นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวผมเองซึ่งกินเวลานับตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นจนครั้งสุดท้ายที่เจอนานถึง 10 ปีเต็ม หลายเหตุการณ์มีผู้ร่วมชะตากรรมรับรู้ร่วมกัน ในกระทู้นี้จะเล่าเฉพาะเหตุการณ์ที่สำคัญนะครับ
เกริ่นก่อนว่าบ้านที่ผมอาศัยอยู่ตั้งแต่เกิดจนปัจจุบันอยู่หลังสุสานครับ ก่อนเข้าซอยบ้านจะต้องผ่านทั้งสุสานคริสต์ เมรุ และฮวงซุ้ย นั่นทำให้ผมพบเหตุการณ์แปลกๆ ในวัยเด็กมากมายจนกลายเป็นความเคยชิน แต่ส่วนใหญ่จะมาในรูปแบบของกลิ่นและเสียง จนกระทั่ง.....
คืนที่ผมได้พบเธอเป็นครั้งแรก
ย้อนกลับไปสมัยที่ผมอายุ 18 ปี ในเย็นวันหนึ่ง ช่วงเวลาโพล้เพล้ประมาณห้าโมงกว่าเกือบหกโมง ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง เรามักจะเรียกช่วงเวลานี้ว่า "ผีตากผ้าอ้อม" ผมกำลังนอนเล่นอยู่ในห้องนอนซึ่งอยู่บนชั้นสอง หลังห้องจะเป็นสวนร้างที่เจ้าของปล่อยทิ้งไว้ (ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นหอพักไปแล้ว) อยู่ๆ ก็เกิดไฟดับขึ้นในระแวกบ้าน แต่ด้วยความที่คิดว่าสักพักไฟก็คงมาตามปกติ ผมจึงนอนเล่นต่อ ในช่วงที่นอนหลับตานิ่งๆ อยู่บนเตียงนั้นเอง ก็รู้สึกเหมือนมีใครจ้องมองมาที่ผม ตอนนั้นเหงื่อเริ่มแตกพลั่ก ใจเริ่มสั่นโดยไม่มีสาเหตุ ผมจึงลุกขึ้นนั่งบนเตียงและกวาดสายตาไปรอบๆ ห้อง เหมือนกลไกของร่างกายมันทำงานเองประหนึ่งกำลังมองหาเจ้าของสายตาที่จับจ้องมา แต่ก็ไม่พบสิ่งใด ผมจึงลุกออกจากห้องไปรวมกับพ่อแม่ที่ชั้นล่าง โดยพยายามคิดว่าเพราะไฟดับประกอบกับอากาศร้อนจึงทำให้เหงื่อแตกและใจสั่น ส่วนความรู้สึกที่เหมือนมีใครมองอยู่คงคิดไปเอง
คืนนั้นผมนั่งเล่นคอมพิวเตอร์ (จอคอมฯ ยังเป็นกล่องและมีแผ่นกรองแสงครอบหน้าจอไว้อีกที) โดยที่โต๊ะคอมพิวเตอร์จะตั้งอยู่ตรงข้ามกับหน้าต่างหลังห้อง เวลานั่งทำงานจะหันหลังให้กับหน้าต่างหลังห้องพอดี ผมนั่งเล่นเพลินจนรู้ตัวอีกทีก็เป็นเวลาตีหนึ่งแล้ว คิดว่าเล่นต่ออีกสักพักจึงค่อยนอน ทันใดนั้นจู่ๆ ก็มีลมพัดเข้ามาทางหน้าต่างหลังห้องจนผ้าม่านปลิวสะบัด ลมที่พัดเข้ามาปะทะกับร่างกายจนเกิดอาการเสียวสันหลัง ขนแขนลุกชูชันโดยไม่ทราบสาเหตุ ความรู้สึกเหมือนมีใครจ้องมองเมื่อตอนเย็นกลับมาอีกครั้ง ถึงแม้ผมจะเคยชินกับเรื่องแบบนี้ แต่คราวนี้มันต่างออกไป ความรู้สึกกลัวเริ่มเกิดขึ้นภายในจิตใจ ผมไม่แม้แต่จะกล้าหันกลับไปดูข้างหลังด้วยกลัวว่าจะเห็นอะไรที่ไม่ควรเห็นเข้า แต่แล้ววินาทีที่จ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์นั้นเองที่ทำให้ผมได้พบกับเจ้าของสายตาคู่นั้น ภาพสะท้อนจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ทำให้เห็นว่านอกหน้าต่างหลังห้องมีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังจ้องมองมาที่ผม
ห้องผมอยู่ชั้นสองและไม่มีระเบียง นั่นจึงทำให้แน่ใจได้ว่าสิ่งที่เห็นย่อมไม่ใช่คนแน่นอน ผมทำใจดีสู้เสือค่อยๆ หันกลับไปมองเผื่อว่าสิ่งที่เห็นจากภาพสะท้อนหน้าจอคอมพิวเตอร์จะแค่ตาฝาดไปเอง แต่ไม่เลย เธอยังคงอยู่ตรงนั้น ยังคงอยู่นอกหน้าต่างและจ้องมองมาที่ผม เธอผมยาว ใบหน้าขาวซีด ผมไม่สามารถอธิบายสิ่งที่เห็นเป็นรูปธรรมได้มากนัก แต่รับรู้ได้ว่าเธอมีร่างกายถึงแม้จะมองไม่เห็นส่วนใดนอกหน้าใบหน้าก็ตาม เราต่างจ้องมองกันอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ใช่ว่าผมใจกล้าแต่อย่างใด เพียงแต่ตอนนั้นตัวแข็งจนขยับร่างกายไม่ได้ (คงเป็นอาการเดียวกับขาแข็งจนวิ่งหนีผีไม่ได้ในละคร) ผมพยายามรวบรวมสติและค่อยๆ หันกลับมา ปิดคอมพิวเตอร์ ปิดไฟ และเดินไปนอนที่เตียงอย่างช้าๆ และหลับไป.....
โดยไม่รู้เลยว่านี่เป็นเพียงการเริ่มต้นของเรื่องราวที่กินเวลายาวนานถึง 10 ปี
วิญญาณตามติด
เกริ่นก่อนว่าบ้านที่ผมอาศัยอยู่ตั้งแต่เกิดจนปัจจุบันอยู่หลังสุสานครับ ก่อนเข้าซอยบ้านจะต้องผ่านทั้งสุสานคริสต์ เมรุ และฮวงซุ้ย นั่นทำให้ผมพบเหตุการณ์แปลกๆ ในวัยเด็กมากมายจนกลายเป็นความเคยชิน แต่ส่วนใหญ่จะมาในรูปแบบของกลิ่นและเสียง จนกระทั่ง.....
ย้อนกลับไปสมัยที่ผมอายุ 18 ปี ในเย็นวันหนึ่ง ช่วงเวลาโพล้เพล้ประมาณห้าโมงกว่าเกือบหกโมง ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง เรามักจะเรียกช่วงเวลานี้ว่า "ผีตากผ้าอ้อม" ผมกำลังนอนเล่นอยู่ในห้องนอนซึ่งอยู่บนชั้นสอง หลังห้องจะเป็นสวนร้างที่เจ้าของปล่อยทิ้งไว้ (ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นหอพักไปแล้ว) อยู่ๆ ก็เกิดไฟดับขึ้นในระแวกบ้าน แต่ด้วยความที่คิดว่าสักพักไฟก็คงมาตามปกติ ผมจึงนอนเล่นต่อ ในช่วงที่นอนหลับตานิ่งๆ อยู่บนเตียงนั้นเอง ก็รู้สึกเหมือนมีใครจ้องมองมาที่ผม ตอนนั้นเหงื่อเริ่มแตกพลั่ก ใจเริ่มสั่นโดยไม่มีสาเหตุ ผมจึงลุกขึ้นนั่งบนเตียงและกวาดสายตาไปรอบๆ ห้อง เหมือนกลไกของร่างกายมันทำงานเองประหนึ่งกำลังมองหาเจ้าของสายตาที่จับจ้องมา แต่ก็ไม่พบสิ่งใด ผมจึงลุกออกจากห้องไปรวมกับพ่อแม่ที่ชั้นล่าง โดยพยายามคิดว่าเพราะไฟดับประกอบกับอากาศร้อนจึงทำให้เหงื่อแตกและใจสั่น ส่วนความรู้สึกที่เหมือนมีใครมองอยู่คงคิดไปเอง
คืนนั้นผมนั่งเล่นคอมพิวเตอร์ (จอคอมฯ ยังเป็นกล่องและมีแผ่นกรองแสงครอบหน้าจอไว้อีกที) โดยที่โต๊ะคอมพิวเตอร์จะตั้งอยู่ตรงข้ามกับหน้าต่างหลังห้อง เวลานั่งทำงานจะหันหลังให้กับหน้าต่างหลังห้องพอดี ผมนั่งเล่นเพลินจนรู้ตัวอีกทีก็เป็นเวลาตีหนึ่งแล้ว คิดว่าเล่นต่ออีกสักพักจึงค่อยนอน ทันใดนั้นจู่ๆ ก็มีลมพัดเข้ามาทางหน้าต่างหลังห้องจนผ้าม่านปลิวสะบัด ลมที่พัดเข้ามาปะทะกับร่างกายจนเกิดอาการเสียวสันหลัง ขนแขนลุกชูชันโดยไม่ทราบสาเหตุ ความรู้สึกเหมือนมีใครจ้องมองเมื่อตอนเย็นกลับมาอีกครั้ง ถึงแม้ผมจะเคยชินกับเรื่องแบบนี้ แต่คราวนี้มันต่างออกไป ความรู้สึกกลัวเริ่มเกิดขึ้นภายในจิตใจ ผมไม่แม้แต่จะกล้าหันกลับไปดูข้างหลังด้วยกลัวว่าจะเห็นอะไรที่ไม่ควรเห็นเข้า แต่แล้ววินาทีที่จ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์นั้นเองที่ทำให้ผมได้พบกับเจ้าของสายตาคู่นั้น ภาพสะท้อนจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ทำให้เห็นว่านอกหน้าต่างหลังห้องมีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังจ้องมองมาที่ผม
ห้องผมอยู่ชั้นสองและไม่มีระเบียง นั่นจึงทำให้แน่ใจได้ว่าสิ่งที่เห็นย่อมไม่ใช่คนแน่นอน ผมทำใจดีสู้เสือค่อยๆ หันกลับไปมองเผื่อว่าสิ่งที่เห็นจากภาพสะท้อนหน้าจอคอมพิวเตอร์จะแค่ตาฝาดไปเอง แต่ไม่เลย เธอยังคงอยู่ตรงนั้น ยังคงอยู่นอกหน้าต่างและจ้องมองมาที่ผม เธอผมยาว ใบหน้าขาวซีด ผมไม่สามารถอธิบายสิ่งที่เห็นเป็นรูปธรรมได้มากนัก แต่รับรู้ได้ว่าเธอมีร่างกายถึงแม้จะมองไม่เห็นส่วนใดนอกหน้าใบหน้าก็ตาม เราต่างจ้องมองกันอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ใช่ว่าผมใจกล้าแต่อย่างใด เพียงแต่ตอนนั้นตัวแข็งจนขยับร่างกายไม่ได้ (คงเป็นอาการเดียวกับขาแข็งจนวิ่งหนีผีไม่ได้ในละคร) ผมพยายามรวบรวมสติและค่อยๆ หันกลับมา ปิดคอมพิวเตอร์ ปิดไฟ และเดินไปนอนที่เตียงอย่างช้าๆ และหลับไป.....
โดยไม่รู้เลยว่านี่เป็นเพียงการเริ่มต้นของเรื่องราวที่กินเวลายาวนานถึง 10 ปี