เวลานี้ยายเชื่อแล้วว่าเป็นความจริงอย่างที่สุด จาก2-3เหตุการณ์จากตัวเองและเพื่อนที่เพิ่งเกิดขึ้นในช่วง2-3เดือนที่ผ่านมา
ก่อนอื่นยายบอกก่อนว่าจะเล่าจากการที่ได้รับถ่ายทอดมาจากปากของเพื่อน และจะไม่เอ่ยชื่อรพ. ลงรายละเอียดการรักษาหรือค่าใช้จ่าย เพราะไม่ได้ต้องการจะบอกว่าใครผิดถูก ใช่หรือไม่ใช่ ยายต้องการแชร์ความคิด และวิธีการรักษาสุขภาพของตัวเอง เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้อื่นเท่านั้น
โดยขอเริ่มจากเพื่อนคนแรก วัยใกล้ 30 มีอาการปวดท้องมากตอนเพื่อนมา* (เพื่อนมา คือ การมีประจำเดือน) จึงตัดสินใจไปพบแพทย์ที่รพ.ชื่อดัง ราคาพรีเมี่ยม ทำการx-ray แล้วได้รับแจ้งว่า มีก้อนเนื้อในมดลูกขนาดเท่าผลส้ม! ต้องผ่าตัดออก เบื้องต้นต้องฉีดยาเตรียมพร้อมก่อน เข็มละหลายหมื่น แต่ไม่ถึงครึ่งแสน แล้วอีกหนึ่งเดือนค่อยทำการผ่าตัด เนื่องจากตกใจกับอาการและอยากหายจึงตัดสินใจฉีดยา แต่พอฉีดไปแล้วก็นึกตะหงิดใจ จึงไปอีก รพ.หนึ่ง (รพ.เอกชน ระดับกลาง) หมอทำการ CT scan แล้วได้รับแจ้งว่า เป็นซีสต์ในมดลูก สามารถฉีดยารักษาไม่ต้องทำการผ่าตัด ทีนี้เพื่อนเริ่มลังเลเพราะผลการตรวจค่อยข้างต่างกันมาก เลยไปพบแพทย์รพ.ที่3 ซึ่งได้รับคำแนะนำว่าท่านนี้เชี้ยวชาญเรื่องระบบภายในของผู้หญิง ก็ได้รับคำวินิจฉัยโรคเหมือนกับ รพ.ที่2 เพื่อนยายจึงตัดสินใจรักษากับคุณหมอที่3 นี้ ...
ต่อมาเพื่อนรุ่นน้อง มีอาการท้องเสีย หยุดงานไป2วัน ต่อมาวันที่3 มีอาการอาเจียนไม่หยุดจึงไปหาหมอที่รพ.เอกชนแห่งหนึ่ง (ใช้ประกันสังคม) ต้องนอนรพ. เนื่องจากลำไส้อักเสบ หลังจากนั้นก็อาเจียนไม่หยุด หายใจไม่สะดวก ตัวเริ่มบวม หน้าบวม โดยเฉพาะท้องบวมมากเห็นได้ชัด มีการตัดปลายลำไส้ไปตรวจก็ไม่พบอาการผิดปกติ ผ่านมาประมาณ 1 อาทิตย์กว่า ทราบว่าอาการทรุดหนัก ไตไม่ทำงานต้องเข้าห้อง ICU ทางญาติเห็นว่าท่าไม่ดีละจึงตัดสินใจไม่รับการรักษาต่อ พากันออกจาก รพ.วันนั้นเลย เพื่อไปที่ รพ.รัฐบาล อีกที่ ก็ได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน ทั้งสอดท่อ เจาะน้ำในปอดออกให้ยาสเตียรอย ประมาณ 1 อาทิตย์กว่า ก็กลับบ้านได้ หมดค่ารักษาไปแสนต้น แต่ก็ต้องไปฝึกการกินใหม่ หัดเดิน เพิ่มน้ำหนัก ห้ามรับประทานผักจนกว่าจะหายปกติ ...
เมื่อ3-4 เดือนก่อน ยายสังเกตุเห็นก้อนเนื้อใต้รักแร้ซ้าย นูนๆขึ้นมาตอนแรกคิดว่าอ้วนขึ้น พอเกิดเรื่องกับเพื่อน ก็เลยกลับมาสังเกตุตัวเองอีกครั้ง ก้อนเนื้อมันใหญ่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ประมาณ 5 ซม. ได้ กดแล้วนิ่มๆไม่แข็ง ไม่เจ็บ อีกอย่างยายเคยผ่าก้อนซีสต์ที่หน้าอกข้างซ้ายตอนวัยรุ่น ประกอบกับข้างขวาไม่เป็น จึงรีบตาลีตาลานไปพบคุณลุงหมอที่ไปหาเป็นประจำ ได้รับวินิจฉัยว่า เป็น ซีสต์ชนิดไขมัน ไม่อันตราย เด่วก็หายไปเอง โล่งใจไปนิดนึง จาก 2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกันกับเพื่อนของยาย เป็นประสบการณ์เตือนใจให้ไม่ประมาทกับเรื่องสุขภาพ จึงไปปรึกษาคุณหมออีกท่านที่เป็นลูกค้าที่ร้านที่ยายทำงาน อธิบายอาการและให้ดูรูปประกอบท่านจึงให้คำแนะนำว่า ไปพบแพทย์ศัลยกรรม ที่ตรวจรักษาเฉพาะทางดีกว่า แล้วก็ได้รับการแนะนำชื่อคุณหมออีกท่านที่ประจำอยู่ รพ.เอกชน แถบชานเมือง ซึ่งท่านเชี่ยวชาญเรื่องศัลยแพทย์ในผู้หญิงมาก พนักงานเงินเดือนอย่างเราก็แอบกลัวเรื่องราคาเหมือนกันนะ ยายก็ปรึกษาลุงหมีน้อย* (ลุงหมีน้อย = แฟนของยาย) ลุงว่าไปเถอะเพื่อความสบายใจ เด่วเค้าจะออกให้เองไม่ต้องเป็นห่วง ^^ อันนี้นอกเรื่องนิดนุง จริงยายก็จ่ายเองได้ไม่เดือดร้อนแต่แบบอยากได้กำลังใจไรอย่างนี้ อ้อนแหละพูดง่ายๆ ^^" เอาละมาที่อาการของโรค คุณหมอท่านนี้วินิจฉัยว่า ยายเป็นโรคเต้านมส่วนเกินที่รักแร้ (สามารถหาอ่านเพิ่มเติมกันได้ใน google จ้า) เนื่องจากก้อนขนาดเล็ก ไม่อันตรายใดๆ วิธีรักษา คือ ดูดไขมัน ก็จะหายทันที อีกวิธี คือ ออกกำลังกาย ลดน้ำหนัก ก็จะทำให้ขนาดเล็กลงได้ และหายไปเอง เสียค่าตรวจไปเฉียดพัน แล้วก็สบายใจ...
สิ่งที่ยายอยากจะบอก คือ ให้ใส่ใจและสังเกตุการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย เมื่อมีข้อสงสัยให้รีบไปพบแพทย์ อันนี้ส่วนตัวนะถ้าเป็นโรคที่ไม่แน่ใจให้หาสัก 2หมอ เพื่อความมั่นใจจะดีกว่า คำว่า "ไม่เป็นไร เด่วก็หายนี้ อันตรายถึงชีวิตได้"
อโรคยา ปรมา ลาภา - ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ
ก่อนอื่นยายบอกก่อนว่าจะเล่าจากการที่ได้รับถ่ายทอดมาจากปากของเพื่อน และจะไม่เอ่ยชื่อรพ. ลงรายละเอียดการรักษาหรือค่าใช้จ่าย เพราะไม่ได้ต้องการจะบอกว่าใครผิดถูก ใช่หรือไม่ใช่ ยายต้องการแชร์ความคิด และวิธีการรักษาสุขภาพของตัวเอง เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้อื่นเท่านั้น
โดยขอเริ่มจากเพื่อนคนแรก วัยใกล้ 30 มีอาการปวดท้องมากตอนเพื่อนมา* (เพื่อนมา คือ การมีประจำเดือน) จึงตัดสินใจไปพบแพทย์ที่รพ.ชื่อดัง ราคาพรีเมี่ยม ทำการx-ray แล้วได้รับแจ้งว่า มีก้อนเนื้อในมดลูกขนาดเท่าผลส้ม! ต้องผ่าตัดออก เบื้องต้นต้องฉีดยาเตรียมพร้อมก่อน เข็มละหลายหมื่น แต่ไม่ถึงครึ่งแสน แล้วอีกหนึ่งเดือนค่อยทำการผ่าตัด เนื่องจากตกใจกับอาการและอยากหายจึงตัดสินใจฉีดยา แต่พอฉีดไปแล้วก็นึกตะหงิดใจ จึงไปอีก รพ.หนึ่ง (รพ.เอกชน ระดับกลาง) หมอทำการ CT scan แล้วได้รับแจ้งว่า เป็นซีสต์ในมดลูก สามารถฉีดยารักษาไม่ต้องทำการผ่าตัด ทีนี้เพื่อนเริ่มลังเลเพราะผลการตรวจค่อยข้างต่างกันมาก เลยไปพบแพทย์รพ.ที่3 ซึ่งได้รับคำแนะนำว่าท่านนี้เชี้ยวชาญเรื่องระบบภายในของผู้หญิง ก็ได้รับคำวินิจฉัยโรคเหมือนกับ รพ.ที่2 เพื่อนยายจึงตัดสินใจรักษากับคุณหมอที่3 นี้ ...
ต่อมาเพื่อนรุ่นน้อง มีอาการท้องเสีย หยุดงานไป2วัน ต่อมาวันที่3 มีอาการอาเจียนไม่หยุดจึงไปหาหมอที่รพ.เอกชนแห่งหนึ่ง (ใช้ประกันสังคม) ต้องนอนรพ. เนื่องจากลำไส้อักเสบ หลังจากนั้นก็อาเจียนไม่หยุด หายใจไม่สะดวก ตัวเริ่มบวม หน้าบวม โดยเฉพาะท้องบวมมากเห็นได้ชัด มีการตัดปลายลำไส้ไปตรวจก็ไม่พบอาการผิดปกติ ผ่านมาประมาณ 1 อาทิตย์กว่า ทราบว่าอาการทรุดหนัก ไตไม่ทำงานต้องเข้าห้อง ICU ทางญาติเห็นว่าท่าไม่ดีละจึงตัดสินใจไม่รับการรักษาต่อ พากันออกจาก รพ.วันนั้นเลย เพื่อไปที่ รพ.รัฐบาล อีกที่ ก็ได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน ทั้งสอดท่อ เจาะน้ำในปอดออกให้ยาสเตียรอย ประมาณ 1 อาทิตย์กว่า ก็กลับบ้านได้ หมดค่ารักษาไปแสนต้น แต่ก็ต้องไปฝึกการกินใหม่ หัดเดิน เพิ่มน้ำหนัก ห้ามรับประทานผักจนกว่าจะหายปกติ ...
เมื่อ3-4 เดือนก่อน ยายสังเกตุเห็นก้อนเนื้อใต้รักแร้ซ้าย นูนๆขึ้นมาตอนแรกคิดว่าอ้วนขึ้น พอเกิดเรื่องกับเพื่อน ก็เลยกลับมาสังเกตุตัวเองอีกครั้ง ก้อนเนื้อมันใหญ่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ประมาณ 5 ซม. ได้ กดแล้วนิ่มๆไม่แข็ง ไม่เจ็บ อีกอย่างยายเคยผ่าก้อนซีสต์ที่หน้าอกข้างซ้ายตอนวัยรุ่น ประกอบกับข้างขวาไม่เป็น จึงรีบตาลีตาลานไปพบคุณลุงหมอที่ไปหาเป็นประจำ ได้รับวินิจฉัยว่า เป็น ซีสต์ชนิดไขมัน ไม่อันตราย เด่วก็หายไปเอง โล่งใจไปนิดนึง จาก 2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกันกับเพื่อนของยาย เป็นประสบการณ์เตือนใจให้ไม่ประมาทกับเรื่องสุขภาพ จึงไปปรึกษาคุณหมออีกท่านที่เป็นลูกค้าที่ร้านที่ยายทำงาน อธิบายอาการและให้ดูรูปประกอบท่านจึงให้คำแนะนำว่า ไปพบแพทย์ศัลยกรรม ที่ตรวจรักษาเฉพาะทางดีกว่า แล้วก็ได้รับการแนะนำชื่อคุณหมออีกท่านที่ประจำอยู่ รพ.เอกชน แถบชานเมือง ซึ่งท่านเชี่ยวชาญเรื่องศัลยแพทย์ในผู้หญิงมาก พนักงานเงินเดือนอย่างเราก็แอบกลัวเรื่องราคาเหมือนกันนะ ยายก็ปรึกษาลุงหมีน้อย* (ลุงหมีน้อย = แฟนของยาย) ลุงว่าไปเถอะเพื่อความสบายใจ เด่วเค้าจะออกให้เองไม่ต้องเป็นห่วง ^^ อันนี้นอกเรื่องนิดนุง จริงยายก็จ่ายเองได้ไม่เดือดร้อนแต่แบบอยากได้กำลังใจไรอย่างนี้ อ้อนแหละพูดง่ายๆ ^^" เอาละมาที่อาการของโรค คุณหมอท่านนี้วินิจฉัยว่า ยายเป็นโรคเต้านมส่วนเกินที่รักแร้ (สามารถหาอ่านเพิ่มเติมกันได้ใน google จ้า) เนื่องจากก้อนขนาดเล็ก ไม่อันตรายใดๆ วิธีรักษา คือ ดูดไขมัน ก็จะหายทันที อีกวิธี คือ ออกกำลังกาย ลดน้ำหนัก ก็จะทำให้ขนาดเล็กลงได้ และหายไปเอง เสียค่าตรวจไปเฉียดพัน แล้วก็สบายใจ...
สิ่งที่ยายอยากจะบอก คือ ให้ใส่ใจและสังเกตุการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย เมื่อมีข้อสงสัยให้รีบไปพบแพทย์ อันนี้ส่วนตัวนะถ้าเป็นโรคที่ไม่แน่ใจให้หาสัก 2หมอ เพื่อความมั่นใจจะดีกว่า คำว่า "ไม่เป็นไร เด่วก็หายนี้ อันตรายถึงชีวิตได้"