ทักทาย สวัสดีครับ วันนี้มีโอกาสเขียนบทความให้อ่านกันเล่นๆอีกแล้ว
เนื่องจากผู้เขียนได้ดูตัวอย่างหนังเรื่อง The Zookeeper's Wife เห็นว่าสร้างจากเรื่องจริง ด้วยความอยากรู้(อีกแล้ว) เลยไปหาข้อมูลมาอ่านเล่นๆ
พอได้รับรู้เรื่องราวอันน่าทึ่งในวีรกรรมนี้ เลยอยากแชร์ให้อ่านกันครับ
เขียนกันสดๆเลยนะครับ หากมีข้อความใดพิมพ์ผิด ตกหล่น สะกดผิด รบกวนแย้งมาได้เลยนะครับ
เป็นเรื่องราวของ แอนโตนิน่า และ แยน ซาบินสกี้ สองสามีภรรยา ผู้ดูแลสวนสัตว์ในกรุงวอร์วอ ประเทศโปแลนด์ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
อันโตนิน่าเกิดปี ค.ศ. 1908 ส่วนแยนเกิดปี 1897 ทั้งคู่เป็นชาวโปแลนด์ โดยที่แยนทำงานเป็นผู้ดูแลสวนสัตว์
ซ้าย แอนโตนิน่า ซาบินสก้า / ขวา เจสสิก้า แชสเทน ผู้รับบทเป็น แอนโตนิน่า
เรื่องราวนี้มันเริ่มขึ้นจากช่วงต้นของยุค 1930 อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ และพรรคนาซี เรืองอำนาจในเยอรมัน
จากนั้นฮิตเลอร์ได้ได้แอบสะสมอาวุธและกำลังพล และเตรียมการรุกรานประเทศอื่นๆในยุโรป
เริ่มจากปี 1935 ยึดดินแดนที่เรียกว่าไรน์แลนด์คืน โดยมีสันนิบาตชาตินำโดยฝรั่งเศสและอังกฤษดูแลอยู่
แล้วจากนั้นปี 1938 เยอรมันก็รุกรานเชคโกสโลวาเกีย
โดยจากสองเหตุการณ์นี้ทางมหาอำนาจชาติอื่นได้แค่ประท้วงแต่ไม่มีการสู้รบแต่อย่างใด โดยเยอรมันอ้างว่าไรน์แลนด์เป็นของเยอรมัน และปกป้องคนเยอรมันในเชคโกสโลวาเกีย
แต่พอถึงปี 1939 เยอรมันฮึกเหิมใหญ่ บุกโปแลนด์แบบสายฟ้าแลบ ทำให้ ฝร่ั่งเศสและอังกฤษประกาศสงครามกับเยอรมัน
แต่การประกาศสงครามครั้งนี้ ก็แค่ประกาศ ทางฝรั่งเศสและอังกฤษก็ไม่ได้ออกแอ็คชั่นอะไรเลยเกือบเป็นปี
ทำให้ประเทศโปแลนด์ตกอยู่ในมือนาซีเยอรมัน โดยที่ชาวโปแลนด์มีความเป็นอยู่ที่แย่ลง แต่ที่แย่กว่าชาวโปแลนด์เชื้อสายยิว โดนนาซียึดทรัพย์สินและกักกันขาวยิวออกจากสังคมปกติ
ในการบุกแบบสายฟ้าแลบครั้งนี้ เยอรมันยึดกรุงวอร์ซอซึ่งเป็นเมืองหลวงได้ด้วยความรวดเร็ว เรื่องราววีรกรรมเริ่มจากตรงนี้
พอเยอรมันยึดกรุงวอร์ซอได้ ก็จัดระเบียบต่างๆตามแบบของพวกนาซี รวมทั้งสวนสัตว์ของกรุงวอร์วอด้วย ทหารเยอรมันได้สังหารสัตว์ต่างๆโดยไม่มีความปราณี
โดยให้เหตุผลว่าไม่มีความจำเป็นต่อกองทัพ ส่วนสัตว์ที่หายากนั้นก็ได้ส่งไปที่เยอรมัน แต่ที่โชคร้ายกว่าเหล่าสรรพสัตว์ก็คือ "ชาวยิว"
เยอรมันได้สร้าง สลัมกลางกรุงวอร์ซอขึ้นมาชื่อว่า วอร์ซอเก็ตโต้ (Warsaw Ghetto) เป็นเป็นเขตกักกันชาวยิวให้อาศัยอยู่ในสลัมแห่งนี้
สลัมแห่งนี้มีพื้นที่แค่ 3.4 ตรางกิโลเมตร แต่มีชาวยิวอยู่อย่างแออัดยัดเยียดถึง 400,000 กว่าคน
พื้นที่อาณาเขตของสลัมเก็ตโต้ในกรุงวอร์ซอ
ทหารเยอรมันก็ค้นหาชาวยิวที่หลบอยู่แล้วกวาดต้อนให้มาอยู่แค่ในสลัมที่นี้แห่งเดียว
ด้วยนโนบายเหยียดเชื้อชาติของพรรคนาซีอย่างชัดเจน คนบริสุทธิ์ชาวยิวเหล่านี้ต้องมาตายนับล้าน
ทั้งๆที่ไม่ได้มีความผิดอะไร เพียงแค่เกิดมาเป็นชาวยิว ทรัพย์สินทั้งหมดโดนยึด ถูกขับออกจากบ้าน กลายมาเป็นนักโทษในประเทศของตัวเอง
สลัมแห่งนี้เปรียบได้กับนรก สภาพการเป็นอยู่แย่ซะยิ่งกว่าสัตว์ที่อยู่ในสวนสัตว์ซะอีก มีชาวยิวมากมายที่ต้องตาย ไม่ว่าจะจาก การอดอยาก โรคระบาด และการสุ่มฆ่าของทหารเยอรมันอีก(โหดจริง)
ใครได้มาอยู่สลัมแห่งนี้ก็มีแต่รอวันตาย หลังจบสงครามคาดการณ์กันว่ามีชาวยิวตายในสลัมแห่งนี้ประมาณ 300,000 คนเลยทีเดียว
กลับมาที่เรื่องของแอนโตนิน่า เธอเป็นคนที่มีจิตใจโอบอ้อมอารีย์รักสัตว์ หลังจากเหตุการณ์เยอรมันครองโปแลนด์แล้วเธอและสามีก็ยังได้อาศัยในบ้านพักและทำงานดูแลสวนสัตว์เช่นเดิม
แอนโตนิน่าและแยนได้โน้มน้าวทหารเยอรมันอนุญาตให้เข้าไปยังใจกลางสลัมเก็ตโต้เพื่อดูแลพื้นที่ส่วนกลางข้างในได้
ซึ่งทหารเยอรมันก็อนุญาต เพราะคิดว่าคนยิวก็ไม่ต่างจากสัตว์ สมควรแล้วที่จะมีคนดูแลสวนสัตว์เข้าไปดูแลความเป็นอยู่
จากนั้นทั้งคู่ก็เริ่มเข้าไปดูแลภายในสลัม เห็นสภาพความเป็นอยู่ที่แร้นแค้น จึงแอบนำอาหารมาแจกจ่ายคนที่อดอยากและเริ่มวางแผนช่วยเหลือชาวยิวหลบหนี
นับเป็นความกล้าหาญของคนธรรมดาๆอย่างแอนโตนิน่า เธอเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดา เป็นภรรยา เป็นแม่ที่มีลูก ถ้าพลาดขึ้นมานับเป็นหายนะเลยล่ะ เพราะทหารเยอรมันไม่เอาโทษแค่คนทำผิดคนเดียว ยังจะเอาผิดกับคนในครอบครัวด้วย
แต่ด้วยจิตใจที่มีมนุษยธรรมมากกว่าจะกลัวในโทษ จึงได้แอบนำชาวยิวออกมาจากสลัม โดยแรกๆให้หลบอาศัยในบ้านพักของเธอในสวนสัตว์
พอเริ่มมากขึ้นบ้านพักก็ไม่พอ ทั้งคนที่พาแอบเข้ามา และที่หนีมาเอง ผู้หลบหนีเหล่านี้ก็ได้อาศัยกรงสัตว์ที่ว่างเปล่าเป็นที่หลบภัย
จากบันทึกของผู้รอดตายได้กล่าวว่า “หัวหน้าและภรรยามาต้อนรับด้วยขวดวอดก้าในมือ พวกเขาต้อนรับเราอย่างอบอุ่นในห้องใต้ดิน”
แต่แอนโตนิน่า เผยมุมมองที่ต่างออกไปในบันทึกของเธอ “ฉันมองพวกเขาด้วยความหดหู่” เธอเขียน
“เนื้อตัวพวกเขาและวิธีที่เขาพูดทำให้ฉันตาสว่าง ฉันรู้สึกละอายใจที่ช่วยอะไรพวกเขาไม่ได้เลย”
ในการช่วยเหลือ แอนโตนิน่าและแยนจะเรียกชื่อชาวยิวเป็นชื่อลับ โดยเรียกเป็นชื่อของพันธุ์สัตว์ต่างๆเพื่อไม่ให้ทหารเยอรมันได้รู้
แอนโตนิน่าถือว่าผู้หลบหนีเหล่าหนีเป็นแขกของเธอ และดูแลอย่างใส่ใจ เมื่อมีทหารเยอรมันเข้ามาตรวจค้น เธอจะให้ชาวยิวหลบซ่อนตามที่ต่างๆในสวนสัตว์
โดยจะมีเพลงเปียโนออเครสตร้าเป็นสัญญานแจ้งเตือน เมื่อทุกคนได้ยินเสียงนี้จะต้องหาที่หลบซ่อนให้พ้นจากการตรวจค้นของทหารเยอรมัน
แอนโตนิน่าและแยน ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
จากเหตุการณ์นี้แอนโตนิน่าและแยนได้ช่วยเหลือชาวยิวให้รอดตายได้ 300 กว่าคน การกระทำแบบนี้ต้องอาศัยทั้งความกล้า และ จิตใจที่ดีงาม
ทั้งๆที่ไม่ได้รู้จักอะไรกับชาวยิวเหล่านั้น แต่ด้วยจิตใจที่เปี่ยมไปด้วยมนุษยธรรม จากคนธรรมดาๆก็กลายเป็น วีรบุรุษ วีรสตรีได้
แอนโตนิน่าและแยน ซาบินสกี้ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2
ชาวยิวที่รอดตายปัจจุบันนี้บางคนยังมีชีวิตอยู่ เช่น มอเช ทิรอช ที่ปัจจุบันอายุ 80 ปี
เขาได้จดจำเรื่องราวความดีของแอนโตนิน่าและแยนได้ดี นอกจากเขาจะรอดตายแล้ว ทั้ง พ่อ แม่ และน้องสาววัย 4 ขวบของมอเชก็รอดตายด้วย
มอเช ทิรอช ปัจจุบันอาศัยอยู่ในประเทศอิสราเอล
จากเหตุการณ์นี้ทำให้ผมนึกถึงหนังรางวัลออสการ์เรื่อง Schindler's List (1993) ซึ่งคล้ายๆกัน ที่ ออสการ์ ชิลเลอร์ได้แอบช่วยเหลือชาวยิวให้รอดตายจากการเข้าค่ายกักกัน
ถึงแม้ทั้งคู่จะช่วยหลือคนยิวได้แค่ 300 กว่าคนให้รอดตาย จากที่ต้องตายนับล้าน แต่วีรกรรมความกล้าหาญครั้งนี้เป็นที่จดจำของบรรดาผู้รอดชีวิต และลูกๆหลานๆของคนเหล่านั้น
หลังเหตุการณ์นี้ต่อมารัฐบาลอิสราเอลได้เชิดชูเกียรติแอนโตนิน่าและแยนเป็นผู้มีอุปการะคุณต่อประเทศ ถือว่าเป็นเกียรติสูงสุดที่ชาวต่างชาติได้รับจากชาติยิว
แอนโตนิน่าได้เสียชีวิตในปี ค.ศ.1971 (อายุ 63 ปี) ส่วน แยนได้เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1974 (อายุ 77ปี)
ส่วนเทเรซ่า ซาบินสก้าลูกสาวของทั้งคู่ปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่
เทเรซ่า ซาบินสก้า และ เจสสิก้า แชสเทน ผู้รับบทเป็น แอนโตนิน่า ซาบินสก้า ในหนัง
เรื่องราวของ แอนโตนิน่า จะได้รับการถ่ายทอดเป็นหนังสือขายดีเบสต์เซลเลอร์โดย Diane Ackerman ชื่อหนังสือ The Zookeeper's Wife: A War Story
และได้นำมาสร้างเป็นหนังในชื่อ The Zookeeper's Wife นำแสดงโดย เจสสิก้า แชสเทน / แดเนียล บรูห์ล
ซึ่งผมเองก็ยังไม่ได้ดู และตั้งใจว่าสุดสัปดาห์นี้ต้องไปดูให้ได้ เพราะส่วนตัวชอบหนังแนวสร้างจากเรื่องจริง/ชีวประวัติ/ประวัติศาสตร์/สงครามโลก อยู่แล้ว
แถมไปดูคะแนนในเวป IMDb ได้ 7.2 แบบนี้ไม่พลาดแน่นอนสำหรับหนังเรื่องนี้ (อ่านวิจารณ์ต่างๆแล้วก็ว่าเป็นหนังที่ดีมาก)
ท้ายนี้เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของมุมนึงในหน้าประวัติศาสตร์
ปูมหลังโปแลนด์ระหว่างช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
• ช่วงปลายปี 1983 มีประชากรชาวยิว 3.3 ล้านคนในโปแลนด์คิดเป็น 10% ของจำนวนประชากรทั้งหมด เป็นประเทศที่มีชาวยิวอาศัยอยู่มากที่สุดในยุโรปรองจากสหภาพโซเวียต
• ในปี 1939 ทหารเยอรมันเข้ารุกรานโปแลนด์ มีครอบครัวชาวยิว 375000 หลังคาเรียนอาศัยในวอร์ซอหรือเกือบหนึ่งในสามประชากรในเมืองทั้งหมด มีการประมาณว่าในช่วงเวลานี้มีแค่นิวยอร์กเท่านั้นที่มีประชากรยิวมากกว่าวอร์ซอ
• วัฒนธรรมยิวรุ่งโรจน์มากในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ในโปแลนด์ ทั้งสิ่งพิมพ์ การละคร และภาพยนตร์
• ภายใต้อิทธิพลของพรรค Endecja ในช่วงปี 1935 บวกกับการที่พรรคนาซีเยอรมันเถลิงอำนาจทำให้แนวคิดต่อต้านยิวกระจายไปทั่วโปแลนด์ มีการใช้นโยบายกดขี่ชาวยิวเพื่อต้องการลดจำนานประชากรยิวในประเทศให้เหลือเพียง 7.5 ชาวยิวถูกแบนไม่ให้สิทธิทางสังคมบางอย่าง เช่นอาชีพการงานและสวัสดิการ
• คนงานชาวยิวถูกปฏิเสธจากสหภาพแรงงานเขาเลยจัดตั้งของตัวเองขึ้นมา
• ทหารชาวยิวกว่า 130000 นายเข้าร่วมกองทัพโปแลนด์ระหว่างช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นแนวหน้าที่ต่อกรกับกองทัพเยอรมัน ในจำนวนนั้นมีกว่า 61000 ที่ตกเป็นเชลยซึ่งส่วนใหญ่ไม่รอดชีวิต ส่วนคนที่รอดก็กลายเป็นงแรงงานที่ค่ายกักกันเชลย
• ประชากรโปแลนด์กว่าล้านคนเสียชีวิตในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเสียชีวิตที่ค่ายกักกันเชลยทั้งหกแห่งของนาซีหรือตายเพราะความหิวโหยและโรคระบาดในสลัม
• โปแลนด์ ประเทศฝั่งยุโรปตะวันออกถูกเยอรมันรุกรานตามล่าชาวยิวตามนโยบายของพรรคนาซี มีการสร้างสลัมในประเทศต่างๆขึ้นมาระหว่างช่วง 1939-1940 ทันทีที่รุกรานโปแลนด์นาซีตั้งแคมป์สังหารขึ้นมาเพื่อจัดการกับชาวยิวโดยเฉพาะมันเปิดทำการช่วงเดือนธันวาคม 1941 เพียงแค่ไม่กี่เดือนมีชาวยิวตกเป็นเหยื่อทีค่ายแห่งนี้เกือบสามแสนคน ไม่เว้นแม้แต่เด็กและคนแก่
• ชาวยิวทุกคนโปแลนด์ระหว่างช่วงที่เยอรมันยึดครองต้องลงทะเบียนกับรัฐบาล มีบัตรประจำตัวและช่วง 1941 ประชาชนชาวยิวทุกคนยกเว้นเด็กถูกบังคับให้ใส่ปลอกแขนเป็นรูปดาวหกแฉก (blue Star of David)
• คนทีเห็นใจชาวยิวกลัวเกินไปที่จะช่วยพวกเขา เพราะทหารนาซีในโปแลนด์ไม่ได้ลงโทษแค่ชาวยิวแต่ยังประหารคนที่ช่วยเหลือรวมทั้งครอบครัวแม้กระทั่งเพื่อนบ้านด้วยซ้ำ
จบแล้วครับสำหรับบทความนี้ ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้นะครับ ^^
แอนโตนิน่า ซาบินสกี้ วีรสตรีที่โลกลืม
เนื่องจากผู้เขียนได้ดูตัวอย่างหนังเรื่อง The Zookeeper's Wife เห็นว่าสร้างจากเรื่องจริง ด้วยความอยากรู้(อีกแล้ว) เลยไปหาข้อมูลมาอ่านเล่นๆ
พอได้รับรู้เรื่องราวอันน่าทึ่งในวีรกรรมนี้ เลยอยากแชร์ให้อ่านกันครับ
เขียนกันสดๆเลยนะครับ หากมีข้อความใดพิมพ์ผิด ตกหล่น สะกดผิด รบกวนแย้งมาได้เลยนะครับ
เป็นเรื่องราวของ แอนโตนิน่า และ แยน ซาบินสกี้ สองสามีภรรยา ผู้ดูแลสวนสัตว์ในกรุงวอร์วอ ประเทศโปแลนด์ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
อันโตนิน่าเกิดปี ค.ศ. 1908 ส่วนแยนเกิดปี 1897 ทั้งคู่เป็นชาวโปแลนด์ โดยที่แยนทำงานเป็นผู้ดูแลสวนสัตว์
ซ้าย แอนโตนิน่า ซาบินสก้า / ขวา เจสสิก้า แชสเทน ผู้รับบทเป็น แอนโตนิน่า
เรื่องราวนี้มันเริ่มขึ้นจากช่วงต้นของยุค 1930 อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ และพรรคนาซี เรืองอำนาจในเยอรมัน
จากนั้นฮิตเลอร์ได้ได้แอบสะสมอาวุธและกำลังพล และเตรียมการรุกรานประเทศอื่นๆในยุโรป
เริ่มจากปี 1935 ยึดดินแดนที่เรียกว่าไรน์แลนด์คืน โดยมีสันนิบาตชาตินำโดยฝรั่งเศสและอังกฤษดูแลอยู่
แล้วจากนั้นปี 1938 เยอรมันก็รุกรานเชคโกสโลวาเกีย
โดยจากสองเหตุการณ์นี้ทางมหาอำนาจชาติอื่นได้แค่ประท้วงแต่ไม่มีการสู้รบแต่อย่างใด โดยเยอรมันอ้างว่าไรน์แลนด์เป็นของเยอรมัน และปกป้องคนเยอรมันในเชคโกสโลวาเกีย
แต่พอถึงปี 1939 เยอรมันฮึกเหิมใหญ่ บุกโปแลนด์แบบสายฟ้าแลบ ทำให้ ฝร่ั่งเศสและอังกฤษประกาศสงครามกับเยอรมัน
แต่การประกาศสงครามครั้งนี้ ก็แค่ประกาศ ทางฝรั่งเศสและอังกฤษก็ไม่ได้ออกแอ็คชั่นอะไรเลยเกือบเป็นปี
ทำให้ประเทศโปแลนด์ตกอยู่ในมือนาซีเยอรมัน โดยที่ชาวโปแลนด์มีความเป็นอยู่ที่แย่ลง แต่ที่แย่กว่าชาวโปแลนด์เชื้อสายยิว โดนนาซียึดทรัพย์สินและกักกันขาวยิวออกจากสังคมปกติ
ในการบุกแบบสายฟ้าแลบครั้งนี้ เยอรมันยึดกรุงวอร์ซอซึ่งเป็นเมืองหลวงได้ด้วยความรวดเร็ว เรื่องราววีรกรรมเริ่มจากตรงนี้
พอเยอรมันยึดกรุงวอร์ซอได้ ก็จัดระเบียบต่างๆตามแบบของพวกนาซี รวมทั้งสวนสัตว์ของกรุงวอร์วอด้วย ทหารเยอรมันได้สังหารสัตว์ต่างๆโดยไม่มีความปราณี
โดยให้เหตุผลว่าไม่มีความจำเป็นต่อกองทัพ ส่วนสัตว์ที่หายากนั้นก็ได้ส่งไปที่เยอรมัน แต่ที่โชคร้ายกว่าเหล่าสรรพสัตว์ก็คือ "ชาวยิว"
เยอรมันได้สร้าง สลัมกลางกรุงวอร์ซอขึ้นมาชื่อว่า วอร์ซอเก็ตโต้ (Warsaw Ghetto) เป็นเป็นเขตกักกันชาวยิวให้อาศัยอยู่ในสลัมแห่งนี้
สลัมแห่งนี้มีพื้นที่แค่ 3.4 ตรางกิโลเมตร แต่มีชาวยิวอยู่อย่างแออัดยัดเยียดถึง 400,000 กว่าคน
พื้นที่อาณาเขตของสลัมเก็ตโต้ในกรุงวอร์ซอ
ทหารเยอรมันก็ค้นหาชาวยิวที่หลบอยู่แล้วกวาดต้อนให้มาอยู่แค่ในสลัมที่นี้แห่งเดียว
ด้วยนโนบายเหยียดเชื้อชาติของพรรคนาซีอย่างชัดเจน คนบริสุทธิ์ชาวยิวเหล่านี้ต้องมาตายนับล้าน
ทั้งๆที่ไม่ได้มีความผิดอะไร เพียงแค่เกิดมาเป็นชาวยิว ทรัพย์สินทั้งหมดโดนยึด ถูกขับออกจากบ้าน กลายมาเป็นนักโทษในประเทศของตัวเอง
สลัมแห่งนี้เปรียบได้กับนรก สภาพการเป็นอยู่แย่ซะยิ่งกว่าสัตว์ที่อยู่ในสวนสัตว์ซะอีก มีชาวยิวมากมายที่ต้องตาย ไม่ว่าจะจาก การอดอยาก โรคระบาด และการสุ่มฆ่าของทหารเยอรมันอีก(โหดจริง)
ใครได้มาอยู่สลัมแห่งนี้ก็มีแต่รอวันตาย หลังจบสงครามคาดการณ์กันว่ามีชาวยิวตายในสลัมแห่งนี้ประมาณ 300,000 คนเลยทีเดียว
กลับมาที่เรื่องของแอนโตนิน่า เธอเป็นคนที่มีจิตใจโอบอ้อมอารีย์รักสัตว์ หลังจากเหตุการณ์เยอรมันครองโปแลนด์แล้วเธอและสามีก็ยังได้อาศัยในบ้านพักและทำงานดูแลสวนสัตว์เช่นเดิม
แอนโตนิน่าและแยนได้โน้มน้าวทหารเยอรมันอนุญาตให้เข้าไปยังใจกลางสลัมเก็ตโต้เพื่อดูแลพื้นที่ส่วนกลางข้างในได้
ซึ่งทหารเยอรมันก็อนุญาต เพราะคิดว่าคนยิวก็ไม่ต่างจากสัตว์ สมควรแล้วที่จะมีคนดูแลสวนสัตว์เข้าไปดูแลความเป็นอยู่
จากนั้นทั้งคู่ก็เริ่มเข้าไปดูแลภายในสลัม เห็นสภาพความเป็นอยู่ที่แร้นแค้น จึงแอบนำอาหารมาแจกจ่ายคนที่อดอยากและเริ่มวางแผนช่วยเหลือชาวยิวหลบหนี
นับเป็นความกล้าหาญของคนธรรมดาๆอย่างแอนโตนิน่า เธอเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดา เป็นภรรยา เป็นแม่ที่มีลูก ถ้าพลาดขึ้นมานับเป็นหายนะเลยล่ะ เพราะทหารเยอรมันไม่เอาโทษแค่คนทำผิดคนเดียว ยังจะเอาผิดกับคนในครอบครัวด้วย
แต่ด้วยจิตใจที่มีมนุษยธรรมมากกว่าจะกลัวในโทษ จึงได้แอบนำชาวยิวออกมาจากสลัม โดยแรกๆให้หลบอาศัยในบ้านพักของเธอในสวนสัตว์
พอเริ่มมากขึ้นบ้านพักก็ไม่พอ ทั้งคนที่พาแอบเข้ามา และที่หนีมาเอง ผู้หลบหนีเหล่านี้ก็ได้อาศัยกรงสัตว์ที่ว่างเปล่าเป็นที่หลบภัย
จากบันทึกของผู้รอดตายได้กล่าวว่า “หัวหน้าและภรรยามาต้อนรับด้วยขวดวอดก้าในมือ พวกเขาต้อนรับเราอย่างอบอุ่นในห้องใต้ดิน”
แต่แอนโตนิน่า เผยมุมมองที่ต่างออกไปในบันทึกของเธอ “ฉันมองพวกเขาด้วยความหดหู่” เธอเขียน
“เนื้อตัวพวกเขาและวิธีที่เขาพูดทำให้ฉันตาสว่าง ฉันรู้สึกละอายใจที่ช่วยอะไรพวกเขาไม่ได้เลย”
ในการช่วยเหลือ แอนโตนิน่าและแยนจะเรียกชื่อชาวยิวเป็นชื่อลับ โดยเรียกเป็นชื่อของพันธุ์สัตว์ต่างๆเพื่อไม่ให้ทหารเยอรมันได้รู้
แอนโตนิน่าถือว่าผู้หลบหนีเหล่าหนีเป็นแขกของเธอ และดูแลอย่างใส่ใจ เมื่อมีทหารเยอรมันเข้ามาตรวจค้น เธอจะให้ชาวยิวหลบซ่อนตามที่ต่างๆในสวนสัตว์
โดยจะมีเพลงเปียโนออเครสตร้าเป็นสัญญานแจ้งเตือน เมื่อทุกคนได้ยินเสียงนี้จะต้องหาที่หลบซ่อนให้พ้นจากการตรวจค้นของทหารเยอรมัน
แอนโตนิน่าและแยน ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
จากเหตุการณ์นี้แอนโตนิน่าและแยนได้ช่วยเหลือชาวยิวให้รอดตายได้ 300 กว่าคน การกระทำแบบนี้ต้องอาศัยทั้งความกล้า และ จิตใจที่ดีงาม
ทั้งๆที่ไม่ได้รู้จักอะไรกับชาวยิวเหล่านั้น แต่ด้วยจิตใจที่เปี่ยมไปด้วยมนุษยธรรม จากคนธรรมดาๆก็กลายเป็น วีรบุรุษ วีรสตรีได้
แอนโตนิน่าและแยน ซาบินสกี้ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2
ชาวยิวที่รอดตายปัจจุบันนี้บางคนยังมีชีวิตอยู่ เช่น มอเช ทิรอช ที่ปัจจุบันอายุ 80 ปี
เขาได้จดจำเรื่องราวความดีของแอนโตนิน่าและแยนได้ดี นอกจากเขาจะรอดตายแล้ว ทั้ง พ่อ แม่ และน้องสาววัย 4 ขวบของมอเชก็รอดตายด้วย
มอเช ทิรอช ปัจจุบันอาศัยอยู่ในประเทศอิสราเอล
จากเหตุการณ์นี้ทำให้ผมนึกถึงหนังรางวัลออสการ์เรื่อง Schindler's List (1993) ซึ่งคล้ายๆกัน ที่ ออสการ์ ชิลเลอร์ได้แอบช่วยเหลือชาวยิวให้รอดตายจากการเข้าค่ายกักกัน
ถึงแม้ทั้งคู่จะช่วยหลือคนยิวได้แค่ 300 กว่าคนให้รอดตาย จากที่ต้องตายนับล้าน แต่วีรกรรมความกล้าหาญครั้งนี้เป็นที่จดจำของบรรดาผู้รอดชีวิต และลูกๆหลานๆของคนเหล่านั้น
หลังเหตุการณ์นี้ต่อมารัฐบาลอิสราเอลได้เชิดชูเกียรติแอนโตนิน่าและแยนเป็นผู้มีอุปการะคุณต่อประเทศ ถือว่าเป็นเกียรติสูงสุดที่ชาวต่างชาติได้รับจากชาติยิว
แอนโตนิน่าได้เสียชีวิตในปี ค.ศ.1971 (อายุ 63 ปี) ส่วน แยนได้เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1974 (อายุ 77ปี)
ส่วนเทเรซ่า ซาบินสก้าลูกสาวของทั้งคู่ปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่
เทเรซ่า ซาบินสก้า และ เจสสิก้า แชสเทน ผู้รับบทเป็น แอนโตนิน่า ซาบินสก้า ในหนัง
เรื่องราวของ แอนโตนิน่า จะได้รับการถ่ายทอดเป็นหนังสือขายดีเบสต์เซลเลอร์โดย Diane Ackerman ชื่อหนังสือ The Zookeeper's Wife: A War Story
และได้นำมาสร้างเป็นหนังในชื่อ The Zookeeper's Wife นำแสดงโดย เจสสิก้า แชสเทน / แดเนียล บรูห์ล
ซึ่งผมเองก็ยังไม่ได้ดู และตั้งใจว่าสุดสัปดาห์นี้ต้องไปดูให้ได้ เพราะส่วนตัวชอบหนังแนวสร้างจากเรื่องจริง/ชีวประวัติ/ประวัติศาสตร์/สงครามโลก อยู่แล้ว
แถมไปดูคะแนนในเวป IMDb ได้ 7.2 แบบนี้ไม่พลาดแน่นอนสำหรับหนังเรื่องนี้ (อ่านวิจารณ์ต่างๆแล้วก็ว่าเป็นหนังที่ดีมาก)
ท้ายนี้เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของมุมนึงในหน้าประวัติศาสตร์
ปูมหลังโปแลนด์ระหว่างช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
• ช่วงปลายปี 1983 มีประชากรชาวยิว 3.3 ล้านคนในโปแลนด์คิดเป็น 10% ของจำนวนประชากรทั้งหมด เป็นประเทศที่มีชาวยิวอาศัยอยู่มากที่สุดในยุโรปรองจากสหภาพโซเวียต
• ในปี 1939 ทหารเยอรมันเข้ารุกรานโปแลนด์ มีครอบครัวชาวยิว 375000 หลังคาเรียนอาศัยในวอร์ซอหรือเกือบหนึ่งในสามประชากรในเมืองทั้งหมด มีการประมาณว่าในช่วงเวลานี้มีแค่นิวยอร์กเท่านั้นที่มีประชากรยิวมากกว่าวอร์ซอ
• วัฒนธรรมยิวรุ่งโรจน์มากในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ในโปแลนด์ ทั้งสิ่งพิมพ์ การละคร และภาพยนตร์
• ภายใต้อิทธิพลของพรรค Endecja ในช่วงปี 1935 บวกกับการที่พรรคนาซีเยอรมันเถลิงอำนาจทำให้แนวคิดต่อต้านยิวกระจายไปทั่วโปแลนด์ มีการใช้นโยบายกดขี่ชาวยิวเพื่อต้องการลดจำนานประชากรยิวในประเทศให้เหลือเพียง 7.5 ชาวยิวถูกแบนไม่ให้สิทธิทางสังคมบางอย่าง เช่นอาชีพการงานและสวัสดิการ
• คนงานชาวยิวถูกปฏิเสธจากสหภาพแรงงานเขาเลยจัดตั้งของตัวเองขึ้นมา
• ทหารชาวยิวกว่า 130000 นายเข้าร่วมกองทัพโปแลนด์ระหว่างช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นแนวหน้าที่ต่อกรกับกองทัพเยอรมัน ในจำนวนนั้นมีกว่า 61000 ที่ตกเป็นเชลยซึ่งส่วนใหญ่ไม่รอดชีวิต ส่วนคนที่รอดก็กลายเป็นงแรงงานที่ค่ายกักกันเชลย
• ประชากรโปแลนด์กว่าล้านคนเสียชีวิตในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเสียชีวิตที่ค่ายกักกันเชลยทั้งหกแห่งของนาซีหรือตายเพราะความหิวโหยและโรคระบาดในสลัม
• โปแลนด์ ประเทศฝั่งยุโรปตะวันออกถูกเยอรมันรุกรานตามล่าชาวยิวตามนโยบายของพรรคนาซี มีการสร้างสลัมในประเทศต่างๆขึ้นมาระหว่างช่วง 1939-1940 ทันทีที่รุกรานโปแลนด์นาซีตั้งแคมป์สังหารขึ้นมาเพื่อจัดการกับชาวยิวโดยเฉพาะมันเปิดทำการช่วงเดือนธันวาคม 1941 เพียงแค่ไม่กี่เดือนมีชาวยิวตกเป็นเหยื่อทีค่ายแห่งนี้เกือบสามแสนคน ไม่เว้นแม้แต่เด็กและคนแก่
• ชาวยิวทุกคนโปแลนด์ระหว่างช่วงที่เยอรมันยึดครองต้องลงทะเบียนกับรัฐบาล มีบัตรประจำตัวและช่วง 1941 ประชาชนชาวยิวทุกคนยกเว้นเด็กถูกบังคับให้ใส่ปลอกแขนเป็นรูปดาวหกแฉก (blue Star of David)
• คนทีเห็นใจชาวยิวกลัวเกินไปที่จะช่วยพวกเขา เพราะทหารนาซีในโปแลนด์ไม่ได้ลงโทษแค่ชาวยิวแต่ยังประหารคนที่ช่วยเหลือรวมทั้งครอบครัวแม้กระทั่งเพื่อนบ้านด้วยซ้ำ
จบแล้วครับสำหรับบทความนี้ ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้นะครับ ^^