สมัยเด็กๆเคยนั่งรถประจำไปโรงเรียน
มีเพื่อนๆคุยเฮฮาไปด้วยระหว่างทางทุกวัน
แต่มาวันนึง
ทุกคนพร้อมใจกันไม่คุยกับเราคนเดียว
ถามอะไรก็ไม่ตอบ ซ้ำยังมองกลับมาด้วยหางตา..
รู้สึกต่ำต้อยมาก
เหมือนตัวเองเป็นคนไร้คุณค่า
ทั้งๆที่ไม่รู้เลยว่าทำอะไรผิด
เป็นแบบนี้อยู่แค่วันเดียวก็ทนไม่ไหว
รีบถามขึ้นมากลางวงว่าเกิดอะไรขึ้น
จึงรู้ว่าเราเผลอไปเหยียบแก้วพลาสติกเพื่อนแตกตอนก้าวขึ้นรถ
ไม่น่าเชื่อว่าแค่คำขอโทษคำเดียว
ก็ทำให้เรากลับมาคุยสนุกกันเหมือนเดิมอีกครั้ง
นั่นคือข้อดีของความเป็นเด็ก
ที่ไม่มีทิฐิมานะ
จนคิดว่าการขอโทษและการให้อภัยเป็นเรื่องยาก
ไม่อายที่จะถามว่าเค้าโกรธอะไร
และไม่อายที่จะเล่าว่าเราโกรธทำไม
นี่คงเป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่ไม่ค่อยมี..
.....................................
เราต่างก็อยู่ในโลกของการกระทบกระทั่ง
แต่ทุกการกระเทือนไม่มีค่าอะไรแก่การยึดถือ
เพราะไม่นานเราทุกคนก็ต้องจากโลกนี้ไป
ไม่เหลือเค้าหรือเราอีกต่อไป
ควรแล้วหรือที่จะผลาญเวลาน้อยนิดนี้ไปกับความเกลียดชัง..
เขียนกระทู้นี้เพราะคิดถึงเรื่องในวัยเด็กอีกครั้ง
ในวันที่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องถูกมองด้วยหางตา..
ในวันที่ถูกเกลียดชัง..
มีเพื่อนๆคุยเฮฮาไปด้วยระหว่างทางทุกวัน
แต่มาวันนึง
ทุกคนพร้อมใจกันไม่คุยกับเราคนเดียว
ถามอะไรก็ไม่ตอบ ซ้ำยังมองกลับมาด้วยหางตา..
รู้สึกต่ำต้อยมาก
เหมือนตัวเองเป็นคนไร้คุณค่า
ทั้งๆที่ไม่รู้เลยว่าทำอะไรผิด
เป็นแบบนี้อยู่แค่วันเดียวก็ทนไม่ไหว
รีบถามขึ้นมากลางวงว่าเกิดอะไรขึ้น
จึงรู้ว่าเราเผลอไปเหยียบแก้วพลาสติกเพื่อนแตกตอนก้าวขึ้นรถ
ไม่น่าเชื่อว่าแค่คำขอโทษคำเดียว
ก็ทำให้เรากลับมาคุยสนุกกันเหมือนเดิมอีกครั้ง
นั่นคือข้อดีของความเป็นเด็ก
ที่ไม่มีทิฐิมานะ
จนคิดว่าการขอโทษและการให้อภัยเป็นเรื่องยาก
ไม่อายที่จะถามว่าเค้าโกรธอะไร
และไม่อายที่จะเล่าว่าเราโกรธทำไม
นี่คงเป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่ไม่ค่อยมี..
.....................................
เราต่างก็อยู่ในโลกของการกระทบกระทั่ง
แต่ทุกการกระเทือนไม่มีค่าอะไรแก่การยึดถือ
เพราะไม่นานเราทุกคนก็ต้องจากโลกนี้ไป
ไม่เหลือเค้าหรือเราอีกต่อไป
ควรแล้วหรือที่จะผลาญเวลาน้อยนิดนี้ไปกับความเกลียดชัง..
เขียนกระทู้นี้เพราะคิดถึงเรื่องในวัยเด็กอีกครั้ง
ในวันที่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องถูกมองด้วยหางตา..