ไม่อยากเรียนหมอแล้ว(โว้ยยย)

คร่าวๆนะครับ
ตอนนี้อยู่ปี4 เพิ่งขึ้นชั้นคลินิกครั้งแรก แล้วไม่ชอบเลย ทนไม่ได้อะ ชีวิตน่าเบื่อมาก
ไม่อยากราวน์ ไม่อยากดูแลคนไข้ (จริงๆชอบคุยกับคนไข้และอยากให้เขาหายนะแต่ต้องเสียเวลาไปทุกวันกับงานเดิมไแล้วน่าเบื่อมา)
เสาร์ อาทิตยก็ไม่ได้หยุดต้องมาราวน์ๆๆๆๆๆๆๆ เบื่อๆๆๆๆ เมื่อก่อนเสาร์อาทิตถ้าไม่ใกล้สอบจะไปเที่ยวกัเพื่อนกะแฟน ไปกินเหล้า
แต่พอขึ้นวอรดมาชีวิตเปลี่ยนสุดๆ ว่างเมื่อไรต้องหลับๆๆวนไปเปนวงจรอุบาด เบื่อมาก กลัวตัวเองเปนmdd
ไม่มีความใฝ่รู้อะไรทั้งนั้น ทุกวันนี้เหมือนแค่ไปยืนเฉยๆรอราวเสจกลับหอนอน
โดนอาจารด่าว่าโง่ยังไม่รุ้สึกอะไรเลย ก้ยังไม่มีอารมณ์อ่านหนังสืออยู่ดี ฟังพี่ๆบนวอร์ดพูดก้ไม่รู้เรื่อง
อยู่บนวอรดก้เบื่อมากๆ วันๆทุกคนเอาแต่พูดเรื่องคนไข้ คนนั้นเปนงี้ๆ และภาษาเอเลี่ยนอีกมากมาย
อยากรู้ว่าทำไงหรอ ถึงจะมีความสุขบนวอร์ดได้ คนที่เค้าใฝ่รู้มากๆนี่ไปหาแรงบันดาลใจจากไหนกันอะ
แล้วถ้าไม่ชอบเรียนหมอเนี่ยต้องทำยังไงถึงจะผ่านมันไปได้อะ ขอกำลังใจหน่อยก็ยังดีครัช
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 32
พี่ถึงขั้นต้องล็อกอินมาตอบ

ก่อนอื่นพี่ขอแชร์ประสบการณ์ของพี่ก่อนนะ
พี่เองก็ไม่เคยคิดจะเป็นหมอ บังเอิญไปสอบรอบโควต้าเล่นๆแล้วดันติดหมอ(คือตอนแรกกะว่าติดยังไงก็ไม่เอา เพราะกะเอาวิศวะจุฬาตอนadmission) แต่ด้วยแรงเชียร์ของหลายๆคน ทั้งครอบครัว ญาติ คนรอบข้าง สุดท้ายพี่ก็ตามกระแสจนได้

ปี1-3พี่ก็เรียนตามปกติ ก็คงไม่ต่างจากน้อง ชีวิตมาเปลี่ยนตอนขึ้นปี4 พี่เริ่มป่วยเป็นโรคลมชัก แล้วก็เป็นปีแรกที่ต้องขึ้นวอร์ด ต้องอยู่เวร ทั้งเหนื่อย ทั้งเครียด อาการชักก็เป็นบ่อยขึ้น ช่วงแรกๆที่เริ่มทานยากันชัก พี่ง่วงมาก ง่วงจนทำอะไรไม่ได้ ward work ไม่เสร็จ เขียนรายงานไม่ทัน หัวสมองก็คิดอะไรไม่ออกเลย เวลาราวน์โดนด่าประจำ(คือทั้งอ. ทั้งพี่เด๊นก็ไม่รู้ว่าพี่ป่วย) ยิ่งเครียด ยิ่งชัก ต้องเพิ่มโดสยากันชักอีก S/Eก็มากขึ้นคือง่วงมากกว่าเดิม ตอนนั้นเหมือนชีวิตพี่มันมืดไปหมดเลยนะ ไม่รู้จะทำไงดี ลาออกเลยดีไหม แต่ตอนนั้นใจพี่อยากลองสู้ดูก่อน อย่างน้อยพี่ก็โชคดีมากที่อาจารย์นิวโรที่รักษาพี่ติดต่ออาจารย์ภาควิชาอื่นให้ช่วยดูแลพี่(แต่ก็หลังจากที่โดนด่ามาแล้ว 555) แล้วก็เพื่อนที่วนวอร์ดเดียวกับพี่ก็เข้าใจ ตามเก็บward workให้พี่ตลอด คอยช่วยเหลือเวลาพี่ชัก ที่จริงก็รู้สึกไม่ดีเลยที่เป็นตัวถ่วงเพื่อน แต่ปี4ด้วยกันก็เข้าใจกันแหละ คนธรรมดาขึ้นปี4ต้องปรับตัวเยอะ ก็หนักมากแล้ว คนที่ขึ้นมาพร้อมความเจ็บป่วยนี่หนักยิ่งกว่า

สรุปว่าบล็อกแรกพี่สอบไม่ผ่าน เพราะทั้งป่วยทั้งเครียด แทบไม่ได้อ่านหนังสือเลย แต่พี่ก็พยายามบอกตัวเองให้สู้ต่อไป พอบล็อก2 เรียนได้ครึ่งบล็อก อ.แนะนำให้พักการเรียนเลย เพราะพี่ชักบ่อยมาก คิดว่าคงไม่ไหว และเป็นอันตรายต่อคนไข้ ดูแลตัวเองก่อนดีกว่า จะบอกว่าตอนนั้นพี่โคดเกลียดตัวเองเลย แม่มทำไมต้องเป็นกูวะ แล้วกูจะเรียนจบไหม??? คำถามนี้วนเวียนอยู่ในหัว หลายๆคนก็บอกให้พี่ลาออก แต่พี่ยังมีความหวัง พี่ต้องดูแลตัวเองให้ดี เมื่ออาการชักควบคุมได้ดี เราก็จะเรียนจบได้

พี่เรียนๆดรอปๆมาตลอด แล้วแต่ว่าช่วงไหนไหว เพื่อนๆขึ้นปี5 ปี6 ส่วนพี่ยังอยู่ปี4 อยู่ในสภาพแบบนี้ ถึงพี่มีความหวังแต่พี่ก็มาถึงจุดนี้จนได้ "โรคMDD" (ที่จริงมันก็เป็นS/Eนึงของยากันชัก) พี่เคยฆ่าตัวตายด้วยการกินยากันชัก50กว่าเม็ด สุดท้ายมีคนมาช่วยทัน หลังจากนั้นพี่ก็ต้องไปรักษากับpsychiด้วย

สู้หัวชนฝามาจนถึงปี6 อยู่เวรถึงเช้า เป็นfirst call งานโคดหนัก อาการชักเริ่มเป็นมากขึ้นอีก พี่เคยชักวันละ10รอบ เคยเป็นstatus epilepticus นอนไอซียูเกือบเดือน ปรับยากันชักจนควบคุมอาการได้ดี พี่ยังขอกลับมาเรียนต่อให้จบ สู้มาจนถึงบล็อกสุดท้ายคือmed พี่พยายามทำทุกอย่างให้เต็มที่ ถึงจะกลับมามีอาการชักบ้าง พี่สอบไม่ผ่านเพราะช่วงก่อนหน้านี้ที่ชักนานๆ ความจำหายไปเยอะมาก พี่เริ่มคิดอะไรซับซ้อนไม่ได้ สอบแก้3รอบ จนอาจารย์บอกว่าตามกฎมหาลัยให้สอบแก้ได้ไม่เกิน3ครั้ง สุดท้าย พี่ไม่จบแพทย์ ทั้งๆที่เหลือแค่วิชาเดียว สอบแค่ตัวเดียว
แล้วที่พี่สู้มาตลอด ชั้นclinicพี่เรียนทั้งหมด6ปี รวมpreclinicเป็น9ปี สรุป9ปีที่ผ่านมากูได้อะไรวะ?? แต่อย่างน้อยก็ได้ วทบ. แหละ

พี่ใช้วุฒิวทบ.เข้ามาทำงานเป็นครูประถมที่รร.เอกชน แล้วพี่ก็ได้รู้ว่าที่จริงแล้วสิ่งที่ตัวเองชอบคืออะไร พี่ชอบวิชาวิทย์ คณิต ชอบทดลองวิทย์ ก็พาเด็กทำ พี่ก็ได้สอน ชอบร้องเพลง เล่นดนตรี เต้น ก็ได้สอน คือมันโคดมีความสุขอ่ะ ถึงพี่จะต้องทำอะไรหลายๆอย่าง บางวันกลับค่ำไม่ต่างจากสมัยต้องราวน์วอร์ด แต่มันเป็นงานที่เราชอบ ทำได้ไม่เบื่อ เมื่อเทียบกับตอนเรียนหมอพี่ไม่เคยมีความรู้สึกดีแบบนี้มาก่อนเลย และอาการชักก็ดีขึ้นมากๆ แทบไม่มีเลย มีแค่อาการเตือนบ้างนานๆที

สรุปที่ผ่านมาเราหลอกตัวเองชัดๆว่าชอบอาชีพหมอ ถ้าย้อนเวลากลับได้พี่คงลาออกตั้งแต่อยู่ปี4 ไม่รู้ทู่ซี้เรียนมาทำไมให้เปลืองเวลา เสียสุขภาพเปล่าๆ

พี่ไม่อยากให้น้องต้องรู้สึกเสียดายแบบพี่ แต่ก็ไม่อยากให้น้องต้องเสียดายที่ไม่ได้เป็นหมอเช่นกัน

ถ้าให้แนะนำ พี่อยากให้น้องสู้ไปซักพักก่อนนะ พี่เข้าใจว่าปี4มันเหนื่อย แต่มันอยู่ในช่วงปรับตัว มันก็ท้อเป็นธรรมดา อะไรที่น้องไม่รู้เรื่องก็ถามรุ่นพี่เอานะ พี่ยังจำได้ว่าครั้งแรกที่เปิดชาร์ตคนไข้ดูก็อย่างที่น้องว่าแหละ ภาษาเอเลี่ยน 555 แต่ใช้ไปซักพักมันก็ชินเองน้อง ลองเรียนไปซักครึ่งปีก่อน เพราะช่วงนั้นจะเริ่มปรับตัวได้แล้ว ค่อยย้อนกลับมาถามตัวเองว่ายังชอบอยู่หรือเปล่า ถ้าไม่ชอบค่อยลาออกตอนนั้น อย่าดันทุรังเรียนเลย อย่าเพิ่งลาออกตอนนี้ เพราะน้องแค่สับสน น้องยังปรับตัวไม่ได้เฉยๆ สุดท้ายน้องอาจเสียดายทีหลังที่ไม่ได้เรียนต่อ ส่วนเรื่องอาจารย์จะว่ายังไง ใช้คำรุนแรงแค่ไหนนั้น ไม่ต้องไปซีเรียสมาก ขนาดเป็นเด๊นเป็นเฟลโล่วแล้วบางทียังโดนด่าเลย ซักพักน้องจะโดนจนชิน 555

เล่าซะยาว ยังไงก็ขอเป็นกำลังใจให้นะจ๊ะ
ความคิดเห็นที่ 10
บางครั้งอาจจะต้องใช้เวลาในการค่อยๆเรียนรู้ไปนะคะ
การปรับตัวในแต่ละช่วงเวลาของชีวิตมันแตกต่างกัน
แน่นอนว่าเป็นปี 4 ตัวน้อยๆ เพิ่งจะได้สัมผัสชีวิตของหมอจริงๆเป็นครั้งแรก
ก็คงรู้สึกทั้งกลัว และรู้สึกสับสน ไม่เข้าใจอะไรที่รับเข้ามาได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นภาพที่เห็น ทั้งเสียงที่ได้ยิน คำพูดต่างๆ ศัพท์ต่างๆ ทั้งบรรยากาศอะไรต่อมิอะไร ดูมันเยอะแยะมากมายไปหมด
พี่เชื่อว่า ไม่ว่าเราจะไปอยู่ที่ไหน มันก็ต้องมีการปรับตัวทั้งนั้น
ไม่ใช่เรื่องผิดเรื่องแปลกอะไรที่เราจะคาดหวังว่า เราจะต้องรู้เรื่องไปหมด
ซึ่งแม้ในความเป็นจริงมันคงไม่ได้เป็นอย่างนั้นแน่ๆ
ขอเล่าประสบการณ์ส่วนตัวให้น้องได้อ่านเพื่อเป็นกำลังใจนะ ไม่รู้จะได้มากน้อย แต่อยากให้ได้เห็นภาพ
ตอนพี่ปี 4 นี่คือใสๆไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่ก็พยายามคิดว่า เดี๋ยวผ่านไป ประสบการณ์ที่มากขึ้นบวกกับความพยายามจะช่วยเราเอง
แล้วมันก็ค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆนะ
ด้วยความหวังในชีวิตที่ชัดเจนว่า เราจะต้องเป็นหมอให้ได้
และเราจะไม่ล้มเลิกความพยายาม
เราจะไม่ถอดใจ ไม่ว่าอุปสรรคใดๆจะเข้ามา
เวลาผ่านไปจนจบปี 6 ก็ผ่านมาได้นะ เกรดก็ไม่ได้ดีอะไรมาก
จบมายังงงๆอยู่
พอไปใช้ทุน 3 ปี กลับมาเรียนอีก 3 ปี ตอนนั้นแหละ ถึงรู้เรื่องรู้ราวกะเค้าขึ้นมาแล้ว
มองย้อนกลับไปนะ ใช้เวลาตั้งกี่ปี กว่าจะมาถึงจุดที่รักษาคนไข้ได้และรู้สึกอิ่มเอมใจทุกวันๆ มีความสุขโดยไม่ต้องนั่งค้นหาตัวเอง มันรู้สึกดีใจที่เราไม่ถอดใจ และดีใจที่เวลาไม่เคยสูญเปล่า
ตอนนี้พี่ก็เป็นหมอมาได้ 10 ปีแล้ว
ไม่เคยเสียใจแม้สักวันเดียวที่ได้เป็นหมอ มันมีความสุขนะ เวลาเราเศร้า เราท้อใจ กลายเป็นว่า การได้ดูแลคนไข้นั่นแหละที่เป็นสิ่งที่ทำให้เราหายเหนื่อย หายท้อ หายเศร้าใจ มันรู้สึกปลื้มใจ และปีติยินดีนะ

พี่จะสอนน้องๆอยู่เสมอว่า
คนเราต้องมีเป้าหมายในชีวิต
1) เป้าหมายระยะสั้น
2) เป้าหมายระยะยาว
อย่าลืมจุดนี้ที่สำคัญมากๆ
ลองนึกภาพเปรียบเสมือนว่า เรากำลังลอยอยู่ในมหาสมุทรนะ
ถ้าในคืนที่มืดมิดมองไม่เห็นแม้แต่แสงไฟ ถามว่า เราจะลอยไปทางไหน เราจะมีแรงว่ายน้ำไปทางไหน และไปเพื่ออะไร?
เป้าหมายในชีวิตก็คือ ประภาคาร ที่ส่องแสงให้เรารู้ว่า ยังมีจุดหมายที่เราจะต้องไปให้ถึง
การไม่มีเป้าหมายก็คือการที่ไม่มีแสงไฟ ทุกอย่างมืดสนิทนั่นเองนะ

เป้าหมายระยะสั้น คือสิ่งที่ผ่านเข้ามาอาจทำให้สุขชั่วคราว เป้าหมายระยะยาวสำหรับพี่คือการค้นหาตัวตน ความปรารถนาที่แท้จริงในชีวิต
คนเราควรจะมองออกไปข้างหน้าให้ไกลเข้าไว้ แต่มองใกล้ก็สำคัญ
เหมือนกับการเดินทาง
สมมุติว่า เราก้มหน้าก้มตาเดิน มองแค่ไม่เกินสามก้าวที่เราเดินอยู่ จริงอยู่ว่า เราจะไม่สะดุดล้ม เพราะเรามัวแต่ระวังแค่ตรงหน้าของเรา
แต่ถามว่า..ถ้าเรามัวแต่ก้มมองพื้อนอยู่อย่างนั้น
เราจะมองเห็นภูเขา หรือทะเลที่สวยสดงดงามข้างหน้านั่นมั้ย

พี่เป็นคนชอบเปรียบเทียบให้เห็นภาพ หวังว่าสิ่งที่พี่พยายามพิมพ์นี้ จะได้เข้าไปถึงจิตใจของน้องบ้างไม่มากก็น้อย
จะบอกว่า ชีวิตคนเรา มีปัญหาและอุปสรรคเพื่อเข้ามาทดสอบว่า เราเก่งมากขนาดไหน
รู้หรือเปล่าว่า น้องสอบติดเข้ามา น้องเก่งมากขนาดไหน และมีคุณค่ามากขนาดไหน
ถอดใจไปตอนนี้
ความฝันของเราจะเป็นจริงได้หรือไม่
ถอดใจไปตอนนี้
เราจะมีความสุขจริงหรือไม่

ถ้าผ่านไปได้นะ แล้วมองย้อนกลับมา น้องจะรู้สึกว่า เฮ้ยที่เราผ่านมาได้ เราเก่งมากเลย แล้วความภูมิใจนั้นก็คือความสุขของเราที่ไม่มีที่ใดเปรียบเหมือน

ยังไงก็ขอเป็นกำลังใจให้น้องสามารถข้ามผ่านอุปสรรคนี้ไปได้นะ
ปัญหาอยู่ไม่นาน ถ้าเราเรียนรู้ที่จะต่อสู้กับมันนะคะ
ความคิดเห็นที่ 2
คุณเลือกชีวิตคุณได้
คุณบรรลุนิติภาวะแล้ว
ไม่มีความสุขกับการทำงานดูแลผู้ป่วย นับเป็นความเสี่ยงอย่างยิ่งทั้งต่อตนเองและผู้ป่วย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่