ไปญี่ปุ่นครั้งแรก 7 คืน 8 วัน ทำงาน+กิน+เที่ยว ที่เมืองฮิเมจิ (Himeji) : ฉันเรียกที่นี่ว่าพรหมลิขิต


[18-25 Jun'17] 7 คืน 8 วัน ทำงาน+กิน+เที่ยว ที่เมืองฮิเมจิ..มาแบบไม่ทันตั้งตัว..หลงรัก..แบบไม่ทันตั้งใจ


เคยได้ยินคำถามนี้อยู่บ่อยๆ ว่า "คุณเชื่อเรื่องพรหมลิขิตไหม??"
เมื่อก่อนก็ไม่รู้หรอก..ว่ามันคืออะไร หน้าตาเป็นยังไง แล้วมันมีอยู่จริงไหม
จนกระทั่ง ได้มาเจอกับสิ่งที่เราอยากเรียกมันว่าอย่างนั้น

MY DESTINY : พรหมลิขิต


ใครจะไปคิดว่านั่งทำงานอยู่ดีๆเจ้านายจะโทรศัพท์มาเรียกให้ขึ้นไปพบที่ห้องประชุมแล้วแจ้งเรื่องที่ไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าจะให้เราไปทำงานที่ญี่ปุ่น 1 สัปดาห์ เอ่อ..คือ..ทันทีที่ได้รับแจ้งอย่างนั้น..เงิบค่ะ เดินออกจากห้องประชุมตอนนี้ทันไหม? มองหน้าเจ้านายแล้วทำหน้าเอ๋อๆเหมือนคนสติหลุด คือได้รับแจ้งวันจันทร์แล้วต้องเดินทางวันอาทิตย์ ขอเวลาทำใจ T_T

ที่ต้องเอ๋อขนาดนี้คือไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศมาก่อนค่ะ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตแล้วต้องไปประเทศญี่ปุ่น!!! ไม่รู้ว่าจะตื่นเต้นดีใจหรือยังไงดี ขออนุญาตเจ้านายโทรบอกที่บ้านแพร๊บบบบ ซึ่งเจ้านายก็ไม่ขัดข้องอะไร พอโทรไปบอกเท่านั้นคนที่บ้านดีใจกันใหญ่ คือ..ตกลงเราก็ต้องดีใจใช่มะ?? บอกแล้วว่ารู้สึกอะไรไม่ถูกจริงๆ ในตอนนั้นมันค่อนข้างกังวลมากกว่าว่าจะเป็นยังไง เพราะบอกแล้วว่าเราไม่เคยไปต่างประเทศ สำหรับเราคือมันเป็นเรื่องใหญ่ ไม่รู้ว่าจะต้องเตรียมตัวยังไง ภาษาญี่ปุ่นนี่ไม่ได้เลย รู้คำเดียวแค่ อาริกาโตะ แปลว่าขอบคุณ แล้ว..จะรอดมั้ยย??

เรื่องของเรื่องคืองานของบริษัทซึ่งถูกส่งขายไปที่ญี่ปุ่นเจอปัญหาที่โน่นค่ะ บริษัทเลยต้องส่งคนไป sort และด้วยความที่ตำแหน่งของเราคือ QA Eng หวยก็เลยมาออกที่เรา โชคดีอย่างหนึ่งคือไม่ได้ไปคนเดียวเดี่ยวโดด มีพี่อีกสองคนที่บริษัทใหญ่ไปด้วย รวมถึงนายญี่ปุ่นที่จะดูแลเราสามคนตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่โน่น

แล้วก็โชคดีอีกอย่างที่บริษัท support เราทุกอย่างค่ะ ทั้งเรื่องทำพาสปอร์ต (เดี๋ยวจะมารีวิวการทำพาสปอร์ตในกระทู้หน้านะคะ) ข้อมูลการเดินทาง การจองตั๋วเครื่องบิน ที่พัก แม้กระทั่ง...กระเป๋าเดินทาง! ขนาดนั้นจริงๆ^^ แต่ถึงอย่างนั้นหนึ่งสัปดาห์ก่อนเดินทางก็ยังเป็นอะไรที่เรารู้สึกยุ่งยากวุ่นวายมากอยู่ดี ต้องจัดการเรื่องเอกสาร ซึ่งมันก็ไม่มีอะไรนอกจากพาสปอร์ตกับปริ๊นตั๋วเครื่องบินที่เป็น E-Ticket กับใบประกันชีวิตที่ถูกส่งมาให้ทางอีเมล แต่มันยุ่งตรงที่...ต้องหาเวลามานั่งดูรีวิวในอินเตอร์เน็ตเกี่ยวกับการเดินทางไปญี่ปุ่น การจัดกระเป๋า รวมถึงการรับมือกับ ตม.!!!!!!

แต่เอาเถอะ เวลามันจวนตัว เมื่อถึงเวลาแล้วพร้อมหรือไม่ยังไงก็ต้องไป

DAY#1 18 Jun'17
เวลา 05.00 น. เดินทางจากหอพักไปยังสนามบินสุวรรณภูมิ ไปถึงประมาณหกโมงเช้าก็โทรหาพี่อีกสองที่จะไปเจอกันที่สนามบิน โชคดีที่เจอกันไวเลยเบาใจไปเปราะหนึ่ง เพราะเชื่อไหมคะว่า..ขนาดสนามบินอินี่ยังไม่เคยไปเหยียบ ครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกที่มาสนามบินสุวรรณภูมิพร้อมๆกับไปต่างประเทศนั่นแหละค่ะ ยอมใจ =_=!!

ขั้นตอนแรกเราไปตรวจสอบเที่ยวบินกันก่อนว่าต้องไปเช็คอินที่ช่องไหน ช่วงนี้เป็นรีบๆเพราะต้องลากกระเป๋าเดินตามตูดพี่อีกสองคนค่ะเลยไม่มีเวลาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเพราะกลัวหลง หลังจากเช็คอินคือเอา E-Ticket ที่ปริ๊นมาไปแลกเป็นตั๋วเครื่องบินพร้อมกับโหลดกระเป๋าเดินทาง



แท๊แด.. ได้ตั๋วเครื่องบินมาแล้ว หน้าตาเป็นแบบนี้^^ เราจะบินไปลงที่สนามบินโอซาก้าค่ะก่อนที่จะต้องเดินทางต่อไปยังเมืองปลายทางของเราซึ่งก็คือเมือง ฮิเมจิ^^

และนอกจากตั๋วเครื่องบินแล้วเราก็จะได้ใบขาเข้ากับใบขาออกมาอีก 1 คู่ กรอกข้อมูลที่ใบขาออกแล้วเก็บใบขาเข้าไว้ยื่นตอนที่เราเดินทางกลับมาค่ะ^^ อันนี้ไม่ได้ถ่ายรูปอีกเช่นเคยเพราะกลัวตามพี่เขาไม่ทัน แต่ยังไงก็ขอเอาข้อมูลประกอบจากอินเตอร์เน็ตมาให้ดูเป็นแนวทางก็แล้วกันนะคะ

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

หลังจากนั้นเราก็เดินๆ ไปที่ด่าน ตม. จะมีเจ้าหน้าที่แนะนำค่ะ ยื่นพาสปอร์ตให้เจ้าหน้าที่ยัดเข้าเครื่อง^^ แล้วเราก็เดินผ่านประตูเข้าไปแสกนนิ้วและจ้องตากับกล้อง พอผ่านแล้วประตูก็จะเปิดเราก็เดินออกมา จบขั้นตอน^^ แล้วก็ไปที่ด่านถัดไป ตรวจสัมภาระ อันนี้ห้ามนำของเหลวผ่านในปริมาณที่มากกว่า 100 ml นะคะ ถ้ามีในกระเป๋าคือต้องทิ้ง เราต้องวางกระเป๋าไว้ในตะกร้ารวมถึงถอดรองเท้า ถอดเสื้อคลุมใส่ในตะกร้าไว้ค่ะ ปล่อยให้ตะกร้ามันเลื่อนผ่านเครื่องตรวจไป เราเองก็ต้องไปแสกนร่างกายที่เครื่องแสกนเช่นกัน จะมีเจ้าหน้าที่ยืนประจำอยู่คอยแนะนำเราค่ะ ไม่ต้องห่วง พอเดินออกจากเครื่องแสกนก็มีเจ้าหน้าที่ยืนตรวจอีกทีหนึ่ง พอผ่านแล้วก็ไปเก็บกระเป๋าได้เลย

ผ่านขั้นตอนนี้ก็โล่งเลยค่ะ จะไปเดินช้อปปิ้ง (มีร้านให้ช้อปเยอะแยะ แต่แอบแพงนิดนุง 55) เข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยก่อนไปขึ้นเครื่อง พอดีมีเวลาเหลือเยอะเราก็เดินโต๋เต๋ดูของกันไป สักพักจึงไปรอที่เกทรอขึ้นเครื่องค่ะ

ความจริงเครื่องออกเวลา 08.25 น. แต่เราต้องมารอก่อนเวลา Boarding ที่ระบุไว้ในตั๋วซึ่งก็คือเวลา 07.40 น.ค่ะ เมื่อถึงเวลาก็จะมีพนักงานของสายการบินถือป้ายมายืนประจำจุดพร้อมกับเสียงประกาศว่าให้คลาสไหนไปขึ้นเครื่องได้ พอถึงคลาสของเราเราก็ลุกเดินไปเข้าแถว พนักงานจะตรวจตั๋วกับพาสปอร์ตเสร็จแล้วเราก็เดินไปขึ้นเครื่องได้เล้ยยยยยย

เย่ๆๆๆๆ ขึ้นเครื่องบินครั้งแรก ตื่นเต้นแค่ไหน ถามใจดู^^

***ทุกขั้นตอนก่อนขึ้นเครื่องต้องใช้พาสปอร์ตนะคะ ถือไว้ดีๆ ในที่ที่หยิบสะดวก ห้ามหายเด็ดขาดนะ***

พอขึ้นมาหาที่นั่งเจอเรียบร้อย เราก็จะพบกับอุปกรณ์การนอนค่ะ 555+ เวลาเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมงก็ต้องมีหลับกันบ้างหละ มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง



ตามภาพเลยนะคะก็จะมีหนังสือ เป็นหนังสือแนะนำแหล่งท่องเที่ยวของไทยกับหนังสือขายสินค้าปลอดภาษีค่ะ ถ้าสนใจสามารถสั่งกับพนักงานของสายการบินได้ นอกจากนั้นก็จะมีเอกสารแนะนำความปลอดภัยด้วย ก่อนเครื่องขึ้นก็จะมีพนักงานของสายการบินชี้แจงเรื่องนี้อีกครั้งค่ะ
หมอนนุ่มมากขอบอกกกก ขาไปเราไม่รู้ประโยชน์ของมันเลยเอามานอนกอด มารู้ตอนขากลับว่ามันดีมากๆ เดี๋ยวเก็บไว้บอกตอนขากลับละกันโน๊ะ^^ แล้วก็มีหูฟัง เอาไว้ดูหนัง ฟังเพลง สบายใจ

พอสำรวจโน่นนี่นั่นเสร็จก็หยิบสายเข็มขัดนิรภัยมาคาดเอาไว้ก่อนเลย ถ้าเราห่มผ้าให้คาดเข็มขัดไว้นอกผ้าห่มนะคะ ก่อนถึงเวลาเครื่องออกจะมีพนักงานของสายการบินเดินมาตรวจความเรียบร้อยอีกที อ้อ..กระเป๋าสะพายที่เราเอาติดตัวขึ้นมาด้วยให้วางบนช่องเก็บของเหนือศีรษะหรือไม่ก็ช่องใต้เบาะด้านหน้าของเราเท่านั้นนะคะ ห้ามวางกีดขวางทางเดินเด็ดขาด^^

และแล้วก็ถึงเวลา..เครื่องขึ้น...บินนนนนน
วู้ๆๆๆๆๆๆ ถึงตอนนี้ความตื่นเต้นก็บังเกิดอีกครั้งงงงงงง
ความรู้สึกในตอนที่เครื่องบินกำลังพาเราพุ่งทะยานขึ้นไปแตะที่ปลายฟากฟ้า.. จริงๆถ้าคนที่ไม่รู้สึกอะไรก็คงจะเหมือนกับการขึ้นลิฟท์แค่นั้น แต่สำหรับเราไม่ค่ะ มันไม่ใช่แค่นั้น มันรู้สึกพิเศษจนบอกไม่ถูก เหมือนเรากำลังทะยานขึ้นไปหาสิ่งที่อยู่สูงๆ สูงสุดจนเอื้อมไม่ถึงแต่เราก็ได้ขึ้นมาสัมผัสมันจนได้ ความฝัน.. เหมือนเวลาที่เราทะยานขึ้นไปแตะสิ่งที่เราใฝ่ฝัน มันเป็นอะไรประมาณนั้น แบบฟ้าววววววว!! มันสูงจนคิดว่าจะไปไม่ถึง แต่ที่สุดก็ไปถึง แล้วพอได้ขึ้นมาอยู่ตรงนี้แล้วมองออกไป รู้สึกโล่ง สบายใจ ดีต่อใจ ทุกอย่างมันช่างสวยงาม



ขาไปเราไม่ได้นั่งติดหน้าต่าง แต่พี่ที่นั่งข้างๆกันถ่ายรูปให้ สวยมากค่ะ^^ พอมองออกไปแล้วเห็นก้อนเมฆหนาบ้าง บางบ้างเคลื่อนผ่านหน้าเราไป คือ..ชอบมาก มันเป็นความรู้สึกอีกแบบที่เราไม่เคยสัมผัสมาก่อนและไม่เคยรู้ว่ามันจะทำให้รู้สึกดีได้ขนาดนี้

ข้างบนท้องฟ้า..มันสวยงาม

พอขึ้นมาถึงความสูงในระดับคงที่ พนักงานของสายการบินประกาศบอกว่าตอนนี้เรากำลังบินอยู่ที่ระดับความสูง 37,000 ฟุต ใช้เวลาประมาณ 4.6 ชม.จะถึงสนามบินโอซาก้า เราก็โอเค ในระหว่างนี้ก็จิ้มๆหน้าจอตรงหน้าหาเพลงฟัง ดูหนังไปเรื่อย ซึ่งก็มีทั้งเพลงไทยเพลงนอก หนังไทยหนังนอก และก็มีอีกอย่างที่น่าสนใจคือเป็นรายการแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย เราก็นั่งดูอันนี้แหละ สนุก เหมือนเราได้ไปเที่ยวทั่วไทยในเวลาเดียวกัน^^

สักพัก..อาหารมาเสิร์ฟแล้ววววว ท้าดาาาา มีให้เลือกสองอย่าง จำไม่ได้ว่าข้าวหมูแดงรึเปล่ากับซุปเห็ด เราก็เลือกซุปเห็ดละกัน^^ จะไปต่างประเทศทั้งทีต้องอินเตอร์ 55



อาหารบนเครื่องบินมื้อนี้ ซุปเห็ด แล้วก็จะมีโยเกิร์ต ผลไม้ น้ำส้ม มีเมนูน้ำให้เลือกหลายอย่างทั้งน้ำผลไม้ ชา เครื่องดื่มแอลกอฮอลก็มีนะ รวมถึงน้ำเปล่า ก็ตามใจชอบเลย เอร็ดอร่อยกันไป กินข้าวเสร็จสักพักก็จะมีพนักงานเอาเอกสาร 2 ใบมาแจกให้กรอก เป็นใบ ตม. กับใบกงศุลสำหรับเข้าประเทศญี่ปุ่นค่ะ หน้าตาก็จะประมาณนี้



ซ้ายมือเป็นใบ ตม. ขวามือเป็นใบกงศุลค่ะ ส่วนรายละเอียดการกรอกขออนุญาตใช้ข้อมูลประกอบจากอินเตอร์เน็ตเช่นเดิมนะคะ

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

เขียนเสร็จก็เก็บไว้ให้ดี ตอนไปถึงได้ใช้แน่นอนค่ะ หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว จะดูวิวนอกหน้าต่างก็ไม่สะดวกเพราะแสงจ้ามากจนต้องปิดหน้าต่าง ไม่มีอะไรทำก็ดูหนัง ฟังเพลง นอนนนน Zzzz

เวลาประมาณบ่าย 3 โมง 45 นาที ตามเวลาของญี่ปุ่น มาถึงญี่ปุ่นแล้วนับเวลาแบบญี่ปุ่นเลยละกัน (เวลาที่ญี่ปุ่นเร็วกว่าไทย 2 ชั่วโมงค่ะ) ก็มาถึงโอซาก้า เย่ๆๆๆ แต่กว่าเครื่องจะจอด กว่าจะได้ลงเครื่องก็ประมาณ 4 โมงเย็น ก่อนลงจากเครื่องพนักงานของสายการบินก็จะประกาศบอกว่าเที่ยวบินของเรารับกระเป๋าได้ที่ช่องไหน พอลงจากเครื่องก็ต้องเดินมารอขึ้นรถไฟฟ้าเพื่อเข้าไปยังตัวอาคารที่เป็นด่าน ตม. ค่ะ ณ.จุดนี้ไม่ได้ถ่ายรูปมาอีกแล้วด้วยความรีบ คนก็เยอะ กลัวหลงค่ะ T_T พอเข้ามาถึงด่าน ตม. จะมีแถวแยกกันระหว่างชาวต่างชาติกับชาวญี่ปุ่น เราก็ไปต่อแถวชาวต่างชาติเข้าไปที่ด่านตรวจซึ่งจะมีหลายแถว เราสามารถกระจายไปตามแถวที่ว่างได้ พาสปอร์ตต้องใช้ตลอดนะคะ ต้องถือไว้ให้ดี แนบใบ ตม. กับใบกงศุลไว้ด้วยเลย ไปเจอด่านไหนก็ยื่น อะไรที่เขาต้องใช้เขาก็จะเก็บไป อะไรที่เขาไม่ใช้เขาก็จะคืนเรามา 55 มีการแสกนลายนิ้วมือแล้วก็จ้องตากับกล้อง เจ้าหน้าที่น่ารัก เห็นพาสปอร์ตเราแล้วก็บอกสวัสดีค่ะเป็นภาษาไทยด้วย^^ พอผ่านแล้วก็ไปอีกด่านที่ตรวจใบ ตม.กับพาสปอร์ต มันมาสะดุดตรงเน้.. ทำเอาเราใจกระตุก นึกว่าจะโดนถามยาว เจ้าหน้าที่ดูพาสสปอร์ตเราแล้วก็มองหาอะไรบางอย่างจากที่ที่ไกลออกไป เราก็..มองไรหว่า?? ก็ยิ้มสู้สิคะ สักพักเขาก็เลยถามว่ามากี่คน เราก็อ้อ.. 3 people แล้วก็ชี้ไปที่พี่อีกสองคนที่อยู่กันคนละแถว เขาเลยพยักหน้าแล้วประทับตราลงในพาสปอร์ตให้ แล้วก็เก็บใบ ตม. ไป แค่นั้นผ่าน เย่^^

พี่ที่มาด้วยกันบอกว่าส่วนใหญ่พาสปอร์ตขาว (คือพาสปอร์ตที่ยังไม่เคยเดินทางเหมือนเรานี่แหละ) มักจะถูกถาม แต่ก็ไม่อะไรมากหรอกเพราะในใบ ตม. เราก็กรอกข้อมูลชัดเจนว่าเรามาทำอะไร จริงๆขั้นตอนนี้ตอนก่อนมาเรากังวลมาก กลัวไม่ผ่าน ตม.เพราะเท่าที่ดูรีวิวในเน็ตก็ค่อนข้างโหด แต่พอมาจริงๆแล้วสบายใจค่ะ ไม่มีอะไรยากอย่างที่คิด



หน้าตาตราประทับบนพาสปอร์ตค่ะ

ว้า..จำนวนข้อความเต็มแล้ววว เดี๋ยวมาต่อในคอมเม้นต์วันหลังนะคะ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่