.
นับตั้งแต่ที่ได้ชายที่ชื่อว่า เจอร์เก้น คล้อป เข้ามาคุมพวกมาลัย ระบบเครื่องยนต์กลไกของทีมลิเวอร์พูล ทีมที่มีระดับดีกรีความคลาสสิคไม่ยิ่งหย่อนกว่าทีมใดในโลก ก็ถูกรื้อประกอบใหม่ ใช้อะไหล่ชื้นเก่าปรับแต่งให้เข้ากับ
ระบบเทอร์โบชาร์จ ที่ชื่อว่า Gegenpressing ที่ถูกนำมารีดแรงม้านักเตะเพื่อพาทีมทะยานไปข้างหน้าแบบเต็มสปีด เสริมด้วยอะไหล่ชิ้นใหม่เพื่อเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปหรือไม่ดีพอสำหรับการวิ่งไปสู่จุดหมายปลายทางที่วางไว้
มาเน่ มาติป ไวนาดุม คืออะไหล่ชิ้นใหม่ที่ว่านั้นในปีก่อน แม้ฤดูกาลแรกที่เป็นการคุมทีมแบบเต็มๆของคล็อป จะเจอปัญหาระหว่างทาง ชิ้นส่วนบางชิ้นเกิดชำรุดเพราะทำงานหนักเกินไป อะไหล่สำรองที่มีอยู่ในทีมชุดสอง ก็ไม่ดีพอที่จะเค้นกำลังให้ทีมวิ่งได้เต็มสปีดเหมือนกับอะไหล่ตัวหลักได้ จึงจอดป้ายได้ที่สี่ในการแข่งขัน
จนวันนี้แฟนๆต่างฝากความหวังว่า คล้อปคงจะเพิ่มเติมใครเข้ามาเป็นอะไหล่แบบนั้นอีกสักครั้งในปีนี้ โซลันเก้ และ ซาล่าห์ คือสองตัวใหม่ที่เข้ามาเป็นชิ้นส่วนขับเคลื่อนทีมแล้ว ภายใต้การควบคุมของคล้อป แต่ก็เหมือนยังไม่น่าจะพอ หากอยากขับเคลื่อนไปให้ไกลกับโปรแกรมการแข่งขันที่มากขึ้นเพราะฟุตบอลถ้วยยุโรป ก็เลยยังตั้งตารอคอยข่าวชูเสื้อของนักเตะใหม่รายต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ
แต่วันนี้ไม่ได้จะมาพูดถึงนักเตะใหม่ที่คล้อปหอบหิ้วเข้ามาแล้ว หรือกำลังจะหอบหิ้วเข้ามาเพื่อปรับแต่งทีม เพราะวันนี้จะขอลองมองดูตัวเก่าที่มีอยู่ ที่สามารถแจ้งเกิดใหม่ภายใต้การควบคุมพวงมาลัยของคล้อปในปีที่ผ่าน จะลองดูกันว่าผู้เล่นเก่าหรืออะไหล่เก่าชิ้นนี้ ทำงานอย่างไรในห้องเครื่องของระบบเทอร์โบชาร์จ Gegenpressing
แน่นอนว่าเขาคนนี้ไม่ใช่ส่วนประกอบที่สำคัญเพียงคนเดียว เพราะห้องเครื่องที่ว่านี้ คือตำแหน่งกองกลาง 3 ตัวในรูปแบบ AMC ที่ทำหน้าที่สนับสนุนทั้งรุกและรับ ซึ่งในอะไหล่ชุดเดิมปีก่อน มีผู้เล่นตัวหลัก 4 คนที่หมุนเวียนกันทำหน้าที่ตรงนี้ คือ ลัลลาน่า เฮนเดอร์สัน ไวนาดุม และ เอ็นเร่ชาน ที่สลับสับเปลี่ยนประจำการณ์ในแผงกองกลางของระบบ 4-3-3 ที่ใช้เป็นหลักในฤดูกาลก่อน ถึงจะมีผู้เล่นจากทีมชุดสอง ได้โอกาสลองมาทำหน้าที่ช่วยในยามที่บรรดาตัวหลักขาดหายไปบ้าง แต่บอกตรงๆว่า เกรดยังไม่ถึง ระบบการเล่นไม่ลื่นไหลเหมือนเดิม เช่นเดียวกันกับในยามที่จับตัวหลักไปยืนแทนตำแหน่งที่ไม่ได้เล่นประจำ ก็ขลุกขลักอยู่พักใหญ่กว่าจะปรับจูนจนลงตัวได้
ออกตัวไว้ก่อนว่า บทความนี้จะขอวิจารณ์เฉพาะผู้เล่นตัวหลักเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่ลงลึกไปถึงผู้เล่นตัวหลักคนอื่นๆซึ่งมีความสำคัญเช่นกัน เพราะมันจะยาวเกินกว่าจะสรุปเนื้อหาได้กระชับ (เอาไว้วันหลังค่อยเขียนเรื่องคนอื่นต่อไป)
มาว่ากันที่เนื้อหากันต่อ สิ่งแรกที่มิดฟิลด์แบบ AMC ของระบบ Gegenpressing ต้องมี ก็เป็นคุณสมบัติของนักฟุตบอลที่แฟนบอลบางคนเรียกว่าบอล "จับกัง"
ที่ต้องอึด..ทนทายาด วิ่งได้ไม่ยอมหมด รึถึงจะหมดก็ยังต้องวิ่งต่อไป (วิ่งในที่นี้คือการไล่เพลส) ซึ่งเป็นบริบทที่คอบอลมักจะเรียกนักเตะประเภทนี้ ผึ้งงาน และก็เป็นที่มาของการมองว่านักเตะคนหนึ่งของลิเวอร์พูล ที่กำลังจะกล่าวถึงนั้น ก็เป็นถือได้ว่าเป็นผึ้งงาน และตำแหน่งการเล่นของเขานั้น ก็ถือว่าเป็นห้องเครื่องของระบบ Gegenpressing
ซึ่งที่จะเขียนถึงในบทความนี้ก็ คือ
อดัม ลัลลาน่า เป็นชิ้นส่วนเดิมชิ้นสำคัญที่ปรับเข้ากับระบบ Gegenpressing ได้เป็นคนแรกๆในยุคที่เปลี่ยนเจ้านายใหม่ จากผลงานที่ดิ่งลงเหวจนเกือบเป็นการซื้อที่ล้มเหลวจากยุคของ BR เพราะถูกจับไปยืนริมเส้น แต่เมื่อเปลี่ยนเจ้านายเขาถูกคล้อปจับมาคว้านลูกสูบใหม่ ใส่น้ำมันหล่อลื่นเข้าไป ก็กลายเป็นกลไกแกนหลักของทีมได้ และเขาทำหน้าที่ได้ดีเสมอหากบทบาทของเขาคือตัวตรงกลางในสามมิดฟิลด์ AMC เขาถนัดเล่นตรงกลางเยื้องไปทางขวาเพื่อสอดประสานงานกับเพื่อนเก่าจากเซาท์ฯที่ย้ายมาใส่เสื้อหงส์แดงด้วยกันอย่าง ไคลน์ วิงแบ๊คที่เติมขึ้นมาช่วยเกมส์ด้านข้าง หรือจ่ายขึ้นหน้าไปพักบอลที่เฟอร์มิโน่ แล้วตัวเองหาช่องสอดทะลุขึ้นไป ซึ่งเซ้นต์บอลของชายคนนี้ไม่เป็นรองสองสตาร์บราซิลอย่างเฟอร์มิโน่ หรือ คูตินโญ่ในแดนหน้าแต่อย่างไร เพียงแต่ผลงานบางด้านของเขานั้นยังไม่ดีเท่าไรนัก จึงกลายเป็นแค่ตัวช่วยขับเคลื่อนเกมส์ในแนวรุกเท่านั้น ทั้งที่น่าจะทำได้ดีกว่านี้
ทำไมถึงบอกแบบนั้น...? ก็เพราะถึงลัลลาน่าจะยิงได้มากที่สุด ทั้งๆที่เวลาลงเล่นน้อยที่สุด เมื่อเทียบกับคนอื่นๆในแผงกองกลาง(ตามข้อมูลประกอบด้านบน) แต่เขาก็ยังมีจุดบกพร่องที่แฟนบอลที่ได้ชมเกมส์ลิเวอร์พูลปีก่อนบ่อยๆก็น่าจะทราบ
คือลัลลาน่าจบสกอร์ได้ไม่ดีเอาเสียเลย ทั้งที่ชอบสอดเข้าไปยืนในตำแหน่งสวยๆได้ตั้งหลายครั้งแต่กลับทำประตูไม่ได้ในหลายๆครั้ง และยังเป็นคนที่ยิงไกลไม่ดีเพราะไม่มีประตูที่เขาทำได้จากนอกเขตโทษเลย
แต่ถึงอย่างนั้นลัลลาน่าก็ยังเป็นผู้เล่นคนสำคัญของระบบ Gegenpressing เพราะเขาคือคนที่วิ่งไล่แย่งบอลจากทีมคู่แข่งตั้งแต่แดนหน้ามาจนถึงแดนหลังฝั่งตัวเอง
จนถูกบันทึกว่าเขาคือนักฟุตบอลที่วิ่งมากที่สุดในหนึ่งเกมส์ของพรีเมียร์ลีคปี 2016 ด้วยระยะ 12.88Km ในนัดที่ลิเวอร์พูลพบกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และเป็นเจ้าของสถิติปัจจุบันวิ่งมากที่สุดในหนึ่งเกมส์ในพรีเมียร์ลีคปี 2017 นี้ด้วย ด้วยระยะ 13.10 Km ในเกมส์ที่พบกับเลสเตอร์
แม้ว่าระยะทางรวมของการวิ่งทั้งหมดทั้งฤดูกาล เขาจะไม่ได้เป็นคนที่วิ่งที่มากที่สุดของทีมก็ตาม (เยอะที่สุดคือมิลเนอร์ 383Km รองลงมาคือเฟอร์มิโน่ 379 Km ซึ่งเป็นผู้เล่นที่วิ่งเยอะที่สุดในพรีเมียร์ลัคอันดับ 4 และ 8 ตามลำดับ) เพราะด้วยจำนวนนาทีที่ลงเล่นของเขาน้อยกว่าทั้งคู่ แต่หากหารเฉลี่ยต่อเกมส์หรือต่อนาทีที่ลงเล่นแล้ว เขาคือผู้เล่นที่วิ่งระยะทางมากที่สุดของทีมเมื่อฤดูกาลที่แล้ว
ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่อดัม ลัลลาน่า จะกลับมาแจ้งเกิดได้อีกครั้งในยุคของคล้อป
เพราะเขาเข้าใจและปรับตัวเองให้เป็นส่วนหนึ่งของระบบ Gegenpressing อย่างกลมกลืน และไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคล้อปถึงตัดสินใจต่อสัญญาพร้อมอัพราคาค่าเหนื่อยให้กับผู้เล่นที่ทำได้ตามที่เขาต้องการ
และลัลลาน่าก็ยังเป็นผู้เล่นคนสำคัญในสายตาผมกับฤดูกาลใหม่ที่กำลังใกล้จะเปิดฉากขึ้น แม้จะมีเสียงบ่นให้ได้ยินอยู่บ่อยครั้งจากแฟนบอลทีมเดียวกัน ว่าอยากให้ ไวนาดุม หรือ ชาน มาเล่นแทนตำแหน่งลัลลาน่า เพราะคิดว่าน่าจะดีกว่าที่นักเตะเครางามทำได้ และให้ลัลลาน่าไปเป็นตัวเลือกสุดท้ายในแผงกองกลาง 3 ตัว หรือไปเป็นตัวอะไหล่นั่งสำรองที่ข้างสนาม ก็เลยต้องแถมท้ายตามนิสัยที่คนไทยเชื่อกันหน่อย ว่าถ้าคนนั้นคนนี้ลงเล่นแล้วทีมจะไม่แพ้ เห็นพูดกันจังเลยเอาข้อมูลจริงๆมาให้ดูว่าเป็นอย่างไร
จะเห็นได้ว่า ลัลลาน่ามีความสำคัญต่อทีมในการเก็บชัยชนะเป็นอันดับ2 ร่วมกับมาติปเลยนะนั้น รองจากมาเน่แค่คนเดียว แต่จะให้ดีกว่านี้ ก็ขออะไรสักอย่างหนึ่งเถอะ อย่าดีแต่วิ่งอย่างเดียว ช่วยปรับปรุงการยิงประตูทีเถอะ ไปปรับเรด้าห์ที่เท้าบ้างนะ ลูกที่ยืนโล่งๆแล้วยิงวืดระยะ 6 หลาปีก่อนยังหลอกหลอนอยู่เลย
ก็อ่านกันไปเพลินๆในวันหยุดสุดสัปดาห์นะครับ ผมจะพยายามจะตั้งกะทู้แบบนี้บ่อยๆ ห้องพรีเมียร์ลีคจะได้มีเรื่องราวของฟุตบอลจริงๆมาให้แลกเปลี่ยนความเห็นกันบ้าง ไม่ได้มีแต่กะทู้จิกกัด สร้างศัตรู ที่ไม่รู้จะทำไปทำไม...?
ผ่าห้องเครื่อง RED Machine ดูกระบอกสูบ Adam Lallana แรงม้าของระบบเทอร์โบ Gegenpressing
นับตั้งแต่ที่ได้ชายที่ชื่อว่า เจอร์เก้น คล้อป เข้ามาคุมพวกมาลัย ระบบเครื่องยนต์กลไกของทีมลิเวอร์พูล ทีมที่มีระดับดีกรีความคลาสสิคไม่ยิ่งหย่อนกว่าทีมใดในโลก ก็ถูกรื้อประกอบใหม่ ใช้อะไหล่ชื้นเก่าปรับแต่งให้เข้ากับ ระบบเทอร์โบชาร์จ ที่ชื่อว่า Gegenpressing ที่ถูกนำมารีดแรงม้านักเตะเพื่อพาทีมทะยานไปข้างหน้าแบบเต็มสปีด เสริมด้วยอะไหล่ชิ้นใหม่เพื่อเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปหรือไม่ดีพอสำหรับการวิ่งไปสู่จุดหมายปลายทางที่วางไว้
มาเน่ มาติป ไวนาดุม คืออะไหล่ชิ้นใหม่ที่ว่านั้นในปีก่อน แม้ฤดูกาลแรกที่เป็นการคุมทีมแบบเต็มๆของคล็อป จะเจอปัญหาระหว่างทาง ชิ้นส่วนบางชิ้นเกิดชำรุดเพราะทำงานหนักเกินไป อะไหล่สำรองที่มีอยู่ในทีมชุดสอง ก็ไม่ดีพอที่จะเค้นกำลังให้ทีมวิ่งได้เต็มสปีดเหมือนกับอะไหล่ตัวหลักได้ จึงจอดป้ายได้ที่สี่ในการแข่งขัน
จนวันนี้แฟนๆต่างฝากความหวังว่า คล้อปคงจะเพิ่มเติมใครเข้ามาเป็นอะไหล่แบบนั้นอีกสักครั้งในปีนี้ โซลันเก้ และ ซาล่าห์ คือสองตัวใหม่ที่เข้ามาเป็นชิ้นส่วนขับเคลื่อนทีมแล้ว ภายใต้การควบคุมของคล้อป แต่ก็เหมือนยังไม่น่าจะพอ หากอยากขับเคลื่อนไปให้ไกลกับโปรแกรมการแข่งขันที่มากขึ้นเพราะฟุตบอลถ้วยยุโรป ก็เลยยังตั้งตารอคอยข่าวชูเสื้อของนักเตะใหม่รายต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ
แต่วันนี้ไม่ได้จะมาพูดถึงนักเตะใหม่ที่คล้อปหอบหิ้วเข้ามาแล้ว หรือกำลังจะหอบหิ้วเข้ามาเพื่อปรับแต่งทีม เพราะวันนี้จะขอลองมองดูตัวเก่าที่มีอยู่ ที่สามารถแจ้งเกิดใหม่ภายใต้การควบคุมพวงมาลัยของคล้อปในปีที่ผ่าน จะลองดูกันว่าผู้เล่นเก่าหรืออะไหล่เก่าชิ้นนี้ ทำงานอย่างไรในห้องเครื่องของระบบเทอร์โบชาร์จ Gegenpressing
แน่นอนว่าเขาคนนี้ไม่ใช่ส่วนประกอบที่สำคัญเพียงคนเดียว เพราะห้องเครื่องที่ว่านี้ คือตำแหน่งกองกลาง 3 ตัวในรูปแบบ AMC ที่ทำหน้าที่สนับสนุนทั้งรุกและรับ ซึ่งในอะไหล่ชุดเดิมปีก่อน มีผู้เล่นตัวหลัก 4 คนที่หมุนเวียนกันทำหน้าที่ตรงนี้ คือ ลัลลาน่า เฮนเดอร์สัน ไวนาดุม และ เอ็นเร่ชาน ที่สลับสับเปลี่ยนประจำการณ์ในแผงกองกลางของระบบ 4-3-3 ที่ใช้เป็นหลักในฤดูกาลก่อน ถึงจะมีผู้เล่นจากทีมชุดสอง ได้โอกาสลองมาทำหน้าที่ช่วยในยามที่บรรดาตัวหลักขาดหายไปบ้าง แต่บอกตรงๆว่า เกรดยังไม่ถึง ระบบการเล่นไม่ลื่นไหลเหมือนเดิม เช่นเดียวกันกับในยามที่จับตัวหลักไปยืนแทนตำแหน่งที่ไม่ได้เล่นประจำ ก็ขลุกขลักอยู่พักใหญ่กว่าจะปรับจูนจนลงตัวได้
ออกตัวไว้ก่อนว่า บทความนี้จะขอวิจารณ์เฉพาะผู้เล่นตัวหลักเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่ลงลึกไปถึงผู้เล่นตัวหลักคนอื่นๆซึ่งมีความสำคัญเช่นกัน เพราะมันจะยาวเกินกว่าจะสรุปเนื้อหาได้กระชับ (เอาไว้วันหลังค่อยเขียนเรื่องคนอื่นต่อไป)
มาว่ากันที่เนื้อหากันต่อ สิ่งแรกที่มิดฟิลด์แบบ AMC ของระบบ Gegenpressing ต้องมี ก็เป็นคุณสมบัติของนักฟุตบอลที่แฟนบอลบางคนเรียกว่าบอล "จับกัง" ที่ต้องอึด..ทนทายาด วิ่งได้ไม่ยอมหมด รึถึงจะหมดก็ยังต้องวิ่งต่อไป (วิ่งในที่นี้คือการไล่เพลส) ซึ่งเป็นบริบทที่คอบอลมักจะเรียกนักเตะประเภทนี้ ผึ้งงาน และก็เป็นที่มาของการมองว่านักเตะคนหนึ่งของลิเวอร์พูล ที่กำลังจะกล่าวถึงนั้น ก็เป็นถือได้ว่าเป็นผึ้งงาน และตำแหน่งการเล่นของเขานั้น ก็ถือว่าเป็นห้องเครื่องของระบบ Gegenpressing
ซึ่งที่จะเขียนถึงในบทความนี้ก็ คือ
อดัม ลัลลาน่า เป็นชิ้นส่วนเดิมชิ้นสำคัญที่ปรับเข้ากับระบบ Gegenpressing ได้เป็นคนแรกๆในยุคที่เปลี่ยนเจ้านายใหม่ จากผลงานที่ดิ่งลงเหวจนเกือบเป็นการซื้อที่ล้มเหลวจากยุคของ BR เพราะถูกจับไปยืนริมเส้น แต่เมื่อเปลี่ยนเจ้านายเขาถูกคล้อปจับมาคว้านลูกสูบใหม่ ใส่น้ำมันหล่อลื่นเข้าไป ก็กลายเป็นกลไกแกนหลักของทีมได้ และเขาทำหน้าที่ได้ดีเสมอหากบทบาทของเขาคือตัวตรงกลางในสามมิดฟิลด์ AMC เขาถนัดเล่นตรงกลางเยื้องไปทางขวาเพื่อสอดประสานงานกับเพื่อนเก่าจากเซาท์ฯที่ย้ายมาใส่เสื้อหงส์แดงด้วยกันอย่าง ไคลน์ วิงแบ๊คที่เติมขึ้นมาช่วยเกมส์ด้านข้าง หรือจ่ายขึ้นหน้าไปพักบอลที่เฟอร์มิโน่ แล้วตัวเองหาช่องสอดทะลุขึ้นไป ซึ่งเซ้นต์บอลของชายคนนี้ไม่เป็นรองสองสตาร์บราซิลอย่างเฟอร์มิโน่ หรือ คูตินโญ่ในแดนหน้าแต่อย่างไร เพียงแต่ผลงานบางด้านของเขานั้นยังไม่ดีเท่าไรนัก จึงกลายเป็นแค่ตัวช่วยขับเคลื่อนเกมส์ในแนวรุกเท่านั้น ทั้งที่น่าจะทำได้ดีกว่านี้
ทำไมถึงบอกแบบนั้น...? ก็เพราะถึงลัลลาน่าจะยิงได้มากที่สุด ทั้งๆที่เวลาลงเล่นน้อยที่สุด เมื่อเทียบกับคนอื่นๆในแผงกองกลาง(ตามข้อมูลประกอบด้านบน) แต่เขาก็ยังมีจุดบกพร่องที่แฟนบอลที่ได้ชมเกมส์ลิเวอร์พูลปีก่อนบ่อยๆก็น่าจะทราบ คือลัลลาน่าจบสกอร์ได้ไม่ดีเอาเสียเลย ทั้งที่ชอบสอดเข้าไปยืนในตำแหน่งสวยๆได้ตั้งหลายครั้งแต่กลับทำประตูไม่ได้ในหลายๆครั้ง และยังเป็นคนที่ยิงไกลไม่ดีเพราะไม่มีประตูที่เขาทำได้จากนอกเขตโทษเลย
แต่ถึงอย่างนั้นลัลลาน่าก็ยังเป็นผู้เล่นคนสำคัญของระบบ Gegenpressing เพราะเขาคือคนที่วิ่งไล่แย่งบอลจากทีมคู่แข่งตั้งแต่แดนหน้ามาจนถึงแดนหลังฝั่งตัวเอง จนถูกบันทึกว่าเขาคือนักฟุตบอลที่วิ่งมากที่สุดในหนึ่งเกมส์ของพรีเมียร์ลีคปี 2016 ด้วยระยะ 12.88Km ในนัดที่ลิเวอร์พูลพบกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และเป็นเจ้าของสถิติปัจจุบันวิ่งมากที่สุดในหนึ่งเกมส์ในพรีเมียร์ลีคปี 2017 นี้ด้วย ด้วยระยะ 13.10 Km ในเกมส์ที่พบกับเลสเตอร์
แม้ว่าระยะทางรวมของการวิ่งทั้งหมดทั้งฤดูกาล เขาจะไม่ได้เป็นคนที่วิ่งที่มากที่สุดของทีมก็ตาม (เยอะที่สุดคือมิลเนอร์ 383Km รองลงมาคือเฟอร์มิโน่ 379 Km ซึ่งเป็นผู้เล่นที่วิ่งเยอะที่สุดในพรีเมียร์ลัคอันดับ 4 และ 8 ตามลำดับ) เพราะด้วยจำนวนนาทีที่ลงเล่นของเขาน้อยกว่าทั้งคู่ แต่หากหารเฉลี่ยต่อเกมส์หรือต่อนาทีที่ลงเล่นแล้ว เขาคือผู้เล่นที่วิ่งระยะทางมากที่สุดของทีมเมื่อฤดูกาลที่แล้ว
ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่อดัม ลัลลาน่า จะกลับมาแจ้งเกิดได้อีกครั้งในยุคของคล้อป เพราะเขาเข้าใจและปรับตัวเองให้เป็นส่วนหนึ่งของระบบ Gegenpressing อย่างกลมกลืน และไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคล้อปถึงตัดสินใจต่อสัญญาพร้อมอัพราคาค่าเหนื่อยให้กับผู้เล่นที่ทำได้ตามที่เขาต้องการ
และลัลลาน่าก็ยังเป็นผู้เล่นคนสำคัญในสายตาผมกับฤดูกาลใหม่ที่กำลังใกล้จะเปิดฉากขึ้น แม้จะมีเสียงบ่นให้ได้ยินอยู่บ่อยครั้งจากแฟนบอลทีมเดียวกัน ว่าอยากให้ ไวนาดุม หรือ ชาน มาเล่นแทนตำแหน่งลัลลาน่า เพราะคิดว่าน่าจะดีกว่าที่นักเตะเครางามทำได้ และให้ลัลลาน่าไปเป็นตัวเลือกสุดท้ายในแผงกองกลาง 3 ตัว หรือไปเป็นตัวอะไหล่นั่งสำรองที่ข้างสนาม ก็เลยต้องแถมท้ายตามนิสัยที่คนไทยเชื่อกันหน่อย ว่าถ้าคนนั้นคนนี้ลงเล่นแล้วทีมจะไม่แพ้ เห็นพูดกันจังเลยเอาข้อมูลจริงๆมาให้ดูว่าเป็นอย่างไร
จะเห็นได้ว่า ลัลลาน่ามีความสำคัญต่อทีมในการเก็บชัยชนะเป็นอันดับ2 ร่วมกับมาติปเลยนะนั้น รองจากมาเน่แค่คนเดียว แต่จะให้ดีกว่านี้ ก็ขออะไรสักอย่างหนึ่งเถอะ อย่าดีแต่วิ่งอย่างเดียว ช่วยปรับปรุงการยิงประตูทีเถอะ ไปปรับเรด้าห์ที่เท้าบ้างนะ ลูกที่ยืนโล่งๆแล้วยิงวืดระยะ 6 หลาปีก่อนยังหลอกหลอนอยู่เลย
ก็อ่านกันไปเพลินๆในวันหยุดสุดสัปดาห์นะครับ ผมจะพยายามจะตั้งกะทู้แบบนี้บ่อยๆ ห้องพรีเมียร์ลีคจะได้มีเรื่องราวของฟุตบอลจริงๆมาให้แลกเปลี่ยนความเห็นกันบ้าง ไม่ได้มีแต่กะทู้จิกกัด สร้างศัตรู ที่ไม่รู้จะทำไปทำไม...?