(บ่นระบาย) ความในใจของวัยรุ่นคนนึงที่กำลังเครียดแต่ไม่รู้จะไปบ่นระบายที่ไหนกับใครแล้ว...

กระทู้นี้เป็นกระทู้ไร้สาระ มีแต่นิยายเพ้อเจ้อไร้สาระ คำบ่นระบายในภาษาเรียงความเท่านั้น หากไม่เป็นที่พอใจสามารถกดออกได้เลยค่ะ และขอขอบคุณที่เข้ามาด้วยเช่นกัน

สาเหตุที่ตั้งกระทู้ : ความเครียดและความกดดัน ดิฉันไม่สามารถหาที่ระบายที่ไหนได้ ดังนั้นขอพื้นที่ในพันทิปซักเล็กน้อยเพื่อให้ดิฉันได้ระบายความอัดอั้นในใจหน่อยนะคะ


ดิฉันเป็นนักศึกษาจบใหม่ที่กำลังอยู่ในช่วงที่ต้องหางาน เป็นช่วงที่รู้สึกกดดันและเครียดมากๆเพราะเพื่อนๆรอบตัวต่างก็ดิ้นรนกันอย่างหนักจนได้งานทำกันหมดแล้ว มันก็เลยเกิดคำถามขึ้นมาว่า "แล้วฉันละ?" ใช่ เพราะคำถามในใจนั้นเองก็เลยทำให้ฉันคิดว่า "ฉันเองก็สมควรจะได้งานทำซักที" แต่พอคิดแบบนี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นของ "ความขัดแย้ง" เล็กๆภายในครอบครัวที่ว่า "งานที่จะทำเนี๊ย? มันมีความมั่นคงกับตัวเรามากน้อยแค่ไหน?" มันก็เป็นเรื่องที่ดีนะ ที่คนที่บ้านคอยเป็นห่วงและคอยช่วยเหลือให้กำลังใจกันตลอด แต่ดิฉันกลับรู้สึกว่า "พอซักทีได้มั้ย?" ขึ้นมา...

ทำไมถึงคิดแบบนั้นน่ะเหรอ?

ตั้งแต่เด็ก ดิฉันเป็นลูกสาวในบ้านที่พ่อแม่รักและถนุถนอมมาก พวกเขาให้การเลี้ยงดูฉันอย่างดีจนเพื่อนบางคนและคิดว่าหลายคนเองก็คงมองว่า "ลูกคุณหนู" เหมือนกัน เพราะสิ่งที่ดิฉันอยากได้ สิ่งที่ดิฉันสมควรจะมี พ่อแม่ดิฉันสามารถหามาได้หมดด้วยน้ำพักน้ำแรงของพวกท่าน มันถือเป็นเรื่องปกติสำหรับดิฉัน แต่สำหรับคนอื่นมันเป็นเรื่องที่น่าอิจฉา และเพราะเด็กมากในตอนนั้นดิฉันก็เลยไม่ได้คิดอะไร และไม่เคยย้อนคิดถึงเรื่องพวกนั้นเลยซักนิด จนกระทั่งช่วงที่ดิฉันขึ้นชั้นประถม ดิฉันชอบมากกับการได้อ่านหนังสือนิยาย การ์ตูน และนิตยสารต่างๆ เริ่มมีความสนใจด้านการวาดรูป ระบายสี ภาษา และการเรียบเรียงเรื่องราว ไปจนถึงการพยายามร้องเพลงประกอบละครหรือการ์ตูนด้วย และเริ่มจับกลุ่มกับเพื่อนๆที่มีความชอบเดียวกันที่โรงเรียนเพื่อใช้เวลานั่งวาดรูประบายสีตัวละครที่ชอบ หรือพูดคุยเรื่องละครที่ได้ดูกันและออกความเห็นถึงฉากต่อๆไปกันอย่างสนุกสนาน กลับมาบ้านก็หยิบกระดาษสมุด กระดาษ A4 มาวาดเขียนเล่นตามภาษาเด็กๆและนั่งเขียนข้อความประกอบ จินตนาการถึงเรื่องราวต่างๆเป็นวรรถเป็นเวร บางครั้งก็มีแอบเขียนกำแพงบ้านเล่นและยืนชื่นชมเองด้วยว่า "แหม่! สวยจริงๆ"

นั้นเป็นครั้งแรกที่ดิฉันมีความฝันว่า "อยากจะวาดรูปสวยๆและสร้างสรรค์ผลงานที่เป็นของตัวเองขึ้นมาบ้าง" แน่นอนว่าความฝันไส้แห้งแบบนั้นให้เด็กๆฝันเท่านั้น โตมาพ่อแม่ก็ไม่ยอมที่จะลงทุนเพื่อพัฒนาความสามารถนั้นแน่นอน และตัวฉันในตอนนั้นก็ได้คำตอบจากพ่อแม่ว่า...

"อะไรเนี๊ย ขี้เหร่จัง"

เมื่อฉันฮัมเพลงละครหรือการ์ตูนออกมา...

"ร้องอะไรนะ เสียงเงี้ยวๆไม่เห็นจะเพราะเลย"

...เข้าใจว่ามันอาจเป็นคำแซวของผู้ใหญ่ที่แซวหรือล้อเลียนเด็ก แต่ว่านะ เพราะคำพูดพวกนั้นของพวกท่าน มันทำให้ดิฉันจำมาจนถึงทุกวันนี้ว่า ความสามารถและความชอบของดิฉันนั้น "มันเป็นเรื่องที่น่าอาย" และตั้งแต่นั้นมาดิฉันก็เริ่มที่อายที่จะวาดรูปอะไรลงสมุดเพราะกลัวพ่อแม่จะเห็น ต้องแอบวาดและเอาไปซ่อนเอาไว้ใต้ที่นอนตลอด หรือเวลาที่ตัวเองอยากจะร้องเพลง อยากจะฮัมเพลงออกมา ฉันก็ต้องแอบไปร้องในห้องเสียงเบาๆ และต้องเหล่มองช่องใต้ประตูตลอดว่าผู้ใหญ่อยู่นอกห้องมั้ย? ถ้าเขามาต้องเงียบนะ อย่าให้ได้ยินเสียง ไม่งั้นจะถูกล้อเลียนและมันก็น่าอายมาก! ขนาดโตมา เพลงสากลต่างชาติ หรือแม้แต่เพลงไทยบางเพลง ดิฉันก็ไม่เคยหลุดร้องออกมาให้ผู้ใหญ่ในบ้านได้ยินเลยซักหน ทำไมน่ะเหรอ? ก็เพราะจำได้น่ะสิ!! ว่ามันเป็นเรื่องที่น่าอาย

แต่นั้นไม่ใช่ปัญหาหรอก เพราะมันมีทางแก้ไขอยู่ และฉันก็สามารถหาวิธีเอาตัวรอดเพื่อที่จะทำในสิ่งที่อยากจะทำได้ แต่ปัญหาจริงๆน่ะมันคือ การที่ดิฉันโตมาแบบที่พ่อแม่คอยสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือมากเกินไป หรือที่เรียกว่า "โอ๋" กันเกินไปนั้นแหละ นี้แหละที่ดิฉันคิดว่า สำหรับดิฉันมันเป็นเรื่องที่รู้สึกเหมือนเป็นปัญหากลายๆเลยละ

พอดิฉันเริ่มโตขึ้น แน่นอนว่าย่อมมีเพื่อน มีเรื่องที่อยากจะทำมากขึ้น พอหูตาเริ่มกว้างไกล รู้จักคนมากขึ้น ดิฉันก็เริ่มเกิดความคิดที่ว่า "เพื่อนคนอื่นเนี๊ยดูเก่งจัง" เรื่องเรียนก็ส่วนนึง แต่เรื่องการใช้ชีวิต การเข้าสังคม เรื่องเล็กๆน้อยๆอื่นๆของเพื่อนๆเนี๊ยมันเจิดจ้าสำหรับดิฉันมาก ตั้งแต่การไปกลับโรงเรียนที่ไปเองกลับเอง ขี่มอเตอร์ไซค์เป็น นั่งรถเป็น รู้รถที่จะขึ้น รู้ป้ายที่จะลง เข้าร้านอาหารหรือทำอะไรต่อมิอะไรก็ดูเหมือนผู้ใหญ่ไปหมด แถมยังได้รับความไว้วางใจจากพ่อแม่ให้กล้าคิดกล้าทำแบบนั้นด้วย ดิฉันอยากเป็นแบบนั้นบ้าง สำหรับดิฉัน เรื่องแบบนี้ของเพื่อนเนี๊ย "น่าอิจฉา" มากกว่าซ่ะอีก ดิฉันมีพ่อแม่ไปรับไปส่งที่โรงเรียนทุกวัน มีบ้างที่กลับเอง หรือจะไปไหนมาไหนเอง แต่ดิฉันไม่เคยได้รับความไว้วางใจแบบเพื่อนเลย ดิฉันเคยคิดว่านั้นเพราะดิฉันยังทำตัวเป็นเด็ก พวกท่านก็เลยยังไม่ไว้วางใจแน่ๆ

"ต้องทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่มากกว่านี้" นั้นคือสิ่งที่ดิฉันคิด...

ความคิดที่ว่านั้นเริ่มพัฒนาตามวัยของดิฉัน ดิฉันอยากเป็นคนเก่งที่ไม่ว่าจะในสถานการณ์ไหนก็สามารถรับมือได้ พยายามเรียนรู้สิ่งต่างๆ แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็อยากจะทำให้เป็น รู้ให้เยอะเผื่อโอกาสที่จะใช้ จากคนขี้อายไม่กล้าพูดหรือหวาดกลัวที่จะจ้องตาคนอื่น ดิฉันก็รู้สึกว่าตัวเองสามารถทำตัวตามปกติ มองตาคนอื่นในขณะพูดหรือสนทนาได้ สามารถยืดตัวตรง ไหล่ไม่ตก เชิดหน้าขึ้นเพื่อสู้หน้าคนอื่นได้ กล้าพูดกล้าถกกับคนอื่นมากกว่าเป็นผู้ฟัง เมื่อมองย้อนกลับไปในสมัยก่อน ดิฉันรู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไปจากเดิมมาก มันคือก้าวแรกของความภาคภูมิใจของดิฉันเลยก็ว่าได้ ดิฉันดีใจมากที่ตัวเองมาถึงจุดๆนี้ แม้จะเคยประสบเจอสถานการณ์กดดัน สิ้นหวังในสมัยเด็กมา แต่ดิฉันก็สามารถเชิดหน้าขึ้นเพื่อแก้แค้นให้กับตัวเองในสมัยก่อนได้ "ภาคภูมิใจ" ชะมัด!

แต่ว่า...ในสายตาของผู้ใหญ่ที่บ้าน พวกเขากลับมองว่า ดิฉันเริ่มปฏิบัติตัวก้าวร้าว สายตาแข็งกระด้าง พูดจาฉะฉ่านขาดความอ่อนน้อม ไม่รู้จักอ่อนตัวลงเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น และพวกเขาก็เริ่มพูดกับดิฉันบ่อยขึ้นว่า "กลัว" ดิฉันจะไปก่อเรื่องผิดใจกับใครเพราะท่าทางที่ดูเหมือนคนรุนแรง แน่นอนว่าดิฉันไม่เคยยอมรับเพราะดิฉันรู้ตัวดีว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น หรือสถานการณ์ที่พวกท่านไม่อยู่ ดิฉันสามารถวางตัวได้ดี และดิฉันก็ตั้งใจว่า จะทำให้พวกท่านได้เห็นว่าดิฉันไม่เคยเป็นอย่างที่พวกท่านกลัวหรือกังวล ทุกวันนี้ก็ยังคงพยายามทำเช่นว่าอยู่ แม้ว่าพวกท่านจะไม่ค่อยเชื่อใจนักก็ตาม

และก็มาถึงจุดพีคของชีวิตครั้งแรกๆของวัยรุ่นแรกเริ่ม ดิฉันเคยไปสมัครเข้าเรียนวุฒิ ปวช. สาขาการโรงแรมและการท่องเที่ยว ดิฉันกับเพื่อนๆพวกเรารวมหัวกันทำการบ้านอย่างดีเพื่อไปลุยทำข้อสอบ และสอบสัมภาษณ์ ดิฉันทำข้อสอบได้ ดิฉันผ่านสัมภาษณ์ ดิฉันสามารถทำให้กรรมการสัมภาษณ์ประทับใจได้ มันเป็นเรื่องที่ดิฉันยอมรับเลยว่า ดิฉันประทับใจมากจนน้ำตาไหล นี้ถือเป็นเรื่องแรกๆในชีวิตเลยที่ดิฉัน "ภาคภูมิใจ" ในความสามารถของตัวเองอย่างแท้จริง ดิฉันไม่ใช่คนเรียนเก่งที่มีผลการเรียนดีเลิศน่าอวดซักเท่าไร แต่ดิฉันยังสามารถทำเรื่องนี้ให้เป็นที่ยอมรับในสายตาคนอื่นได้ มันน่าดีใจมากๆที่ได้ทำอะไรด้วยตัวเองและประสบความสำเร็จ แม้จะเป็นเรื่องธรรมดาๆที่ใครๆก็ทำได้ก็ตาม และดิฉันก็เริ่มวาดฝันเรื่องการเรียนในสาขาที่หมายมั่นนี้ว่า จะต้องได้สวมเครื่องแบบ พูดภาษาเป็นต่อยหอย บุคลิกดี อาจจะต่อยอดไปถึงระดับแอร์โฮสเตสเลยก็ได้ (ดิฉันสูงค่ะ) พูดง่ายๆก็มโนไปเรื่อยตามภาษาเด็กๆแจ่มใสเพ้อฝันไปเรื่อยเปื่อย

แต่...

คิดว่าเพื่อนๆในยุคเดียวกันอาจจะเข้าใจปัญหานี้ นั้นก็คือ เรื่องที่พ่อแม่ยุคใหม่พยายามส่งลูกเรียนป.ตรี ตามค่านิยมที่ว่า จบปริญญาหางานง่ายกว่า ชีวิตที่มั่นคงมากกว่า การสอบเข้า ปวช. ของดิฉันเป็นโมฆะ พร้อมกับมีปากเสียงกับที่บ้านเรื่องความมั่นคงในอนาคต และจบที่ว่า "ไปเรียนสายสามัญ" หรือก็คือเข้าโรงเรียนรัฐเรียนม.ปลายนั้นเอง ตอนนั้นก็รู้สึกเสียใจจนแอบไปร้องไห้เหมือนกัน เหมือนความภาคภูมิใจของเราไม่สามารถทำให้พ่อแม่รู้สึกแบบเดียวกันได้ มันก็เลยเกิดคำถามที่ว่า ถ้าไม่อยากให้เราเรียนสายอาชีพ แล้วปล่อยเราไปสอบจนสุดทางทำไมละ? แต่ก็ไม่ได้คำตอบเพราะไม่เคยถามและไม่คิดจะอยากรู้คำตอบด้วย สุดท้ายก็เลยยอมไปสมัครเข้าโรงเรียนรัฐ และเรียนม.ปลาย "สายสามัญ" ตามที่พ่อแม่ต้องการ

มันไม่จบแค่นั้นน่ะสิ!!!

พ่อแม่อยากให้เราเรียนวิทย์-คณิต ตอนเราสอบเข้า แล้วทางโรงเรียนจะมีใบสอบถามสายวิชาที่ต้องการ เราเขียน "คณิต-อังกฤษ" ไป เพราะยังคงยึดมั่นทางเดิมที่ว่า "อยากทำงานสวมเครื่องแบบ หรือยูนิฟอร์มสูท เท่ๆ สวยๆ มั่นๆ" ความใฝ่ฝันแบบเด็กๆนั้นเอง และคิดว่าถ้าเก่งภาษาละก็มันได้แน่นอน! แต่สุดท้ายในช่วงเรียนปรับพื้นฐานซัมเมอร์ก่อนเข้าเรียนจริงในช่วงเปิดเทอม เกิดอะไรขึ้นรู้มั้ย? มีการรวมตัวกันของผู้หลักผู้ใหญ่กลุ่มนึง หนึ่งในนั้นมีพ่อแม่ของเราและเพื่อนๆของเราในประสบปัญหาเดียวกันด้วย พวกเขาไปปรึกษาอาจารย์เพื่อขอย้ายพวกเรากับเด็กๆบางคนที่อยู่สายศิลป์ภาษา ไปห้องศิลป์คำนวน โดยที่ไม่บอกเราล่วงหน้า!! และเรียกเราแค่ไปคุยโว้ว่าผลการเรียนเราก็ไม่ได้น่าเกลียดนะ ยอมให้เปลี่ยนเถอะ

เรารู้สึกว่าทางที่เราวาดฝันเอาไว้เริ่มพังทลายอย่างจริงจัง เกิดคำถามมากมายในหัว อารมณ์ความรู้สึกถูกกดดันและบีบบังคับมาเต็ม เราเถียงพ่อแม่ว่าเราไม่อยากเรียน แต่คำตอบที่ได้ก็เหมือนเดิม "เพื่อความมั่นคงของชีวิต" แต่เราก็ได้แต่ร้องไห้และเฝ้าถามคำถามที่ไม่มีวันพูดออกไปได้ และต่อให้พูดไปก็เปล่าประโยชน์ว่า "แล้วหนูละ?" มาตลอด เราฝืนเรียนสายศิลป์คำนวนมา 3 ปีจนจบ ผลการเรียนไม่เป็นที่น่าประทับใจ แต่ก็ไม่เป็นไร มันแค่ติดตัวเราไปจนตายเอง แต่ก็ดีตรงที่ภายใน 3 ปีที่อยู่กับมัน เรากลายเป็นยัยเอื่อยเฉื่อย เด็กแก่เรียนที่ทำเป็นเงียบตั้งใจเรียนแต่จริงๆก็แค่เหม่อไปวันๆ วันเวลาที่ต้องกระตุ้นตัวเองเพื่อให้ผ่านตรงนั้นมาได้มันเหนื่อยมาก แต่เราก็ยอมอยู่กับมัน เพื่อค้นหาความฝันใหม่ แต่ฝันที่ได้ฝัน มันเหมือนถูกบังคับให้ฝัน มันเหมือนไม่ใช่ตัวเราเลย มองย้อนกลับไปในอดีต เรานี้ก็มาไกลเหมือนกันนะ...ในความหมายที่ไม่น่ายิ้มให้ซักเท่าไร?

และนั้นเองก็ส่งผลถึงช่วงเวลามหาลัยของเรา ผลการเรียนม.ปลายที่ไม่น่าภาคภูมิใจซักเท่าไร คณะที่อยากจะเข้าก็หมดสิทธิ์ ทุกอย่างมันผิดที่ตัวเราเองที่ดันเรียนแบบหมดไฟมาตลอด 3 ปี ทำตัวเหลวไหล เลือกคณะไป 4 อันดับ 3 อันดับแรกที่วาดฝันไว้จบเห่มาจบอันดับสุดท้าย (ขออนุญาตไม่เอ่ย เพราะเดี๋ยวจะเป็นการตีความหมายในทางไม่ให้เกียรติแก่สายคณะนั้น) และเราก็อยู่กับมันมากระทั่งจบ ในระหว่างเรียนก็ใช้ชีวิตแบบเดิมๆ พ่อแม่ตามโอ๋ ตามใจแต่ตามไม่หมด ไปมารับส่งหมด ไปไหนมาไหนมีเคอร์ฟิวเวลา โทรจิกเป็นไก่ถ้าไม่รับสาย ช่วงเวลาในรั้วมหาลัยก็ไม่ต่างอะไรกับในโรงเรียนแบบเดิมๆเลย เพิ่มเติมก็แค่ ได้ใส่เครื่องแบบนักศึกษา...เท่านั้น แฟนนี้ไม่มีอยู่แล้ว แค่การใช้ชีวิตก็ดูจะไม่เอื้ออำนวยแก่การมีแฟนแล้ว ถึงจะอยากมีก็เถอะนะ ฮ่า

(เพ้อเยอะเกินไปเพ้อต่อในคอมเม้นค่ะ)
(แก้ไข) ปวส เป็น ปวช ค่ะ สับสนนิดหน่อยตอนพิมพ์ก็เลยพิมพ์ผิดค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่