เรื่องนี้ผมดูนานละ ตั้งแต่เข้าไทยใหม่ๆแต่ผมลืมเอามารีวิว วันนี้ว่างๆเลยจัดซะหน่อย
มันเป็น Drama เกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 และเรื่องราวของคนในแถบที่โดนคุกคามจากกลุ่ม Nazi นั่นแหละ แต่ก็ไม่ได้เป็นแนวสงครามจ๋าแบบที่ต้องไล่ยิงกัน หรือเคลื่อนทัพยกพลขึ้นบกแบบหนังสงครามเลือดสาดทั่วๆไป
เพราะหนังภายใต้งานกำกับของ Niki Caro และเขียนบทโดย Angela Workman เรื่องนี้ตั้งใจที่จะทำให้คนดูเห็นภาพที่น่าหดหู่ของสงครามโดยที่ไม่จำเป็นต้องนำเสนอภาพเลือดสาด หรือ ภาพการสู้รบปรบมืออะไรเลย
อย่างแรกเลยผมต้องขอชื่นชมบทสนทนาในบางช่วงบางตอนที่ค่อนข้างทำออกมาให้อารมณ์สมจริงเข้ากับยุคสมัยได้ดี ตัวอย่างเช่น บทพูดในฉากของการเข้าแวดวงสังคมไฮโซของตัวละครในช่วงฉากแรกๆของหนัง (ที่จัดขึ้นในสวนสัตว์ของพระเอก-นางเอก)
นอกจากนี้มันยังให้กลิ่นอายเกี่ยวกับสถานการณ์และความกดดันท่ามกลางบรรยากาศของสงครามโลกครั้งที่ 2 ในช่วงที่นาซีเยอรมนีกำลังเป็นต่อในสนามรบอย่างจางๆด้วย
ดังจะสะท้อนออกมาให้เห็นผ่านบทพูดของพวก Jan (พระเอก แสดงโดย Johan Heidenbergh) และ Antonina (นางเอก แสดงโดย Jessica Chastain)
แถมบทบาท ลักษณะและบุคลิกแบบนาซีเยอรมันยังถูกสื่อออกมาผ่าน character ของ Lutz Heck (แสดงโดย Daniel Bruhl) ที่กึ่งขรึม วางมาด แต่ก็เผยให้เห็นถึงความทะเยอทะยานและความโอหังให้เห็นอยู่เป็นระยะๆ (เหมือนกำลังดู Bruhl แสดงบทพลทหาร Zoller มือ Sniper จาก Inglourious Basterds เลยทีเดียว)
แล้วยังนำเสนอภาพตัวแทนของการหนีภัยสงคราม หนีไฟแค้นของการห้ำหั่นกันของนานาชาติ ให้ออกมาเป้นสัญลักษณ์ผ่านเหล่าสัตว์ในสวนสัตว์ที่แตกตื่น วิ่งหนี และหลุดออกจากกรงมาเพ่นพ่านในที่สาธารณะได้อีกด้วย (แต่ผมคิดว่าฉากนี้ยังทำได้ไม่ค่อยถึงใจซักเท่าไร)
ความเศร้า หดหู่อีกเรื่องที่หนังประเคนให้โดยไม่ต้อง build ก็คือการที่ "สวนสัตว์" หรือ "zoo" ที่ปกติแล้วมักจะให้ภาพของการเป็นกรงเหล็กที่กักขัง ลดทอนอิสรภาพให้แก่สัตว์ป่านั้น มันกลับกลายมาเป็นหลุมหลบภัยที่เปิดกว้างให้มนุษย์(ยิว)ได้สามารถหนีลี้ภัยเข้าไปอาศัยอยู่ได้เป็นปีๆ เพื่อหนีจากภัยที่ใหญ่กว่าอย่างนาซี
กรงขังในหนังนี้จึงแสดงออกมามากกว่าแค่เป็นกรงขัง หากแต่ยังเป็นอุโมงค์ท่จะสามารถนำยิว/มนุษย์ผู้โชคร้ายไปสู่แสงสว่าง ณ ปลายอุโมงค์ได้อีกด้วย (พอตีความออกมาแล้วถือว่าความหมายดีมาก อันนี้ผมชอบมากเลย)
ที่เก็บรายละเอียดได้ดีอีกเรื่องก็คือเรื่องสำเนียงของนักแสดงที่ทำออกมาได้เข้ากับ character ที่ตัวเองเล่นในฐานะชาว Poland แม้ว่านักแสดงหลักจะเป็นชาวอเมริกัน และไม่ใช่ชาว Poland แท้ๆก็ตาม แต่ก็ยังสามารถรักษามาดภาษาอังกฤษลิ้น Polish ไว้ได้ตลอดรอดฝั่ง
ส่วนในด้าน Costume กับ Make-up ผมว่าก็โอเคนะ ในด้านที่ว่าเข้ากับยุคสมัยช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ดี ไมมีปัญหาอะไร ชุดนางเอกไม่ได้สวยจัดจ้านจนสะดุดตาเป็นเจ้าแม่แฟชั่นจนเกินไป เข้ากับลุคส์สาวชนชั้นกลางธรรมดาๆดี ไม่เวอร์ไม่อะไรจนเกินไป
ภาพดูสดใส แจ่มๆ คมชัดดี มุมกล้องก็ชอบโฟกัสรอยยิ้มที่อมทุกข์ และหน้าตาเศร้าๆของนางเอกจังเลย ไม่รู้ทำไม แต่ผมไม่ค่อยชอบนางเอกคนนี้ซักเท่าไร (อาจจะเพราะทรงผม และเค้าโครงหน้าที่ไม่ค่อยสมัยนิยมเท่าไร ก็แหมมันหนังสงครามโลกนี่นา ผมคงไม่ค่อยอินกับแฟชั่นนั้นสักเท่าไร)
ที่ทำออกมาดีที่สุด และให้ความหมายชัดเตะตามากๆเลยก็คือ หนังสะท้อนทัศนคติและมุมมอง ความเป็นไปของคนในสังคมยุคนั้นออกมาได้ดีมาก ผ่านตัวละคร Jan และ Antonina มันทำให้เห็นความสำคัญและบทบาทที่ตายตัวของ "เพศหญิง" และ "เพศชาย" ในยุคนั้น ว่ามีหน้าที่ กับ กลไกการทำงานอย่างไรที่จะอยู่ในสังคม
และยังมีเรื่องของภาพ stereotype ของผู้หญิง และผู้ชายในยุคนั้นให้ดูอีกด้วยว่า ถ้าลองเกิดมาเป็นผู้ชายแล้วต้องออกไปทำอะไร หรือถ้าลองเป็นผู้หญิงใส่กระโปรงแล้วคุณต้องทำอะไรให้ใคร คุณต้องเล่นบทบาทอะไรในเกมกลยุทธ์ของสงคราม (ทุกอย่างมันสะท้อนออกมาหมด ผ่านทั้งตัว Jan และ Antonina ผมชอบตรงนี้มากๆเลย)
แต่สิ่งที่ผมอยากจะบ่นก็คือ วิธีการเล่าเรื่อง กับการดำเนินเรื่องมันเป็นเส้นตรงมากเกินไป ทุกอย่างมันเลยดูง่ายไปหมด ขาดชั้นเชิง ไม่มีความซับซ้อน ไม่มีความลุ้น ความตื่นเต้น หรืออารมณ์อะไรพวกนี้เลย
แถมศิลปะการเล่าเรื่องยังไปได้ไม่ถึงขั้นเท่าไร คือ ยกตัวอย่างเช่นบางฉากมันนึกจะปูทางให้กับอะไรบางอย่าง ซึ่งบางทีมันต้องใช้เวลา build คนดูซักหน่อยละค่อยตัดไปถึงจุดที่ตัวเองปูทางไว้ (เช่นฉากที่นางเอกโดนสบประมาทกลางงานปาร์ตี้ไฮโซ) คือมันไม่มีการเล่นกับจังหวะ เล่นกับสโคปเวลาของหนังเลย นึกจะโดดไปแก้ก็โดดไปแก้เลย
ทำเหมือนไม่ได้วางแผนเรื่องจังหวะของการเล่นกับความรู้สึกคนดู คือสถานการณ์ภายในเรื่อง และปฏิบัติการลับของพวกฝ่ายพระเอก-นางเอกที่แอบทำกันใต้จมูกพวกนาซีเนี่ย มันควรจะดูตื่นเต้น และบีบอารมณ์คนดูออกมามากกว่านี้ได้อะ มันควรจะให้ความรู้สึกกดดันในระหว่างการเดินเรื่องในจุดนั้นๆได้มากกว่านี้
คือมันเนิบซะจนไม่ตื่นเต้น แล้วมาถึงช่วงดนตรีประกอบหนังก็ยังไม่ค่อย build อารมณ์คนดูอีก ทั้งๆที่มันควรจะเข้ามาช่วยตรงนี้ได้แท้ๆ แต่กลับไม่เน้นความสำคัญตรงนี้ เท่ากับพลาดใหญ่ๆเลย
มันเหมือนจะคล้ายๆกับ Hotel Rwanda แต่ผมว่า Hotel Rwanda ทำได้ตื่นเต้นกว่านี้เยอะเลย (อาจจะเป็นเพราะต้องมัวกังวล keep balance กับเรื่องจริง/เรื่องแต่งมากเกินไป บางครั้งเลยทำให้หนังมันอาจจะไม่ค่อยซับซ้อนได้เท่าที่ควรจะเป็น)
ในตอนท้ายเรื่องก็เหมือนกันที่ฝั่งนาซีรู้ตัวว่าโดนหลอก ก็ทำได้ไม่ค่อยเจ็บใจเท่าไร อารมณ์ของ Lutz Heck มันควรจะโกรธ เคียดแค้นได้มากกว่านี้ (อันนี้คงไม่ถือว่าสปอยล์หรอกเนาะ เพราะหนังมันนานแล้ว และในเนื้อเรื่องก็ชี้ให้เห็นแต่แรกแล้วว่าตอนจบจะเป็นยังไง ไม่ซับซ้อน)
คือ มันเก้ๆกั้งๆอะ เขียนบทแบบไปได้ไม่สุด (เหมือนพยายามสร้าง Balance ว่าจะไม่ให้มันดู Dark หรือมัวหมองลงไปมากกว่านี้แล้วอะไรทำนองนั้นน่ะ) หรืออย่างตอนทะเลาะกันระหว่างพระเอกกับนางเอกก็ทำได้ไม่ค่อยดราม่าเท่าไร แถมยังไม่ทิ้งช่วงให้ไฟมันปะทุอีก (ยังดีหน่อยที่ยังแก้สถานการณ์ให้มันดูซึ้งได้บ้างตอนท้ายๆ)
แถมยิวในหนังเรื่องนี้ก็ยังไม่ค่อยน่าสงสารเท่าไร คือมันยังไม่ได้ฉายไปถึงจุดที่ตัวละครต้องเจอกับความโหดร้ายเข้าขั้นกระชากอารมณ์ กระชากจิตใจจนเรียกน้ำตาได้ขนาดนั้นอะ (ผมคิดว่าข้อนี้ก็เป็นจุดอ่อนข้อสำคัญที่หนังทำพลาดไว้อย่างใหญ่ๆเลยนะ แบบที่ไม่น่าจะพลาดได้ ข้อแก้ตัวหลักๆที่พอจะฟังขึ้นสำหรับจุดนี้ก็คงจะเป็นประมาณว่า "หนังเรื่องนี้ ยังต้องเก็บที่ว่างไว้ให้จุด Happy-ending ตอนท้ายเรื่องอีก เลยไม่สามารถทำให้มัน Dark ซะเต็มสูบได้")
ผมเข้าใจนะว่ามันเป็นหนังที่สร้างมาจากเรื่องจริง แต่อย่างไรมันก็เป็นหนัง ที่มีทั้งการเขียนบท การจัดแจงองค์ประกอบอะไรต่างๆใหม่อยู่แล้ว จะแต่งเติม เสริมอารมณ์เข้าไปเพิ่มสักหน่อยก็คงจะไม่เสียหายอะไรหรอก
ภาพก็เหมือนกัน แม้มันจะทำออกมาคมชัด น่าติดตามแต่มันก็ดูสดใสมากไปหน่อย จริงๆน่าจะทำให้ฉาก และบรรยากาศภายในหนังมันดูเหลืองๆ (แสบๆตาแบบใน Poster นี้หน่อย) หรือไม่ก็ทำให้มันมัวหมองกว่านี้ไปแนวๆหนังของ Zack Snyder ไปเลย (แต่อาจจะไม่ต้องถึงกับมืดครึ้มขนาดนั้น คุมโทนหน่อยๆก็พอ)
ภาพการเคลื่อนไหวของสัตว์ที่แตกตื่นจากไฟสงครามก็ดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติเท่าไร คือ movement ของแต่ละตัว มันดูมี pattern มีแบบแผน เคลื่อนที่เป็นบล็อคๆเกินไป (ตรงนี้อาจจะเป็นปัญหาของการตัดต่อภาพที่เก็บรายละเอียดไม่ค่อยแน่นก็เป็นได้)
แต่โดยรวมผมมองว่ามันก็ประสบความสำเร็จในระดับนึงนะ คือมันยังมีกลิ่นไอของความหดหู่ลอยให้เห็นอยู่บ้าง แม้จะไม่ต้องมีฉากฆ่าฟันกัน รบรากันจนเลือดสาด หรือพวกฉากทรมานคนยิวแบบโหดๆอย่างใน The Boy in Striped Pajamas มันก็ดูหดหู่ได้ ซึ่งนี่ก็น่าจะพอเป็นข้อดีข้อหลักๆให้หนังได้เลยแหละ
ถ้าอ่านแล้วชอบก็เรียนเชิญมากดไลค์ที่เพจ วิจารณ์แม๋งทุกอย่าง ด้วยนะครับ :
https://www.facebook.com/critiquesofeverything/
#Nazi
#Germany
#WorldWar
#Poland
#Hollywood
#Zoo
#humanzoo
#Europe
#Drama
[SR] The Zookeeper's Wife หนังสงครามที่น่าหดหู่ แม้ไม่มีเลือดสาด
เรื่องนี้ผมดูนานละ ตั้งแต่เข้าไทยใหม่ๆแต่ผมลืมเอามารีวิว วันนี้ว่างๆเลยจัดซะหน่อย
มันเป็น Drama เกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 และเรื่องราวของคนในแถบที่โดนคุกคามจากกลุ่ม Nazi นั่นแหละ แต่ก็ไม่ได้เป็นแนวสงครามจ๋าแบบที่ต้องไล่ยิงกัน หรือเคลื่อนทัพยกพลขึ้นบกแบบหนังสงครามเลือดสาดทั่วๆไป
เพราะหนังภายใต้งานกำกับของ Niki Caro และเขียนบทโดย Angela Workman เรื่องนี้ตั้งใจที่จะทำให้คนดูเห็นภาพที่น่าหดหู่ของสงครามโดยที่ไม่จำเป็นต้องนำเสนอภาพเลือดสาด หรือ ภาพการสู้รบปรบมืออะไรเลย
อย่างแรกเลยผมต้องขอชื่นชมบทสนทนาในบางช่วงบางตอนที่ค่อนข้างทำออกมาให้อารมณ์สมจริงเข้ากับยุคสมัยได้ดี ตัวอย่างเช่น บทพูดในฉากของการเข้าแวดวงสังคมไฮโซของตัวละครในช่วงฉากแรกๆของหนัง (ที่จัดขึ้นในสวนสัตว์ของพระเอก-นางเอก)
นอกจากนี้มันยังให้กลิ่นอายเกี่ยวกับสถานการณ์และความกดดันท่ามกลางบรรยากาศของสงครามโลกครั้งที่ 2 ในช่วงที่นาซีเยอรมนีกำลังเป็นต่อในสนามรบอย่างจางๆด้วย
ดังจะสะท้อนออกมาให้เห็นผ่านบทพูดของพวก Jan (พระเอก แสดงโดย Johan Heidenbergh) และ Antonina (นางเอก แสดงโดย Jessica Chastain)
แถมบทบาท ลักษณะและบุคลิกแบบนาซีเยอรมันยังถูกสื่อออกมาผ่าน character ของ Lutz Heck (แสดงโดย Daniel Bruhl) ที่กึ่งขรึม วางมาด แต่ก็เผยให้เห็นถึงความทะเยอทะยานและความโอหังให้เห็นอยู่เป็นระยะๆ (เหมือนกำลังดู Bruhl แสดงบทพลทหาร Zoller มือ Sniper จาก Inglourious Basterds เลยทีเดียว)
แล้วยังนำเสนอภาพตัวแทนของการหนีภัยสงคราม หนีไฟแค้นของการห้ำหั่นกันของนานาชาติ ให้ออกมาเป้นสัญลักษณ์ผ่านเหล่าสัตว์ในสวนสัตว์ที่แตกตื่น วิ่งหนี และหลุดออกจากกรงมาเพ่นพ่านในที่สาธารณะได้อีกด้วย (แต่ผมคิดว่าฉากนี้ยังทำได้ไม่ค่อยถึงใจซักเท่าไร)
ความเศร้า หดหู่อีกเรื่องที่หนังประเคนให้โดยไม่ต้อง build ก็คือการที่ "สวนสัตว์" หรือ "zoo" ที่ปกติแล้วมักจะให้ภาพของการเป็นกรงเหล็กที่กักขัง ลดทอนอิสรภาพให้แก่สัตว์ป่านั้น มันกลับกลายมาเป็นหลุมหลบภัยที่เปิดกว้างให้มนุษย์(ยิว)ได้สามารถหนีลี้ภัยเข้าไปอาศัยอยู่ได้เป็นปีๆ เพื่อหนีจากภัยที่ใหญ่กว่าอย่างนาซี
กรงขังในหนังนี้จึงแสดงออกมามากกว่าแค่เป็นกรงขัง หากแต่ยังเป็นอุโมงค์ท่จะสามารถนำยิว/มนุษย์ผู้โชคร้ายไปสู่แสงสว่าง ณ ปลายอุโมงค์ได้อีกด้วย (พอตีความออกมาแล้วถือว่าความหมายดีมาก อันนี้ผมชอบมากเลย)
ที่เก็บรายละเอียดได้ดีอีกเรื่องก็คือเรื่องสำเนียงของนักแสดงที่ทำออกมาได้เข้ากับ character ที่ตัวเองเล่นในฐานะชาว Poland แม้ว่านักแสดงหลักจะเป็นชาวอเมริกัน และไม่ใช่ชาว Poland แท้ๆก็ตาม แต่ก็ยังสามารถรักษามาดภาษาอังกฤษลิ้น Polish ไว้ได้ตลอดรอดฝั่ง
ส่วนในด้าน Costume กับ Make-up ผมว่าก็โอเคนะ ในด้านที่ว่าเข้ากับยุคสมัยช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ดี ไมมีปัญหาอะไร ชุดนางเอกไม่ได้สวยจัดจ้านจนสะดุดตาเป็นเจ้าแม่แฟชั่นจนเกินไป เข้ากับลุคส์สาวชนชั้นกลางธรรมดาๆดี ไม่เวอร์ไม่อะไรจนเกินไป
ภาพดูสดใส แจ่มๆ คมชัดดี มุมกล้องก็ชอบโฟกัสรอยยิ้มที่อมทุกข์ และหน้าตาเศร้าๆของนางเอกจังเลย ไม่รู้ทำไม แต่ผมไม่ค่อยชอบนางเอกคนนี้ซักเท่าไร (อาจจะเพราะทรงผม และเค้าโครงหน้าที่ไม่ค่อยสมัยนิยมเท่าไร ก็แหมมันหนังสงครามโลกนี่นา ผมคงไม่ค่อยอินกับแฟชั่นนั้นสักเท่าไร)
ที่ทำออกมาดีที่สุด และให้ความหมายชัดเตะตามากๆเลยก็คือ หนังสะท้อนทัศนคติและมุมมอง ความเป็นไปของคนในสังคมยุคนั้นออกมาได้ดีมาก ผ่านตัวละคร Jan และ Antonina มันทำให้เห็นความสำคัญและบทบาทที่ตายตัวของ "เพศหญิง" และ "เพศชาย" ในยุคนั้น ว่ามีหน้าที่ กับ กลไกการทำงานอย่างไรที่จะอยู่ในสังคม
และยังมีเรื่องของภาพ stereotype ของผู้หญิง และผู้ชายในยุคนั้นให้ดูอีกด้วยว่า ถ้าลองเกิดมาเป็นผู้ชายแล้วต้องออกไปทำอะไร หรือถ้าลองเป็นผู้หญิงใส่กระโปรงแล้วคุณต้องทำอะไรให้ใคร คุณต้องเล่นบทบาทอะไรในเกมกลยุทธ์ของสงคราม (ทุกอย่างมันสะท้อนออกมาหมด ผ่านทั้งตัว Jan และ Antonina ผมชอบตรงนี้มากๆเลย)
แต่สิ่งที่ผมอยากจะบ่นก็คือ วิธีการเล่าเรื่อง กับการดำเนินเรื่องมันเป็นเส้นตรงมากเกินไป ทุกอย่างมันเลยดูง่ายไปหมด ขาดชั้นเชิง ไม่มีความซับซ้อน ไม่มีความลุ้น ความตื่นเต้น หรืออารมณ์อะไรพวกนี้เลย
แถมศิลปะการเล่าเรื่องยังไปได้ไม่ถึงขั้นเท่าไร คือ ยกตัวอย่างเช่นบางฉากมันนึกจะปูทางให้กับอะไรบางอย่าง ซึ่งบางทีมันต้องใช้เวลา build คนดูซักหน่อยละค่อยตัดไปถึงจุดที่ตัวเองปูทางไว้ (เช่นฉากที่นางเอกโดนสบประมาทกลางงานปาร์ตี้ไฮโซ) คือมันไม่มีการเล่นกับจังหวะ เล่นกับสโคปเวลาของหนังเลย นึกจะโดดไปแก้ก็โดดไปแก้เลย
ทำเหมือนไม่ได้วางแผนเรื่องจังหวะของการเล่นกับความรู้สึกคนดู คือสถานการณ์ภายในเรื่อง และปฏิบัติการลับของพวกฝ่ายพระเอก-นางเอกที่แอบทำกันใต้จมูกพวกนาซีเนี่ย มันควรจะดูตื่นเต้น และบีบอารมณ์คนดูออกมามากกว่านี้ได้อะ มันควรจะให้ความรู้สึกกดดันในระหว่างการเดินเรื่องในจุดนั้นๆได้มากกว่านี้
คือมันเนิบซะจนไม่ตื่นเต้น แล้วมาถึงช่วงดนตรีประกอบหนังก็ยังไม่ค่อย build อารมณ์คนดูอีก ทั้งๆที่มันควรจะเข้ามาช่วยตรงนี้ได้แท้ๆ แต่กลับไม่เน้นความสำคัญตรงนี้ เท่ากับพลาดใหญ่ๆเลย
มันเหมือนจะคล้ายๆกับ Hotel Rwanda แต่ผมว่า Hotel Rwanda ทำได้ตื่นเต้นกว่านี้เยอะเลย (อาจจะเป็นเพราะต้องมัวกังวล keep balance กับเรื่องจริง/เรื่องแต่งมากเกินไป บางครั้งเลยทำให้หนังมันอาจจะไม่ค่อยซับซ้อนได้เท่าที่ควรจะเป็น)
ในตอนท้ายเรื่องก็เหมือนกันที่ฝั่งนาซีรู้ตัวว่าโดนหลอก ก็ทำได้ไม่ค่อยเจ็บใจเท่าไร อารมณ์ของ Lutz Heck มันควรจะโกรธ เคียดแค้นได้มากกว่านี้ (อันนี้คงไม่ถือว่าสปอยล์หรอกเนาะ เพราะหนังมันนานแล้ว และในเนื้อเรื่องก็ชี้ให้เห็นแต่แรกแล้วว่าตอนจบจะเป็นยังไง ไม่ซับซ้อน)
คือ มันเก้ๆกั้งๆอะ เขียนบทแบบไปได้ไม่สุด (เหมือนพยายามสร้าง Balance ว่าจะไม่ให้มันดู Dark หรือมัวหมองลงไปมากกว่านี้แล้วอะไรทำนองนั้นน่ะ) หรืออย่างตอนทะเลาะกันระหว่างพระเอกกับนางเอกก็ทำได้ไม่ค่อยดราม่าเท่าไร แถมยังไม่ทิ้งช่วงให้ไฟมันปะทุอีก (ยังดีหน่อยที่ยังแก้สถานการณ์ให้มันดูซึ้งได้บ้างตอนท้ายๆ)
แถมยิวในหนังเรื่องนี้ก็ยังไม่ค่อยน่าสงสารเท่าไร คือมันยังไม่ได้ฉายไปถึงจุดที่ตัวละครต้องเจอกับความโหดร้ายเข้าขั้นกระชากอารมณ์ กระชากจิตใจจนเรียกน้ำตาได้ขนาดนั้นอะ (ผมคิดว่าข้อนี้ก็เป็นจุดอ่อนข้อสำคัญที่หนังทำพลาดไว้อย่างใหญ่ๆเลยนะ แบบที่ไม่น่าจะพลาดได้ ข้อแก้ตัวหลักๆที่พอจะฟังขึ้นสำหรับจุดนี้ก็คงจะเป็นประมาณว่า "หนังเรื่องนี้ ยังต้องเก็บที่ว่างไว้ให้จุด Happy-ending ตอนท้ายเรื่องอีก เลยไม่สามารถทำให้มัน Dark ซะเต็มสูบได้")
ผมเข้าใจนะว่ามันเป็นหนังที่สร้างมาจากเรื่องจริง แต่อย่างไรมันก็เป็นหนัง ที่มีทั้งการเขียนบท การจัดแจงองค์ประกอบอะไรต่างๆใหม่อยู่แล้ว จะแต่งเติม เสริมอารมณ์เข้าไปเพิ่มสักหน่อยก็คงจะไม่เสียหายอะไรหรอก
ภาพก็เหมือนกัน แม้มันจะทำออกมาคมชัด น่าติดตามแต่มันก็ดูสดใสมากไปหน่อย จริงๆน่าจะทำให้ฉาก และบรรยากาศภายในหนังมันดูเหลืองๆ (แสบๆตาแบบใน Poster นี้หน่อย) หรือไม่ก็ทำให้มันมัวหมองกว่านี้ไปแนวๆหนังของ Zack Snyder ไปเลย (แต่อาจจะไม่ต้องถึงกับมืดครึ้มขนาดนั้น คุมโทนหน่อยๆก็พอ)
ภาพการเคลื่อนไหวของสัตว์ที่แตกตื่นจากไฟสงครามก็ดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติเท่าไร คือ movement ของแต่ละตัว มันดูมี pattern มีแบบแผน เคลื่อนที่เป็นบล็อคๆเกินไป (ตรงนี้อาจจะเป็นปัญหาของการตัดต่อภาพที่เก็บรายละเอียดไม่ค่อยแน่นก็เป็นได้)
แต่โดยรวมผมมองว่ามันก็ประสบความสำเร็จในระดับนึงนะ คือมันยังมีกลิ่นไอของความหดหู่ลอยให้เห็นอยู่บ้าง แม้จะไม่ต้องมีฉากฆ่าฟันกัน รบรากันจนเลือดสาด หรือพวกฉากทรมานคนยิวแบบโหดๆอย่างใน The Boy in Striped Pajamas มันก็ดูหดหู่ได้ ซึ่งนี่ก็น่าจะพอเป็นข้อดีข้อหลักๆให้หนังได้เลยแหละ
ถ้าอ่านแล้วชอบก็เรียนเชิญมากดไลค์ที่เพจ วิจารณ์แม๋งทุกอย่าง ด้วยนะครับ : https://www.facebook.com/critiquesofeverything/
#Nazi
#Germany
#WorldWar
#Poland
#Hollywood
#Zoo
#humanzoo
#Europe
#Drama