สเตตัส ละครหลังข่าว
"เหล่ากง... หว่ออั้ยหนี่"
เธอโอบผมจากด้านหลัง พร้อมพูดเสียงเบา เกือบจะกระซิบ มืออุ่นๆ ค่อยๆโอบมาจนกุมมือเอาไว้แน่น
"หว่อ เจินอั้ยหนี่" เสียงนั้นค่อยๆเงียบไปในห้วงที่ยังมีสติ แต่ยังคงดังก้องต่อไปในความฝัน
ผมอ่อนเพลียจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ เช้าวันเสาร์ที่อากาศกำลังดี ฝนตกพรำ เบาๆ ชวนให้นอนหลับต่อไปมาก ถึงมากที่สุด
แต่ก็ทำแบบนั้นไม่ได้... เพราะที่ที่ผมตื่น คือห้องพักของแฟนสาว อีกไม่กี่ชั่วโมงเธอก็จะตื่นนอน และต้องไปทำงาน
เรื่องอดกิน อดนอน สำหรับผม สบายมาก ผมสามารถโอเว่อร์โหลดตัวเอง โดยการไม่กินไม่นอนได้อึดกว่ามนุษย์ทั่วไป เพียงเพราะผมคิดถึง และอยากมีเวลาดีๆ ร่วมกันกับคนที่ผมรัก อาจฟังดูเกินจริง แต่ยังน้อยนัก เมื่อเทียบกับสิ่งที่ผมยอมแลกในอดีต กับคนที่ไม่ได้รักผม
ผู้หญิงตัวเล็ก ที่ไม่ได้สวยมากไปกว่าแฟนคนก่อนๆ ที่ผมเคยคบ แต่ที่ต่างออกไป เธอคือคนต่างชาติ ที่รักเมืองไทย รักคนไทย ผมเข้าใจฟีลลิ่งนั้น เพราะสมัยก่อน ผมก็บ้าอเมริกันเข้าเส้นเหมือนกัน อยากมีกรีนการ์ด อยากมีสิทธิ์ในฐานะซิตี้เซ่นท์ หรือพลเมือง ถือสองสัญชาติมันเท่
จริงๆ
นอกจากจะเป็นคนจีนแล้ว เธอก็ยังเป็นภรรยาโดยพฤตินัย หรือเรียกให้บ้านๆหน่อย ก็คือ เมีย ที่ผูกพันธ์ ผมอาจจะต่างออกไปจากชายคนอื่น อย่างเดียวที่ผมจะลืมเมียเก่าได้ ก็คือ ต้องมี 'เมีย' ใหม่ ที่สำคัญ ผมไม่จิ้มมั่ว ถ้าไม่ได้รัก
"เสย? หวยยุ่น?? " หรือ แปลว่า ใครท้อง?
เธอคอมเม้นท์ในสเตตัสน่ารัก ๆที่ผมพิมพ์ว่าอยากมีลูกชื่อ เป่าเปา ผมยิ้มกว้าง ก่อนพิมพ์ตอบกลับไปว่า "หนี่... ชินอ้ายเตอ" (ก็เธอไง...ที่รัก) นึกย้อนกลับไปแล้ว ผมมีความสุขมากกว่าที่เคยมี ผมเบาใจว่า งานยุ่งๆ แล้วก็สวยแบบหลบๆ ผมไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องมือที่สามหรอก ผมเคยลูบที่หน้าท้อง แล้วก้มไปจุ๊บๆ พร้อมกับถามว่า "มีใครอยู่ข้างในมั้ย?" เธอขำมาก เคยโทรไปถามเธอว่า ลูกทำอะไรอยู่ เธอตอบว่านอนหลับอยู่ เรื่องเล่นๆ พวกนี้ทำให้ผมผูกพันธ์กับเธอมากขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
เช้าวันนั้น จูบหยอกๆ ปลุกให้เธอตื่นขึ้น อาการหาวหวอดตามมาติดๆ เธอขยี้สองตาเหมือนเด็กๆ นึกแล้วก็ขำ ผมขอให้เธอใช้คีย์การ์ดเปิดประตูให้หน่อย เพราะผมต้องกลับแล้ว แม้ดูเธอจะง่วงสุดๆ แต่ก็รั้งผมไว้ "ไม่อยากให้ไป" เธอรบเร้า .. เมื่อผมยืนยันว่าต้องไปจริงๆ เธอก็ทำหน้าเศร้า ก่อนบอกว่า "หว่อ ปู้อั้ยหนี่เลอ..."
ผมนึกขำ เพราะมันแปลว่า ชั้นไม่รักคุณแล้ว ซึ่งผมไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่อง เธอรู้ว่าผมโสด และที่ผมต้องไป คือ ไปสอบไล่ ที่มหาวิทยาลัย ซึ่งผมอยากให้เธอไปด้วย ถ้าไม่ติดว่าเธอต้องไปทำงาน
-------------------------------------------------------------------------------
"ผมไม่โอเคมากๆ ถ้าเป็นแบบนี้ั้เราก็เลิกกันเถอะ!" ผมโพล่งออกมา ปลายสายเงียบไปสักพัก เธออึ้งชั่วประเดี๋ยวเดียว ก็ตอบกลับมาว่าโอเค ก่อนวางสายผมไป... ผ่านมา 48 ชั่วโมงแล้ว ยังจำบรรยากาศอึมครึม ปนตึงเครียดตอนนั้นได้อยู่
เกิดมาไม่เคยคิดว่าจะมีปัญหาเรื่องแบบนี้
จริงๆ มันคือข้อดี ที่มีแฟนเป็นคนขยันทำงาน ผมบอกแม่ว่า แฟนผมขยันมาก คนรอบตัวผมต่างก็บอกว่าเป็นเรื่องดี หายาก
แต่ถึงจุดๆ หนึ่ง ที่อะไรก็ตาม ทีมันมากเกินไป มันมีเอฟเฟ็คที่ผมเองก็ไม่เคยคาดคิด ไม่เคยนึกถึงเลยด้วยซ้ำ ว่า จะมีแฟนที่ทำงานจน ละเลย เรื่องส่วนตัว เธอไม่เหลือเวลาให้ผม และเย็นวันศุกร์ที่ผมเคย ยอมอดนอน ไปใช้เวลาด้วยกันก็ถูกปฏิเสธ จาก1ครั้ง เป็น2ครั้ง สามครั้ง... จนมันไม่ใช่แล้ว!
"ฉันทำงานยุ่งมาก เลิกงานตีสองตีสามทุกวัน อยากพักผ่อน"
"วันนี้ ไม่สามารถมาได้, ไม่ชอบแบบนี้ คุณทำให้ฉันพักผ่อนไม่พอ"
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
แม้ยารักษาโรค -มากไป ก็ก่อโรคได้ฉันใด
ความไม่พอดีในโลก ทั้งเรื่องดีหรือร้าย ย่อมส่งผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ฉันนั้น
"ไม่รู้จะแก้ตรงไหน"
บ้างาน จนบ้านแตก
"เหล่ากง... หว่ออั้ยหนี่"
เธอโอบผมจากด้านหลัง พร้อมพูดเสียงเบา เกือบจะกระซิบ มืออุ่นๆ ค่อยๆโอบมาจนกุมมือเอาไว้แน่น
"หว่อ เจินอั้ยหนี่" เสียงนั้นค่อยๆเงียบไปในห้วงที่ยังมีสติ แต่ยังคงดังก้องต่อไปในความฝัน
ผมอ่อนเพลียจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ เช้าวันเสาร์ที่อากาศกำลังดี ฝนตกพรำ เบาๆ ชวนให้นอนหลับต่อไปมาก ถึงมากที่สุด
แต่ก็ทำแบบนั้นไม่ได้... เพราะที่ที่ผมตื่น คือห้องพักของแฟนสาว อีกไม่กี่ชั่วโมงเธอก็จะตื่นนอน และต้องไปทำงาน
เรื่องอดกิน อดนอน สำหรับผม สบายมาก ผมสามารถโอเว่อร์โหลดตัวเอง โดยการไม่กินไม่นอนได้อึดกว่ามนุษย์ทั่วไป เพียงเพราะผมคิดถึง และอยากมีเวลาดีๆ ร่วมกันกับคนที่ผมรัก อาจฟังดูเกินจริง แต่ยังน้อยนัก เมื่อเทียบกับสิ่งที่ผมยอมแลกในอดีต กับคนที่ไม่ได้รักผม
ผู้หญิงตัวเล็ก ที่ไม่ได้สวยมากไปกว่าแฟนคนก่อนๆ ที่ผมเคยคบ แต่ที่ต่างออกไป เธอคือคนต่างชาติ ที่รักเมืองไทย รักคนไทย ผมเข้าใจฟีลลิ่งนั้น เพราะสมัยก่อน ผมก็บ้าอเมริกันเข้าเส้นเหมือนกัน อยากมีกรีนการ์ด อยากมีสิทธิ์ในฐานะซิตี้เซ่นท์ หรือพลเมือง ถือสองสัญชาติมันเท่จริงๆ
นอกจากจะเป็นคนจีนแล้ว เธอก็ยังเป็นภรรยาโดยพฤตินัย หรือเรียกให้บ้านๆหน่อย ก็คือ เมีย ที่ผูกพันธ์ ผมอาจจะต่างออกไปจากชายคนอื่น อย่างเดียวที่ผมจะลืมเมียเก่าได้ ก็คือ ต้องมี 'เมีย' ใหม่ ที่สำคัญ ผมไม่จิ้มมั่ว ถ้าไม่ได้รัก
"เสย? หวยยุ่น?? " หรือ แปลว่า ใครท้อง?
เธอคอมเม้นท์ในสเตตัสน่ารัก ๆที่ผมพิมพ์ว่าอยากมีลูกชื่อ เป่าเปา ผมยิ้มกว้าง ก่อนพิมพ์ตอบกลับไปว่า "หนี่... ชินอ้ายเตอ" (ก็เธอไง...ที่รัก) นึกย้อนกลับไปแล้ว ผมมีความสุขมากกว่าที่เคยมี ผมเบาใจว่า งานยุ่งๆ แล้วก็สวยแบบหลบๆ ผมไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องมือที่สามหรอก ผมเคยลูบที่หน้าท้อง แล้วก้มไปจุ๊บๆ พร้อมกับถามว่า "มีใครอยู่ข้างในมั้ย?" เธอขำมาก เคยโทรไปถามเธอว่า ลูกทำอะไรอยู่ เธอตอบว่านอนหลับอยู่ เรื่องเล่นๆ พวกนี้ทำให้ผมผูกพันธ์กับเธอมากขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
เช้าวันนั้น จูบหยอกๆ ปลุกให้เธอตื่นขึ้น อาการหาวหวอดตามมาติดๆ เธอขยี้สองตาเหมือนเด็กๆ นึกแล้วก็ขำ ผมขอให้เธอใช้คีย์การ์ดเปิดประตูให้หน่อย เพราะผมต้องกลับแล้ว แม้ดูเธอจะง่วงสุดๆ แต่ก็รั้งผมไว้ "ไม่อยากให้ไป" เธอรบเร้า .. เมื่อผมยืนยันว่าต้องไปจริงๆ เธอก็ทำหน้าเศร้า ก่อนบอกว่า "หว่อ ปู้อั้ยหนี่เลอ..."
ผมนึกขำ เพราะมันแปลว่า ชั้นไม่รักคุณแล้ว ซึ่งผมไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่อง เธอรู้ว่าผมโสด และที่ผมต้องไป คือ ไปสอบไล่ ที่มหาวิทยาลัย ซึ่งผมอยากให้เธอไปด้วย ถ้าไม่ติดว่าเธอต้องไปทำงาน
-------------------------------------------------------------------------------
"ผมไม่โอเคมากๆ ถ้าเป็นแบบนี้ั้เราก็เลิกกันเถอะ!" ผมโพล่งออกมา ปลายสายเงียบไปสักพัก เธออึ้งชั่วประเดี๋ยวเดียว ก็ตอบกลับมาว่าโอเค ก่อนวางสายผมไป... ผ่านมา 48 ชั่วโมงแล้ว ยังจำบรรยากาศอึมครึม ปนตึงเครียดตอนนั้นได้อยู่
เกิดมาไม่เคยคิดว่าจะมีปัญหาเรื่องแบบนี้
จริงๆ มันคือข้อดี ที่มีแฟนเป็นคนขยันทำงาน ผมบอกแม่ว่า แฟนผมขยันมาก คนรอบตัวผมต่างก็บอกว่าเป็นเรื่องดี หายาก
แต่ถึงจุดๆ หนึ่ง ที่อะไรก็ตาม ทีมันมากเกินไป มันมีเอฟเฟ็คที่ผมเองก็ไม่เคยคาดคิด ไม่เคยนึกถึงเลยด้วยซ้ำ ว่า จะมีแฟนที่ทำงานจน ละเลย เรื่องส่วนตัว เธอไม่เหลือเวลาให้ผม และเย็นวันศุกร์ที่ผมเคย ยอมอดนอน ไปใช้เวลาด้วยกันก็ถูกปฏิเสธ จาก1ครั้ง เป็น2ครั้ง สามครั้ง... จนมันไม่ใช่แล้ว!
"ฉันทำงานยุ่งมาก เลิกงานตีสองตีสามทุกวัน อยากพักผ่อน"
"วันนี้ ไม่สามารถมาได้, ไม่ชอบแบบนี้ คุณทำให้ฉันพักผ่อนไม่พอ"
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
แม้ยารักษาโรค -มากไป ก็ก่อโรคได้ฉันใด
ความไม่พอดีในโลก ทั้งเรื่องดีหรือร้าย ย่อมส่งผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ฉันนั้น
"ไม่รู้จะแก้ตรงไหน"