หลอนวิปลาส.........5 (จบ)

กระทู้สนทนา
.
บทที่ 1
https://ppantip.com/topic/36553008

บทที่ 2
https://ppantip.com/topic/36559240

บทที่ 3
https://ppantip.com/topic/36573449

บทที่ 4
https://ppantip.com/topic/36581411




              ผมลุกขึ้นนั่งบนเตียงอย่างมึนงง เหตุการณ์สยดสยองยังคงประทับแจ่มชัดในความรู้สึกมากกว่าจะเป็นเพียงฝันร้าย เหลียวตัวมองรอบห้องนอนเพื่อความแน่ใจ ทุกอย่างล้วนปกติไม่มีสิ่งผิดแปลกแต่อย่างใด นอกจากแสงสว่างส่องจ้าทางหน้าต่างบ่งบอกถึงรุ่งอรุณของวันใหม่ อาการปวดหนึบอยู่ในหัวเหมือนมีอะไรบางอย่างเข้าไปก่อการจลาจล ความคิดและความทรงจำดูขาดวิ่นเป็นช่วงเหมือนภาพยนตร์ตัดต่อไม่สมบูรณ์

             "ฝันร้าย...บ้าชัดๆ” ผมบ่นพึมพำ ก่อนจะตบต้นคอตัวเองไปมาเพื่อไล่อาการมึนงงในหัวสมองให้หมดไป...ไม่นานนักเสียงหวานใสอันคุ้นเคยดีก็ดังขึ้นมาจากนอกห้องว่า

             "ที่รักคะ คุณไม่รีบอาบน้ำแต่งตัวเหรอ เดี๋ยวก็ไปทำงานสายหรอกค่ะ"

             แค่ได้ยินเสียง ผมก็ใจชื้นขึ้นมาทันที ในที่สุดผมก็ตื่นจากฝันร้าย กลับมาหาคนรักอีกครั้ง จะมีอะไรวิเศษไปกว่าการได้อยู่ใกล้ชิดกับคนรักผู้แสนดี ยังจะมีอะไรวิเศษมากไปกว่านี้

             'เราไม่ได้ฝันไปอีกใช่ไหม'... คำถามผุดขึ้นในใจ ก่อนผมจะลงทุนหยิกต้นแขนตัวเอง แบบเดียวกับหลายคนทำเมื่อไม่แน่ใจว่าตนเองฝันหรือจริง เพื่อให้รู้ว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ความฝันฉากใหม่ แต่เป็นชีวิตในโลกสดใสของความเป็นจริง   คุณอาจจะคิดว่าทั้งหมดที่เล่ามา เป็นฝันร้าย เป็นการหักมุมและผมได้สะดุ้งตื่นขึ้นมา ถ้าคุณคิดเช่นนั้นคุณคิดผิด

             แน่นอน...!นรกของผมยังไม่จบไม่สิ้น คำถามแรกที่ถามเธอคือผมกลับมาบ้านได้อย่างไร และคำตอบของเธอทำให้ผมขนลุกเกรียว

             “เพื่อนของคุณไงคะ เพื่อนคุณขับรถมาส่งคุณที่บ้านเลยทีเดียว แต่เพื่อนคุณดูแปลกจัง เวลาแกยิ้มน่ากลัวชอบกล และขับรถบรรทุกศพมาด้วย”

            คำตอบนั้นทำให้แทบอยากบ้าตายลงในทันใด โลกกำลังสว่างไสวหม่นมัวลงฉับพลัน ถ้าเป็นแบบนี้มันก็แสดงว่าเหตุการณ์ทั้งหมดมีคนรับรู้มากกว่าหนึ่งคน ไม่ใช่ความฝัน... ไอ้คนขับรถยิ้มสยองคันนั้นมีตัวตนจริง แต่น่าสงสัยคือทำไมมันต้องนำผมมาส่งถึงบ้านด้วย มันต้องการอะไร... และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนมันอะไร…มันเป็นเรื่องจริงแน่หรือ! ยิ่งคิดยิ่งปวดหัวจนต้องยกมือกุมขมับ

             “ท่าทางคุณไม่สบายนะคะ”   เธอตั้งข้อสังเกตด้วยน้ำเสียงสีหน้าทางเป็นห่วงขณะใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดหน้าให้ผมอย่างเอาใจใส่ นานแค่ไหนแล้วนะที่ผมป่วยเป็นครั้งสุดท้าย ทำไมนึกไม่ออกเอาเสียเลย สมองมึนชาไปหมด จับต้นชนปลายอะไรไม่ถูก

             “ไม่ต้องห่วงหรอก ผมสบายดี”   ผมพูดปลอบใจ แม้ภายในใจจะรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยปกติเท่าไร ขณะเธอขอตัวไปเตรียมอาหารเช้า ผมลุกจากเตียง เดินไปยังหน้าต่างด้วยอาการว่ายังรู้สึกว่าการทรงตัวไม่ค่อยดีนัก

             มองจากชั้นสองลงไปยังเห็นประตูหน้าบ้านเปิดทิ้งเอาไว้ ก็คงจะเป็นผลงานไอ้คนขับรถยิ้มสยองไม่ยอมปิด เพราะที่รักของผมเป็นคนรอบคอบ รับรองไม่ลืมเรื่องเล็กน้อย การเป็นแม่บ้านต้องอาศัยความละเอียดรอบคอบเป็นอย่างมากเลยทีเดียว  และอาจเป็นตัววัดประสิทธิภาพของครอบครัวหัวข้อหนึ่งได้

            งาน…วันนี้ไม่ใช่วันหยุด…ผมต้องไปทำงาน บางทีการลาป่วยแม้จะเป็นเพียงวันสองวันก็อาจถูกพวกผู้ใหญ่จอมหาเรื่องทำให้เราเดือดร้อนได้ สมองพอคิดได้ ขาก็พาตัวเผ่นกระเจิงไปหาโทรศัพท์หัวเตียง ใช่แล้ว.. ต้องโทรศัพท์อกใครสักคนในบริษัทว่าจะขอลงเวลาทำงานสายสักวัน

             เสียงตอบรับมาเป็นเสียงครืดคราดเหมือนมีใครลากวัตถุอะไรบางอย่างอยู่ปลายสายข้างโน้นพักหนึ่ง ผมเฝ้ารออย่างร้อนใจ ประชาสัมพันธ์บริษัทน่าจะมาทำงานแต่เช้าแล้ว ว่าแต่เสียงแปลกประหลาดมันอะไรคือกัน หรือว่าสายจะมีปัญหา  มีเสียงเหมือนคนพูดอู้อี้อยู่ปลายสายอีกข้างหนึ่งอย่างจับใจความไม่ได้  ก่อนทุกอย่างจะเงียบหายราวกับว่าสายถูกตัดขาดไป

            เรื่องบ้าอะไรกันอีกล่ะ... ลองกดเบอร์อื่น ปรากฏว่าผลออกมาเหมือนกัน สายของผมถูกตัดขาดหรือไม่คงมีปัญหาสักอย่าง ยังมีโทรศัพท์มือถือ ลองกดเบอร์เพื่อนดู ปรากฏว่าไม่มีสัญญาณตอบรับ เหมือนกับว่าการสื่อสารของผมตัดออกจากผู้คนในโลกจนทำให้รู้สึกขนลุกโดยไม่มีเหตุผล

             มันจะแปลกมากเกินไปแล้ว ผมโคลงหัวไปมาอย่างจนปัญญา แต่ช่างหัวมันเถอะ จะขออยู่กับคนรักให้ชื่นใจสักวัน ก็อย่างที่บอกไว้ล่ะครับ ถ้ามีเธอเพียงคนเดียว ผมก็พร้อมจะลืมคนทั้งโลก เธอคงยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารเพราะมีเสียงถ้วยชามกระทบกันในห้องครัวชั้นล่างแว่วขึ้นมาพอได้ยิน ปกติผมมักจะแกล้งเธออยู่บ่อยๆ อย่างเช่นถ้าเธอกำลังหันหลังทำกับข้าวอยู่ ก็จะแอบย่องไปด้านหลังบรรจงกอดแนบแน่น ไม่สนใจกับเสียงร้องอย่างตกใจเพราะถือว่าเป็นการแสดงออกถึงความรักอีกแบบหนึ่งของผม

            เช้าวันนี้ผมทำเช่นนั้นอีก โดอบกอดเธอจากด้านหลัง แต่ผลของวันนี้แตกต่างออกไปจากวันก่อนเหลือเกิน

             มือของผมทะลุผ่านตัวเธอออกไปราวกับเป็นภาพมายา เหมือนกับว่าเธอเป็นเพียงอากาศธาตุ ไม่มีตัวตน เป็นเพียงความว่างเปล่า   คงไม่ต้องให้บรรยายความรู้สึกนะครับคุณหมอ มันสุดจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดใด คนที่แสนรักกลับกลายเป็นอากาศธาตุเหมือนภูตผีวิญญาณไร้ตัวตน ความรู้สึกลึกๆ บอกว่ากำลังจะเผชิญกับเรื่องอันน่ากลัวและไม่คาดฝันครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต

             เสียงร้องของผม ทำให้เธอหันมามองอย่างตกใจ และทันพอจะมองเห็นมือของผมควานผ่านร่างของเธอไป และตอนนั้นเองที่ไม่อาจระบุได้ว่าใครจะตกใจมากกว่ากัน พวกเราต่างร้องเสียงหลงพอกัน  สายตาของเธอเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก หวาดกลัวและไม่เข้าใจ เมื่อต่างฝ่ายเห็นความตื่นตกใจของอีกฝ่ายหนึ่งก็รู้ทันทีว่าไม่ใช่ผีหลอกวิญญาณหลอน

            “นี่มันอะไรกันคะ”   เสียงของเธอแผ่วเบาเหมือนเสียงกระซิบมีดทำครัวในมือหล่นลงกับพื้น ผมเซถอยหลังไปจนปะทะผนัง เราสองคนจ้องมองกันแบบคนสติแตกอยู่ครู่หนึ่ง   คนยืนตะลึงอยู่ข้างหน้าเป็นคนชัดๆ ไม่ใช่ภูตผีปีศาจที่ไหน แต่ทำไมจับต้องอะไรไม่ได้เลย  ผมลองเดินไปหาเธออีกครั้ง เอื้อมมือไปแตะแผ่วเบา

             น่าอัศจรรย์ใจเหลือเกิน คราวนี้ผมสัมผัสความมีเลือดเนื้อและจิตวิญญาณของเธอ ทั้งที่เมื่อครู่เห็นชัดว่าต่างฝ่ายต่างจับต้องกันไม่ได้  และผมก็ไม่ลังเลใจอะไรอีกแล้วในการจะกอดร่างนั้นไว้เต็มวงแขนและอ้อมอก ยืนยันความมีตัวตนของกันและกันอย่างเต็มที่  แต่ว่าเมื่อครู่มันเกิดอะไรขึ้น? หรือเราประสาทหลอนด้วยกันทั้งคู่

             เหตุการณ์ผ่านไปอย่างสงบ พวกเราต่างไม่พยายามพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนเช้า เพราะต่อให้พูดกันไปคงจะหาคำอธิบายอะไรไม่ได้ เพียงแน่ใจว่ามันไม่ใช่ปรากฏการณ์ทางวิญญาณ เราต่างแน่ใจว่าไม่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดตายไปแบบไม่รู้ตัว แม้จะอดคิดไม่ได้ว่า บางทีเมื่อคืนผมอาจตายในร้านอาหาร หรือบางทีเธอเป็นฝ่ายที่ตายไปโดยไม่ทันสั่งลาผมที่ใดที่หนึ่งในเมืองนี้ แต่เพราะวิญญาณรักเลยทำให้เธอมาปรากฏอยู่กับผม

             แน่นอน แนวคิดแบบนี้เหลวไหลสิ้นดี และไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะชีวิตของเราไม่ใช่นิยายปรัมปรา ไม่ใช่ตำนานเก่าแก่เล่าขาน อย่างน้อยตัวตนผมก็นั่งเขียนบันทึกให้คุณหมออ่านอยู่ได้ขนาดนี้ ก็คงจะพอยืนยันได้ถึงความมีชีวิตของผมได้ไม่ใช่หรือครับ

             พอมาถึงตอนบ่าย เหตุการณ์แปลกประหลาดก็เกิดขึ้นอีกครั้ง

             ตนรักของผมหายไปเสียเฉยๆ... เดินหาทุกซอกทุกมุมอย่างไรก็ไม่เจอ จนกระทั่งตอนเย็นจึงเจอเธออีกครั้งอยู่ในห้องรับแขกด้านล่างนั่นเอง เธอน้ำตานองหน้าพลางบอกว่า ผมเป็นฝ่ายหายไปจากบ้าน หาอย่างไรก็ไม่เจอ  สรุปว่าเราต่างเห็นว่าอีกฝ่ายหนึ่งหายไป มันฝันร้ายชัดๆเลยใช่ไหมครับคุณหมอ คุณจะมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขได้อย่างไร ถ้ามีเหตุการณ์ปัญหาน่ากลัวแบบนี้ก็เกิดขึ้นกับคุณ  มีชีวิตอยู่กับคนรักโดยไม่รู้ว่าจะหายไปตอนไหน หายไปแล้วจะกลับมาอีกหรือไม่ พายุร้ายอันแสนน่ากลัวและมืดดำพัดผ่านเข้ามาในชีวิตของเรายิ่งกว่าฝันร้าย

             ผมต้องหาใครสักคนที่พอจะพึ่งพาอาศัยหรืออธิบายเรื่องนี้ได้ แน่นอน เราเลือกคุณหมออย่างไรล่ะครับ คุณหมอคงจำได้ถึงวันแรกที่พวกเราพากันมาปรึกษากับคุณหมอ  คงจำคนไข้ทางจิตท่าทางเศร้าหมองและสิ้นหวังสองคนผู้มาพบในวันนั้นได้ใช่ไหมครับ



             “เออ...จำได้”

             จิตแพทย์วัยกลางคนพึมพำกับความว่างเปล่า วางสมุดบันทึกของคนไข้ลง เรื่องในบันทึกมันทั้งน่ากลัวและน่าขำ ไอ้หมอนี่คงบ้าแบบไร้ที่ติ อืม... ไม่...เขาเป็นแพทย์ ไม่ควรนึกถึงคนไข้แบบนี้ มันขาดจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพที่ขาดหายและห่างหายไปจากสังคมเหลือเกิน
เข็มนาฬิกาบนผนังเฉือนมุมผ่านไปอย่างเกียจคร้าน ยังไม่ถึงเวลานัดกับอาหารเย็นกับภรรยา

            ทำไมไม่มีคนรักแสนวิเศษอย่างในเรื่องของคนบ้าจิตแตกเล่าให้ฟังบ้างนะ น่าอิจฉา.. เออ หรือเรากำลังจะบ้าไปด้วยแล้ว ทะลึ่งอิจฉาคนบ้าได้  จิตแพทย์วางสายตาออกไปทางกรอบสี่เหลี่ยมเป็นทางออกสู่โลกภายนอก พลางคิดว่าสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน พวกเขากำลังเดินไปตามชะตากรรมของตนเองตามทางใครทางมัน บนท้องฟ้าเครื่องบินแม่ไก่บินผ่านมาอีกแล้วพร้อมกับเสียงคำรามของเครื่องยนต์จนรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือน มันน่ารำคาญจนอยากจะเอาจรวดสอยให้มันร่วงลงมาเสียจริง

            เสียงโทรศัพท์ติดต่อภายในดังขึ้น จิตแพทย์วัยกลางคนหันไปรับสายอย่างเกียจคร้านปางตาย

            “คุณหมอครับ เกิดเรื่องแล้วครับ” เสียงเจ้าหน้าที่ประจำตึกพูดเร็วปรื๋ออย่างร้อนรน “คนไข้พิเศษของคุณหมอ มีอะไรผิดปกติ ผมว่าคุณหมอมาดูดีกว่าครับ”

             “เป็นอะไร…”    เขาถามเสียงราบเรียบ มันคงไม่มีอะไรมากไปกว่าการดื้อไม่ยอมกินยา หรือแหกปากโวยวาย แต่ความจริงก็มีเจ้าหน้าที่ดูแลเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว คงไม่ยากในการจับใครบางคนเข้าห้องซ็อตด้วยไฟฟ้า หรือฉีดยานอนหลับ

             “เอ้อ...พูดลำบากครับ ผมว่าคุณหมอมาดูเองดีกว่า”

            “แล้วเจ้าหน้าที่หายไปไหน”

             “ไม่มีครับ”

             “หายหัวไปไหน”   น้ำเสียงเริ่มเข้มขึ้นอย่างมีอารมณ์

             “ไม่ได้หายหัวไปไหน แต่ไม่มีครับ พอคนไข้คนนั้นบอกว่าไม่มี พวกเจ้าหน้าที่ก็หายวับไปกับตา…โอ๊ะ….เขาเดินมาทางผมแล้วครับ ….”

             แล้วเสียงของเจ้าหน้าที่ประจำตึกก็ขาดหายไปเสียเฉยๆ จิตแพทย์แทบมองเห็นโทรศัพท์กำลังห้อยแกว่งไกวไปมาอยู่ในอากาศ เขาสบถออกมาคำหนึ่ง กระแทกหูโทรศัพท์ลงค่อนข้างแรง มันเรื่องบ้าอะไรอีก หันมองนาฬิกาอีกครั้งก่อนออกจากห้องไปด้วยอาการรีบร้อนกับความรู้สึกเกือบจะเชื่อว่าเจ้าหน้าที่คนนั้นติดเชื้อบ้าจากคนไข้ไปแล้ว

             ปูแผ่นหินระหว่างตึกดูเงียบเชียบชอบกล จิตแพทย์มองสำรวจรอบด้านอย่างสงสัย ความจริงเขาเองไม่ค่อยมีเวลาพิจารณาวิวทิวทัศน์อะไรมากมาย กระนั้นก็รู้ว่าอะไรบางอย่างมันผิดปกติ

             เสียงกระหึ่มจากท้องฟ้า เขาแหงนหน้าดู เครื่องบินแม่ไก่ลำเดิมบินวนมาอีกแล้ว นี่ก็ผิดธรรมชาติเหมือนกัน ไม่มีเครื่องบินโดยสารลำไหนมาบินวนเวียนแบบนี้แน่นอน และเขาเองน่าจะรู้ถึงความผิดธรรมชาติก่อนหน้านี้ด้วยซ้ำไป

             ทันใดนั้นเอง คุณหมอก็ยืนตัวแข็งทื่อ เมื่อเครื่องบินลำดังกล่าวอยู่ดีๆ ก็ค่อยจางหายไปในอากาศราวกับภาพมายา เสียงคำรามกระหึ่มพลอยเงียบหายไปด้วยราวกับไม่เคยมีอยู่มาก่อน

             “เฮ้ย……..”   นายแพทย์ร้องเสียงหลง โลกเหมือนจะหยุดนิ่งไปชั่วครู่ จิตแพทย์มือหนึ่งผู้เคยรักษาคนไข้ทางจิตรู้สึกเหมือนตัวเองจะกลับกลายเป็นคนไข้เสียเอง เครื่องบินลำใหญ่หายไปต่อหน้าต่อตาแบบนี้เคยมีที่ไหน หรือว่าติดเชื้อบ้าเข้าไปแล้ว มีทฤษฎีหนึ่งกล่าวว่า ถ้าเราอยู่ใกล้สิ่งใดก็อาจรับผลของสิ่งนั้นไปโดยไม่รู้ตัว มันเป็นการติดต่อกันทางควอนตัมพิเศษ!ตามทฤษฏีโรคติดต่อทางจิตที่คนบ้าคนหนึ่งเขียนไว้ แต่ไม่มีใครเคยเชื่อ


.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  แต่งเรื่องสั้น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่