขียนอีกอย่างว่า บุริมพรรษา) คือ การเข้าพรรษาแรก เริ่มตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 (สำหรับปีอธิกมาส คือ มีเดือน 8 สองหน จะเริ่มในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 หลัง) จนถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 หลังจากออกพรรษาแล้ว พระที่อยู่จำพรรษาครบ 3 เดือน ก็มีสิทธิที่จะรับกฐินซึ่งมีช่วงเวลาเพียงหนึ่งเดือน นับตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12

    2. ปัจฉิมพรรษา คือ การเข้าพรรษาหลัง ใช้ในกรณีที่พระภิกษุต้องเดินทางไกลหรือมีเหตุสุดวิสัย ทำให้กลับมาเข้าพรรษาแรกในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ไม่ทัน ต้องรอไปเข้าพรรษาหลัง คือวันแรม 1 ค่ำ เดือน 9 แล้วจะไปออกพรรษาในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ซึ่งเป็นวันหมดเขตทอดกฐินพอดี ดังนั้นพระภิกษุที่เข้าปัจฉิมพรรษาจึงไม่มีโอกาสได้รับกฐิน แต่ก็ได้พรรษาเช่นเดียวกับพระที่เข้าปุริมพรรษาเหมือนกัน


เมื่อเข้าพรรษาแล้วหากภิกษุมีกิจธุระจำเป็น อันชอบด้วยพระวินัย พระพุทธเจ้าก็ทรงอนุญาตให้ไปได้ โดยมีข้อจำกัดว่าจะต้องกลับมายังสถานที่จำพรรษาเดิมภายใน 7 วัน ที่เรียกว่า สัตตาหกรณียะ ดังต่อไปนี้

            1.   เมื่อทายกทายิกา ปราถนาจะบำเพ็ญกุศล เมื่อมานิมนต์ก็ให้ไปเพื่อรักษาศรัทธาได้
            2.   ถ้าสงฆ์ ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่งเกิดอธิกรณ์ขึ้น ก็ให้ไปเพื่อระงับอธิกรณ์ได้
            3.   ถ้าบิดา มารดา ญาติ พี่น้อง พระอุปัชฌาย์ อาจารย์ เป็นไข้ เมื่อทราบก็ให้ไปได้
            4.   พระวิหารในที่แห่งอื่นเกิดชำรุดเสียหาย ให้ไปหาสิ่งของเพื่อมาปฏิสังขรพระวิหารนั้นได้
            5.   เมื่อถูกสัตว์ร้ายรบกวน ถูกโจรปล้น พระวิหารถูกไฟไหม้ หรือถูกน้ำท่วม ก็ให้ไปจากที่นั้นได้
            6.   เมื่อชาวบ้านถูกโจรปล้น อพยพหนีไป ก็ให้ไปกับพวกชาวบ้านได้โดยให้ไปกับชาวบ้านที่มีความเลื่อมใสศรัทธา สามารถที่จะให้ความอุปถัมภ์ได้
            7.   เมื่อที่ใดเกิดความขาดแคลน อาหารหรือยารักษาโรค ขาดผู้อุปถัมภ์บำรุง ได้รับความลำบากก็อนุญาตให้ไปจากที่นั้นได้
            8.   ถ้าหากมีผู้เอาทรัพย์มาล่อ ก็อนุญาตให้ไปจากที่นั้นได้
            9.   หากภิกษุสงฆ์หรือภิกษุณีสงฆ์แตกกันหรือมีผู้พยายามจะให้แตกกัน ถ้าการไปจากที่นั้นสามารถระงับการแตกกันได้ ก็อนุญาตให้ไปได้


พิธีทางศาสนา มีประเพณีสำคัญอยู่ ๒ ประเพณี

๑. ประเพณีแห่เทียนพรรษา

           สมัยก่อนยังไม่มีไฟฟ้าใช้ เมื่อพระสงฆ์จำพรรษารวมกันมากๆ ก็จำต้องปฏิบัติกิจวัตรเช่น การทำวัตรสวดมนต์เช้ามืดและตอนพลบค่ำ การศึกษาพระปริยัติธรรมกิจกรรมเหล่านี้ล้วนต้องการแสงสว่างโดยเฉพาะ แสงสว่างจากเทียนที่พระสงฆ์จุดบูชาพระรัตนตรัยและเพื่อต้องการใช้แสงสว่างโดยตรงด้วยเหตุนี้พุทธศาสนิกชนจึงนิยมหล่อเทียนต้นใหญ่ กะว่าจะจุดได้ตลอดเวลา ๓ เดือนไปถวายพระภิกษุในวัดใกล้ ๆบ้านเป็นพุทธบูชา เทียนดังกล่าวเรียกว่า เทียนจำนำพรรษา

          


๒. ประเพณีถวายผ้าอาบน้ำฝน

           การถวายผ้าอาบน้ำฝนนี้ เกิดขึ้นแต่สมัยพุทธกาล คือ มหาอุบาสิกา ชื่อว่า วิสาขาได้ทูลของพระบรมพุทธานุญาตให้พระสงฆ์ ได้มีผ้าอาบน้ำสำหรับผลัดเปลี่ยนเวลาสรงน้ำฝนระหว่างฤดูฝน นางวิสาขาจึงเป็นสตรีคนแรกที่ได้ถวายผ้าอาบน้ำฝนแด่พระสงฆ์



          
ความสำคัญของวันเข้าพรรษา

           ๑. พระภิกษุจะหยุดจาริกไปยังสถานที่อื่นๆแต่จะเข้าพักอยู่ประจำในวัดแห่งเดียวตามพุทธบัญญัติ
           ๒. การที่พระภิกษุอยู่ประจำที่นานๆ ย่อมมีโอกาสได้สงเคราะห์กุลบุตรที่ประสงค์จะอุปสมบทเพื่อศึกษาพระธรรมวินัยและสงเคราะห์พุทธบริษัททั่วไป
           ๓. เป็นเทศกาลที่พระพุทธศาสนิกชนงดเว้นอบายมุขและความชั่วต่าง ๆ เช่น การดื่มสุราสิ่งเสพติด และการเที่ยวเตร่เฮฮา เป็นต้น ๔. นอกจากเป็นเทศกาลที่พุทธศาสนิกชนงดเว้นอบายมุขและความชั่วต่าง ๆ แล้วในช่วงเวลาพรรษา พุทธศาสนิกชนทั่วไปจะบำเพ็ญทาน รักษาศีลฟังธรรม และเจริญภาวนามากขึ้น




ที่มา
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%B2
http://guru.sanook.com/4160/
http://www.tlcthai.com/education/history-of-thailand/4495.html
https://ppantip.com/topic/34033711






ห้องเพลงคนรากหญ้าเปิดขึ้นมามีวัตถุประสงค์ เพื่อ

1. มีพื้นที่ให้เพื่อนๆ ได้มาพบปะ พูดคุยระหว่างกัน ในภาวะที่ต้องระมัดระวังการโพสการเมืองอย่างเคร่งครัด
2. เป็นพื้นที่ พักผ่อน ลดความเครียดทางการเมือง ให้เพื่อนๆ มีกิจกรรมสนุกๆ ร่วมกัน
3. สร้างมิตรภาพและความปรองดอง ซึ่งเราหวังให้สังคมไทยเป็นเช่นนี้ แม้นคิดต่างกัน แต่เมื่อคุยกันแล้วก็เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม




เธออย่าหยุดความฝัน ห้องเพลง 2 ปี (เนื้อร้อง ทำนอง ดนตรี ขับร้อง โดย MC มาริโอ้)

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ



กระทู้ห้องเพลงเป็นกระทู้เปิด มิได้ปิดกั้นผู้หนึ่งผู้ใด "ขอให้มาดี เราคือเพื่อนกัน" ซึ่งก็เหมือนกับกระทู้ทั่วไป ที่เราไม่จำเป็นต้องทราบว่า User ท่านไหนเป็นใครมาจากไหน  ...ดังนั้น หากมีบุคคลใดที่มีการโพสสิ่งผิดกฎหมายและศีลธรรมอันดีของสังคมนั้น หรือสิ่งรบกวนใดๆ ในบอร์ด เป็นเรื่องส่วนบุคคล ทางห้องเพลงจึงขอแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งสิ้น
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 10
ประวัติการทำเทียนพรรษา

การแห่เทียนพรรษา เป็นประเพณีที่ชาวพุทธกระทำกันในวันเข้าพรรษา ต่อเนื่องกันมาตั้งแต่พุทธกาล โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา และสังฆบูชา

        แรกเริ่มเดิมทีชาวเมืองอุบลจะฟั่นเทียนยาวรอบศีรษะไปถวายพระเพื่อจุดบูชาจำพรรษา พร้อมกับหาน้ำมัน เครื่องไทยทานและผ้าอาบน้ำฝนไปถวายพระ ต่อมาในสมัยกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์เป็นผู้สำเร็จราชการเมือง ได้มีการแห่บั้งไฟที่วัดกลาง แล้วมีการตีกันในขบวนแห่จนถึงแก่ความตาย เสด็จในกรมจึงให้เลิกการแห่บั้งไฟ และเปลี่ยนมาเป็นการแห่เทียนแทน



การแห่เทียนในยุคแรกไม่ได้ใหญ่โตเช่นในปัจจุบัน เพียงแต่ชาวบ้านร่วมกันบริจาคแล้วนำเทียนมาติดกับลำไม้ไผ่ ติดกระดาษเงินกระดาษทองเป็นลายฟันปลาติดปิดรอยต่อ เสร็จแล้วนำตันเทียนไปมัดติดกับปี๊บน้ำมันก๊าด ต่อมาจังหวัดได้ส่งเสริมให้งานเข้าพรรษาเป็นงานประเพณีประจำปี ในขณะที่การทำต้นเทียนก็มีการพัฒนาการเป็นเทียนหลายประเภท ได้แก่ เทียนมัดรวมติดลาย เทียนติดพิมพ์ และเทียนแกะสลัก ตามลำดับ


เครื่องมือขูด เซาะ เจาะ ขีด  มีรายการตามภาพดังนี้


แกะเทียน...สลักลาย
:: การต้มเทียน ทุบหรือสับขี้ผึ้งให้มีขนาดเล็กนำไปต้มผสมกับขี้ผึ้งเทียมในปี๊บหรือถุงน้ำมัน การต้มเทียนใช้อัตราส่วน ขี้ผึ้งแท้ 3 ส่วน : ขี้ผึ้งเทียม 10 ส่วน ส่วนการทำฐานหรือองค์ประกอบใช้อัตราส่วน ขี้ผึ้งแท้ 1 ส่วน : ขี้ผึ้งเทียม 3 ส่วน


:: การหล่อเทียน เป็นการเทขี้ผึ้งที่ต้มแล้วลงในแบบพิมพ์ หรือเบ้าหลอม หรือโฮง ที่มีมาจากสังกะสีแผ่นเรียบโค้งงอ ให้ได้ขนาดและรูปร่างของต้นเทียนตามที่ต้องการ


:: การกลึงต้นเทียน เป็นการทำให้ลำต้นเทียนที่หล่อแล้วมีรูปร่างตามที่ต้องการ กลมและเกลี้ยงขึ้น โดยใช้เพลาช่วยหมุนต้นเทียนและใช้เหล็กกลึง กลึงต้นเทียนให้ได้รูปร่าง


:: การทำผึ้งแผ่น เป็นการทำขี้ผึ้งให้เป็นแผ่น ๆ เพื่อใช้ตกแต่ง ซ่อมแซม หรือปิดส่วนต่าง ๆ ของต้นเทียนและองค์ประกอบ เช่น ฐาน ลำต้น ยอด หรือองค์ประกอบ การทำผึ้งแผ่นจะเทขี้ผึ้งที่หลอมละลายแล้วลงในแบบพิมพ์สี่เหลี่ยม วัดขนาดความหนาของแผ่นผึ้งตามความต้องการ และปรับผิวหน้าให้อยู่ในระนาบเดียวกันทั้งแผ่น จากนั้นปล่อยให้ขี้ผึ้งเย็นและแข็งตัว จึงลอกแผ่นผึ้งออกจากแบบพิมพ์โดยใช้มีดช่วยในการงัดแงะ จากนั้นจึงนำผึ้งแผ่นไปใช้งานต่อไป


:: การปั้นหุ่นองค์ประกอบ วัสดุอุปกรณ์ในการปั้นหุ่นประกอบด้วย  ใยมะพร้าว  เหล็ก  ปูนปลาสเตอร์  น้ำ  ถัง  และไม้อัด  เริ่มต้นทำเขียนแบบใส่ไม้อัด  ใส่โครงเหล็ก  แล้วมัดด้วยใยมะพร้าวบนโครงเหล็ก  จากนั้นการผสมปูนปลาสเตอร์  ในสัดส่วน น้ำ 1 ส่วน ต่อ ปูนปลาสเตอร์  2 ส่วน  เมื่อผสมปูนปลาสเตอร์เสร็จแล้ว  ก็จะนำไปหุ้ม่บนโครงเหล็ก  เมื่อปูนปลาสเตอร์แห้งก็จะนำขี้ผึ้งแผ่นเข้าติดบนตัวหุ่นและแกะสลักต่อไป


:: การออกแบบ เป็นการร่างแบบหรือลวดลายลงบนกระดาษ หรือต้นเทียนก่อนทำการแกะสลัก เพื่อให้ได้ลวดลายที่ถูกต้อง สวยงามและสอดคล้องกลมกลืนกัน


:: การแกะสลัก เป็นการใช้เครื่องมือต่าง ๆ แกะสลักลงบนต้นเทียนหรือส่วนประกอบ โดยใช้วิธีเซาะ เจาะ ขีด ขุด และขูด ให้เป็นรูปสามมิติ ที่มีความกว้าง ความยาว และความลึก ให้มีรูปร่างตามจินตนาการ หรือเหมือนของจริง




:: การตกแต่ง เป็นการเก็บรายละเอียด ตรวจสอบหาความบกพร่องต่าง ๆ ของต้นเทียนและองค์ประกอบ เช่น ความละเอียด ความคมชัดของลาย ตลอดจนการทำความสะอาดต้นเทียน หากพบความบกพร่องจะต้องดำเนินการแก้ไขให้ต้นเทียนเรียบร้อยและมีความสมบูรณ์มากที่สุด



เครื่องมือพิมพ์ ตัด ติด แต่ง


ติดดอก...พิมพ์ลาย

:: การออกแบบ โดยการร่างแบบที่จะจัดทำลงบนกระดาษ แล้วนำดอกผึ้งไปติดตามโครงสร้างของต้นเทียน ช่างเทียนจะเป็นผู้กำหนดว่าดอกผึ้งลายใดจะใช้กับส่วนใดของต้นเทียน
:: การต้มเทียน นำขี้ผึ้งแท้มาสับเป็นก้อนเล็ก ๆ ต้มในชามขนาดใหญ่ ใส่น้ำลงไปเล็กน้อยเพื่อป้องกันการไหม้และทำให้ขี้ผึ้งสะอาดขึ้น ระหว่างต้มหมั่นคนเพื่อให้เทียนละลายเร็ว เมื่อละลายดีแล้วยกลง ใช้กระบวยกรองขี้ผึ้งลงในชามขนาดเล็กโดยใส่นำเล็กน้อย ตะกอนที่ปะปนจะตกตะกอนลงในน้ำ ทิ้งให้ขี้ผึ้งแข็งตัวพอหมาด ๆ จึงนำไปใช้




:: การหล่อเทียน การหล่อลำต้นและยอดของต้นเทียนจะใช้สังกะสีแผ่นเรียบทำเป็นแม่พิมพ์ขึ้นรูปทรงกลม เส้นผ่าศูนย์กลางกว้างและความยาวตามต้องการ นำเหล็กมาทำแกนกลาง จากนั้นเทแบบด้วยขี้ผึ้งที่ต้มละลายแล้วลงในแบบพิมพ์จนเต็มปล่อยทิ้งไว้จนเย็น จะต้องใช้เวลาประมาณ 5-8 วัน แล้วแต่สภาพอากาศ จึงจะแกะแบบพิมพ์ออก
:: การกลึงต้นเทียน การกลึงต้นเทียนให้ได้ดีเป็นหน้าที่ของช่างกลึงเหล็กหรือไม้ เป็นขั้นตอนที่จะทำให้ต้นเทียนกลมเกลี้ยง เมื่อกลึงเสร็จแล้วขนาดของต้นเทียนติดพิมพ์จะต้องเล็กกว่าที่ต้องการเล็กน้อย ทั้งนี้เพราะต้องมีการติดพิมพ์ดอกผึ้งเพิ่มเข้าไปอีก           
:: การพิมพ์ดอกผึ้ง นำแม่พิมพ์แช่น้ำให้อิ่มตัว ใช้ช้อนขูดขูดผิวหน้าขี้ผึ้งให้ได้ขนาดเท่าไข่ไก่ นวดให้เป็นเนื้อเดียวกัน วักน้ำละลายผงซักฟอกหยอดลงในแบบพิมพ์และลูบขวดแก้วด้วยน้ำ นำขี้ผึ้งที่นวดแล้ววางและกดลงในลายดอกของแบบพิมพ์ ใช้ขวดกดและคลึงขี้ผึ้ง ให้แทรกเข้าไปทุกเส้นลายของแบบพิมพ์ แล้วคลึงจนผิวหน้าของขี้ผึ้งแบนราบ จึงแงะขี้ผึ้งออกมาวางรวมกันในถาด


:: การตัดลายดอกผึ้ง นำดอกผึ้งที่พิมพ์ลายไว้แล้วไปวางบนกระจกใส ใช้มีดตัดลายตามแบบ ควรจุ่มปลายมีดตัดด้วยน้ำมันพืชเล็กน้อย จะทำให้ตัดง่ายขึ้น เศษของขี้ผึ้งที่ตัดออกจะเก็บไว้เพื่อนำไปหลอมละลายใหม่เพื่อใช้ทำดอกผึ้งสำหรับงานซ่อมแซมต่อไป แยกดอกผึ้งลายต่าง ๆ ไว้คนละถาด เพื่อให้ง่ายและสะดวกในการหยิบไปใช้


:: การติดดอกผึ้ง ดอกผึ้งที่ตัดเรียบร้อยแล้วจะใช้ติดตามฐาน ลำต้น ยอดของต้นเทียนและส่วนประกอบอื่น ๆ ของต้นเทียน ส่วนการติดดอกผึ้งที่มีลวดลายใดลงที่ส่วนใดนั้น ช่างผู้ทำเทียนจะเป็นผู้ออกแบบ




ลายแกะ...ลายพิมพ์...ลายเทียน
:: ต้นเทียนพรรษาประเภทแกะสลัก ::
        ลวดลายที่ใช้ประกอบในการทำเทียนพรรษาจังหวัดอุบลราชธานี ประเภทแกะสลักนั้นใช้ลวดลายไทยเป็นหลัก ที่นิยมคือ ลานกระจัง ลายประจำยาม ลายกนก ลายผักกรูด ลายกระจังตาอ้อย และมีลวดลายที่ได้แนวคิดจากสิ่งที่พบเห็นตามธรรมชาติ เช่น รวงข้าว เปลวไฟ กาบใบ ใบไม้ ฟันปลา ดอกไม้ และเครือเถาของพืชบางชนิด ลวดลายที่ได้จากลายไทย ช่างทำเทียนจะนำมาดัดแปลงเพื่อนำมาทำเป็นแม่พิมพ์ ลายพิมพ์หรือแกะลงบนลำต้น หรือฐานของต้นเทียน ลวดลายที่พบเห็นได้นั้นแบ่งออกเป็น 4 ลวดลาย ได้แก่



:: ต้นเทียนพรรษาประเภทติดพิมพ์ ::
        ลายที่นำมาติดที่ต้นเทียนพรรษาประเภทติดพิมพ์จะมีลักษณะที่แตกต่างกันในขบวนต้นเทียนหนึ่งขบวนจะมีลายหลายแบบและมีขนาดที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพื้นที่และรูปแบบของต้นเทียน ถ้าเป็นต้นเหลี่ยมก็จะแกะสลักลายให้มีขนาดเท่ากับเหลี่ยมของต้นเทียน แต่ถ้าเป็นต้นกลมก็จะแกะสลักให้ลงตัว เมื่อติดโดยรอบแล้วจะลงตัวพอดี
         ลายต้นเทียนพรรษาประเภทติดพิมพ์จะมี 3 ลักษณะ คือ
        1.ลายเอก หมายถึง ลายเด่นของต้นเทียนที่เป็นหลักส่วนมากจะเป็นลายก้านขดลักษณะต่าง ๆ เช่น ก้านขดหางไหล ก้านขดกนกหางโต ก้านขดหน้าสิงห์ ก้านขดเทพนม เป็นต้น
        2.ลายโท(ลายประกอบ) หมายถึง ลายที่สร้างขึ้นขึ้นเพื่อรองรับกับลายเอกมีลักษณะเด่นรองลงมาจากลายเอก หรือเมื่อนำไปติดบางส่วนของขบวนต้นเทียนก็จะกลายเป็นลายเอกได้ เช่น ลายกนกเกลียว ใบเทศเกลียว พุ่มหางกนก ลายกระจัง ลายปีกผีเสื้อ ลายประจำยามก้ามปู ลายกระจังหลักร้อย ลายประจำยาม ลายพวงมาลัยย้อย เป็นต้น
        3.ลายเก็บงาน เป็นลายที่สร้างขึ้นเพื่อใช้เก็บงานหรือส่งลายเอกให้เด่นขึ้น เช่น ลายกระจังฟันปลา ลายตาอ้อยซ้อน(ลายกระดูกงู) ลายตาตุ่ม ลายมะลิซ้อน ลายประกอบเก็บงานจะเป็นลายเส้นยาวใช้ในการเก็บรายละเอียดของลายให้วิจิตรสวยงามยิ่งขึ้น





ความสวย...ที่แตกต่าง
        เทียนพรรษาทั้งประเภทแกะสลักและติดพิมพ์ของจังหวัดอุบลราชธานีในยามที่ปรากฏต่อสายตาประชาชนนั้นมีความสวยสดงดงาม ยิ่งนัก แต่กว่าความงดงามของต้นเทียนจะปรากฏฉายออกมาได้นั้น ต้องอาศัยความรู้ความสามารถทางด้านศิลปะ ประกอบกับจินตนาการอันบรรเจิดของช่างเทียน การทำเทียนพรรษาทั้งสองแบบนั้นกรรมวิธีและขั้นตอนมีความแตกต่างกัน ดังนี้


ข้อมูลอ้างอิง

1. คณะกรรมการจัดทำหนังสือวิวัฒนาการประวัติประเพณีแห่เทียนพรรษา จังหวัดอุบลราชธานี. เลิศล้ำเลอค่า เทียนพรรษาเมืองอุบล. อุบลราชธานี : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, 2550.
2. ประดับ ก้อนแก้ว. เทียนพรรษาจังหวัดอุบลราชธานี: ประวัติ การจัดทำและการประกวด. อุบลราชธานี : โรงเรียนอุบลวิทยาคม, 2531
3. พระครูสมุห์สำลี ทิฏฺฐธมฺโม. การพัฒนาหลักสูตรอบรมภูมิปัญญาท้องถิ่น การทำต้นเทียนพรรษาประเภทติดพิมพ์ จังหวัดอุบลราชธานี. เอกสารประกอบการอบรมการอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีการแห่เทียนพรรษาของจังหวัดอุบลราชธานีเพื่อสืบสานตำนาน ประเพณีดั้งเดิม ระหว่างวันที่ 29-30 มิถุนายน 2552 ณ ณ ห้องข้อมูลท้องถิ่น ชั้น 3 อาคารข้อมูลท้องถิ่น สำนักวิทยบริการ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. อุบลราชธานี : สำนักวิทยบริการ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, 2552.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่