ตอน สารบัญการเดินทาง
https://ppantip.com/topic/36521948
ตอนที่ 1 เยื้องย่างผ่านสิงคโปร์
https://ppantip.com/topic/36523872
ตอนที่ 2 คืนเบาๆ ใน South Africa
https://ppantip.com/topic/36528187
ตอนที่ 3 Soweto โลโก้สะท้อนการเหยียดสีผิว
https://ppantip.com/topic/36533506
ตอนที่ 4 อลังการม่านน้ำตกในหน้าแล้งที่ Victoria Falls
https://ppantip.com/topic/36539251
ตอนที่ 5 เหนื่อยแค่ไหนไม่หวั่น ชีวิตต้องมันส์ให้สุด (Zimbabwe)
https://ppantip.com/topic/36551394
ตอนที่ 6 อกหักจาก Table Mountain วิ่งไปซบอกน้องเพนกวินปลอบใจ
https://ppantip.com/topic/36570455
หลังจากที่เอารถไปคืนที่สนามบินอย่างปลอดภัยแล้ว (ก่อนหน้านี้เกือบไหลไปชนตูดรถคันอื่น) เราก็เหินฟ้าไปที่ Durban ต่อ ที่นี่ไม่ใช่เป้าหมาย แต่เป็นสนามบินที่ใกล้ที่สุดที่จะไป Sani Pass แต่พอถามประชาสัมพันธ์กลับไม่รู้ว่า Sani Pass คืออะไร ไปยังไง เราเลยเดินออกมาหารถเช่าดีกว่า เราศึกษามาแล้วว่า Sani Pass ต้องใช้รถ 4x4 เท่านั้น ซึ่งรถเช่าจะมีทั้งที่เป็น Auto และเกียร์กระปุก แต่ไม่ได้จองมาก่อนมันเลยไม่มีเกียร์ออโต้เหลือแล้ว ถ้าจะเอาต้องรออีกวันแล้วราคาก็ไม่น่าคบหาเป็นอย่างแรง เพราะเราต้องเช่าขับเข้าไปที่ Lesotho มันต้องเสียค่าประกัน ค่าข้ามประเทศ ฯลฯ รวมๆ แล้วเช่าสามสี่วันหมดไปเกือบสามหมื่น เราเลยขอบายแล้วเอาแค่รถซีดานธรรมดา ราคาปกติก็พอ
พอเช่ารถพร้อม GPS แล้วเราก็มุ่งหน้าไป Drakensberg เลย ที่นี่จะมี Sani Lodge ที่เค้าจะสามารถจัดสรรทัวร์กรุ๊ปเล็กๆ พร้อมรถ 4X4 ให้เราไป Sani Pass ได้ เราเริ่มขับรถออกจาก Durban ตาม GPS เพื่อไป Drakensberg
กว่าจะถึงก็เกือบบ่าย 3 โมงเลยแวะหาอะไรกินแล้วถามข้อมูลเพิ่มเติมจากเจ้าของร้านอาหาร เจ้าของแนะนำให้เราไปที่ Dragon mountain ที่ Garden Resort ปถึงต้องเสีสยค่าเข้า 35 แลน โดยจากข้อมูลของ information desk คือจะมีทางปีน 3 ทางเพื่อขึ้นไปดูถ้ำต่างๆ แน่นอนว่าเราเลือกทางที่ง่ายที่สุด แต่สุดท้ายต่อให้ง่ายแค่ไหนเราก็ไปไม่ถึง เพราะเรา “หลงทาง” เลยจบลงด้วยการถ่ายรูปเล่นบริเวณนั้นแล้วขับรถไปยัง Sani Lodge ต่อ
ตอนออกมาเมฆหมอกเริ่มลงจัด แทบจะมองไม่เห็นทางที่อยู่ข้างหน้าเลย ลมก็ไม่รู้จะแรงไปไหน โดยรวมๆ แล้วแอบกลัวนิดๆ กว่าจะถึง Sani Lodge ก็ 5 โมงแล้วเลยจัดแจงหาที่นอนแล้วถามเรื่องทัวร์ที่จะไป Sani Pass วันพรุ่งนี้ ห้องนอนโดยรวมถือว่าโอเค มีห้องน้ำและห้องอาบน้ำในตัว แต่น้ำในห้องไม่ไหลต้องไปอาบข้างนอกแถมฝนตกอีกต่างหาก เอาเหอะแค่ซุกหัวนอน พรุ่งนี้ก็จะได้ไป Sani Pass แล้ว เย้ๆๆๆ
มาถึงตรงนี้ทุกคนอาจจะงงว่า Sani Pass คืออะไร มันคือทางขึ้นเขาระยะทางเพียง 9 กิโลเมตร แต่ต้องไต่ความสูงถึง 1322 เมตร (จากความสูงน้ำทะเล 1544 เมตร ถึง 2876 เมตร) ซึ่งถือว่าเป็นนที่ชันและอันตรายที่สุดแห่งหนึ่งในโลก และนี่คือเหตุผลที่ทำให้เราอยากมา อยากรู้มันอันตรายแค่ไหน มันชันแค่ไหน แล้วมันมีอะไรที่นั่นบ้าง เดี๋ยวพรุ่งนี้เราก็จะได้สัมผัส Sani Pass ด้วยตัวเองแล้ว
บรรยากาศจากหน้าที่พัก
ตื่นเช้ามาทักทายครอบครัวเกาหลีที่เจอในห้องอาหาร ครอบครัวนี้มีลูก 3 คน ให้ลูกหยุดเรียนแล้วพาเที่ยว 1 ปีเลยจ้า (เหตุใดเจ้าคุณพ่อ เจ้าคุณแม่ มิได้พาเราไปเที่ยวตอนเด็กๆ แบบนี้บ้างนะ) พอ 8 โมงเช้าได้เจอไกด์เป็นครั้งแรก และเป็นการเจอที่เครียดมาก
ไกด์: เราไม่เคยมีลูกค้าไทยเลย
เรา: แล้ว?
ไกด์: เราเลยไม่รู้ว่าคุณต้องใช้วีซ่าไหม?
เรา: แต่ในประกาศที่บอร์ดในออฟฟิศมันก็ไม่ได้เขียนว่าคนไทยต้องขอวีซ่าสำหรับ Sani Pass หนิ
ไกด์: แต่คุณมีวีซ่าในพาสปอร์ต
เรา: ไม่ได้!!!! วีซ่านั้นใช้สำหรับขับเข้าไปเที่ยวเองอีกรอบ ห้ามใช้อันนั้นเด็ดขาด
ไกด์: เราไม่มีทางเลือก เราต้องเสี่ยงดูเท่านั้น
เรา: อะไร ยังไงก็ได้ แต่ห้ามเจ้าหน้าที่ที่ชายแดน Sani Pass ปั๊มลงบนวีซ่าเลโซโทเด็ดขาด
ไกด์: ผมจะพยายาม แต่ไม่รับปาก
หลังจากที่ถกปัญหาที่หาทางออกไม่ได้แล้ว เราก็เริ่มเดินทางกัน ในรถเรานอกจากเราแล้วก็มีคู่รักชาวเยอรมันอีกคู่ แน่นอนว่าเราได้นั่นข้างหน้า ส่วนคู่รักนั่งข้างหลัง แต่สภาพรถที่เห็นนี่ ไม่แน่ใจเลยว่ามันจะพาเราไปถึง ไกด์จะจอดแวะระหว่างทางแล้วเล่าเกร็ดความรู้ต่างๆ ให้ฟัง ฟังรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง หนีไกด์ไปถ่ายรูปบ้าง ก็ได้ใจความมาว่าแถวนี้บางทีก็มีคนลักลอบขนยา เพราะมันเป็นแค่ภูเขาสูงระหว่างสองประเทศ ปีนข้ามไปมาง่าย ไม่ค่อยมีตำรวจมาตรวจแถวนี้เท่าไหร่
ขับมาสักพักก็มาถึงชายแดนฝั่งแอฟริกาใต้ และสิ่งที่ทิ่มแทงใจลูกทัวร์บนรถคือ การเห็นรถซีดานขับข้ามพรมแดน เรากับคู่รักเยอรมันหันมาเม้ามอยกันว่าถ้ารู้งี้ขับรถมาเองก็ดี แล้วยัดใต้โต๊ะนิดหน่อย (เป็นสิ่งไม่ดีที่ไม่ควรคิดไม่ควรทำ แต่ประเทศเจริญแล้วอย่างเยอรมันเค้าก็มีความคิดประมาณเดียวกับคนเอเชียเลยนะ 555) แต่จุดนั้นทำอะไรไม่ได้ เราก็ต้องปล่อยผ่าน
ด่านตม.ฝั่งแอฟริกาใต้
รถไต่เขามาเรื่อยๆ มันชันมากๆ มีบางจุดดินมันลื่นมากจนรถไถล นี่ถ้าขับมาเองด้วยรถเล็กๆ ก็คงน่ากลัวไม่ใช่น้อย เราขับมาจนถึงจุดเกือบบนสุดที่สามารถมองเห็นทางด้านล่างที่เราเพิ่งผ่านมา ทางตรงนั้นคือ Sani Pass มันชัน แล้วก็คดเคี้ยวมากจริงๆ
ด้านบนนี้จะเข้าเขตแดนของประเทศเลโซโทแล้ว ไกด์บอกให้คนอื่นลงไปถ่ายรูปเล่นได้ แต่เราต้องนั่งในรถเท่านั้น แล้วไกด์จะพยายามไม่ให้เจ้าหน้าที่ปั๊มตรงลงบนวีซ่า เราก็โอเค ส่วนเยอรมันสองคนพร้อมใจกันอยู่บนรถกับเรา ไม่ใช่ว่าจะรอเป็นเพื่อนเราหรอก แต่ข้างนอกลมแรงมากจริงๆ นั่งดูอยู่ในรถยังคิดเลยว่าถ้าออกไปเนี่ยต้องตัวปลิวแน่นอน ไม่นานไกด์ก็กลับมาพร้อมบอกว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้ปั้มลงบนวีซ่า แต่ปั้มหน้าข้างๆ วีซ่า อันนี้คงต้องเครียดต่อจนถึงวันพรุ่งนี้สินะ
ตม.ฝั่ง Lesotho
ขับเข้าฝั่ง Lesotho มา ถนนถือว่าดีงามมาก ไกด์บอกว่าประเทศจีนมาสร้างถนนให้ใช้เวลาตั้ง 4 ปี และนี่ก็เพิ่งจะเสร็จไม่นาน รถของเราแล่นผ่านหมู่บ้าน Bosotho ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ติดชายแดนมาที่สุด ไกด์แจ้งว่าเราจะแวะที่นี่กันตอนขากลับ แต่ตอนนี้เราต้องไป Roof of Africa เพื่อกินข้าวกันก่อน
ระหว่างทางเราได้เห็นวิถีชีวิตของคนที่นี่คือการเลี้ยงแพะ เอาจริงๆ เราว่าถนนที่นี่เหมือนจะสร้างให้แพะเดินมากกว่ารถวิ่งอีกนะ เพราะถ้าไม่นับรถนักท่องเที่ยว (ที่มีน้อยนิด) แล้ว เราก็แทบไม่เห็นรถวิ่งบนนถนนเลย
Roof of Africa เป็นลานบนเนินสูงๆ ลมแรงๆ แรงมากจนไม่สามารถออกไปนั่งปิกนิคทานข้าวได้ เราเลยได้แต่นั่นทานข้าวกล่องกันอยู่บนรถ แม้แต่รูปซักใบก็ไม่ได้ถ่าย กลับมาเราแวะที่หมู่บ้าน Bosotho เพื่อดูชีวิตคนพื้นเมืองที่เค้า Set มาให้ดู อารมณ์เหมือนเราไปดูหมู่บ้านชาวกระเหรี่ยงที่ Set ขึ้นมาให้ต่างชาติดู ไม่ใช่ความเป็นอยู่ที่แท้จริงของเขา แต่อย่างน้อยเราก็ได้เห็นว่าข้างในบ้างเค้ามีอะไรบ้าง เค้าใช้ชีวิตอยู่กันยังไง ทำมาหากินอะไร จบด้วยการขายตุ๊กตา ซึ่งเราไม่ได้ซื้อกลับมา
ก่อนกลับเราแวะกันที่ Pub ที่สูงที่สุดใน Africa ไม่น่าเชื่อว่าในพับนี้จะมีคนเยอะมากๆ ซึ่งนอกจากคนจะมากแล้ว อายุของคนที่นี่ก็มากเหมือนกัน แต่ละกลุ่มคืออายุ 50+ ทั้งนั้น แล้วก็มีแต่คน South Africa เป็นส่วนใหญ่ นั่งชิวจิบโกโก้ร้อนพร้อมชมวิวรอบๆ
เสร็จแล้วเราก็นั่งรถกลับไปที่ Sani Lodge เพื่อเก็บข้าวของไปต่อ จุดหมายต่อไปของช่วงบ่ายแก่ๆ วันนี้คือ Matatiele เพื่อที่วันรุ่งขึ้นจะขับรถข้ามไปยังฝั่ง Lesotho จากทาง Qacha Nek แต่ตอนนี้เราต้องการเช็คเมล์ก่อน เพราะตอนเช่ารถ Avis ลืมให้ car boarder pass ซึ่งเราโทรไปหาเค้าเมื่อวาน เค้าว่าจะส่งเมล์มาให้วันนี้ แต่พอเปิดดู แม่เจ้า....ถึงหน้าพี่จะอาหมวย แต่พาสปอร์ตยังเป็น Thailand นะจ๊ะ ไม่ต้องเปลี่ยนสัญชาติพี่เป็นฮ่องกงก็ได้ เลยเมล์กลับไปบอกใหม่ คราวนี้แก้กลับมาให้เร็วมากๆ แต่ชุ่ยสะบัดกว่าเดิม ของเดิมผิดแค่สัญชาติแต่ครั้งนี้ วันที่, Destination , นามสกุล ที่บิดามารดาให้มาแต่กำเนิดและยังเคยเปลี่ยนมาก่อน มันผิดหมดเลยจ้า จะให้รอแก้อีกคงไม่ไหว เอาเป็นว่าแก้ๆ มาแล้วกันเดี๋ยวเราต้องขับรถต่อ ไม่เช่นนั้นจะถึงตอนดึกเกินไป
จาก Drakensberg ขับมาเรื่อยๆ ก็ได้ยินเสียงแปลกๆ ทางซ้ายมือ ลงจากรถไปดูว่ามันมีอะไร แต่ก็ไม่เห็น ขับไปอีกก็ยังมีเสียง คราวนี้จอดแล้วดูอย่างจริงจัง ปรากฎว่าบังโคลนหลุดแล้วสีกับพื้น จะฉีกก็ไม่ขาด จะตัดก็ไม่มีมี ก็ต้องปล่อยให้มันสีกับพื้นไปอย่างนั้น เดี๋ยวถึงที่พักแล้วค่อยหาทางออก
ระหว่างลงมาดูก็เก็บรูปซะหน่อย ภูเขาที่ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆ ดูแล้วอยากกินไอศกรีมยังไงก็ไม่รู้สิ
กว่าจะถึง Matatiele ก็ทุ่มกว่าๆ แล้ว หาที่พัก อาบน้ำแล้วนอน พรุ่งนี้ต้องหาร้านปริ้นเตอร์มาปริ้น Car Boarder Pass อีก ชีวิตสองสามวันนี้คือการขับรถเดินทางจริงๆ เป็นการขับรถต่างประเทศครั้งแรก และเป็นครั้งที่ยาวนาน ขับข้ามเมือง ข้ามประเทศกันเลยทีเดียว
ลุยเดี่ยวเที่ยวทั่วโลก ฉบับ “บุกแอฟริกา 4 ประเทศ 17 วัน” ตอนที่ 7 Sani Passครั้งหนึ่งในชีวิตพิชิตเส้นในฝันที่แอบอันตราย
ตอน สารบัญการเดินทาง
https://ppantip.com/topic/36521948
ตอนที่ 1 เยื้องย่างผ่านสิงคโปร์
https://ppantip.com/topic/36523872
ตอนที่ 2 คืนเบาๆ ใน South Africa
https://ppantip.com/topic/36528187
ตอนที่ 3 Soweto โลโก้สะท้อนการเหยียดสีผิว
https://ppantip.com/topic/36533506
ตอนที่ 4 อลังการม่านน้ำตกในหน้าแล้งที่ Victoria Falls
https://ppantip.com/topic/36539251
ตอนที่ 5 เหนื่อยแค่ไหนไม่หวั่น ชีวิตต้องมันส์ให้สุด (Zimbabwe)
https://ppantip.com/topic/36551394
ตอนที่ 6 อกหักจาก Table Mountain วิ่งไปซบอกน้องเพนกวินปลอบใจ
https://ppantip.com/topic/36570455
หลังจากที่เอารถไปคืนที่สนามบินอย่างปลอดภัยแล้ว (ก่อนหน้านี้เกือบไหลไปชนตูดรถคันอื่น) เราก็เหินฟ้าไปที่ Durban ต่อ ที่นี่ไม่ใช่เป้าหมาย แต่เป็นสนามบินที่ใกล้ที่สุดที่จะไป Sani Pass แต่พอถามประชาสัมพันธ์กลับไม่รู้ว่า Sani Pass คืออะไร ไปยังไง เราเลยเดินออกมาหารถเช่าดีกว่า เราศึกษามาแล้วว่า Sani Pass ต้องใช้รถ 4x4 เท่านั้น ซึ่งรถเช่าจะมีทั้งที่เป็น Auto และเกียร์กระปุก แต่ไม่ได้จองมาก่อนมันเลยไม่มีเกียร์ออโต้เหลือแล้ว ถ้าจะเอาต้องรออีกวันแล้วราคาก็ไม่น่าคบหาเป็นอย่างแรง เพราะเราต้องเช่าขับเข้าไปที่ Lesotho มันต้องเสียค่าประกัน ค่าข้ามประเทศ ฯลฯ รวมๆ แล้วเช่าสามสี่วันหมดไปเกือบสามหมื่น เราเลยขอบายแล้วเอาแค่รถซีดานธรรมดา ราคาปกติก็พอ
พอเช่ารถพร้อม GPS แล้วเราก็มุ่งหน้าไป Drakensberg เลย ที่นี่จะมี Sani Lodge ที่เค้าจะสามารถจัดสรรทัวร์กรุ๊ปเล็กๆ พร้อมรถ 4X4 ให้เราไป Sani Pass ได้ เราเริ่มขับรถออกจาก Durban ตาม GPS เพื่อไป Drakensberg
กว่าจะถึงก็เกือบบ่าย 3 โมงเลยแวะหาอะไรกินแล้วถามข้อมูลเพิ่มเติมจากเจ้าของร้านอาหาร เจ้าของแนะนำให้เราไปที่ Dragon mountain ที่ Garden Resort ปถึงต้องเสีสยค่าเข้า 35 แลน โดยจากข้อมูลของ information desk คือจะมีทางปีน 3 ทางเพื่อขึ้นไปดูถ้ำต่างๆ แน่นอนว่าเราเลือกทางที่ง่ายที่สุด แต่สุดท้ายต่อให้ง่ายแค่ไหนเราก็ไปไม่ถึง เพราะเรา “หลงทาง” เลยจบลงด้วยการถ่ายรูปเล่นบริเวณนั้นแล้วขับรถไปยัง Sani Lodge ต่อ
ตอนออกมาเมฆหมอกเริ่มลงจัด แทบจะมองไม่เห็นทางที่อยู่ข้างหน้าเลย ลมก็ไม่รู้จะแรงไปไหน โดยรวมๆ แล้วแอบกลัวนิดๆ กว่าจะถึง Sani Lodge ก็ 5 โมงแล้วเลยจัดแจงหาที่นอนแล้วถามเรื่องทัวร์ที่จะไป Sani Pass วันพรุ่งนี้ ห้องนอนโดยรวมถือว่าโอเค มีห้องน้ำและห้องอาบน้ำในตัว แต่น้ำในห้องไม่ไหลต้องไปอาบข้างนอกแถมฝนตกอีกต่างหาก เอาเหอะแค่ซุกหัวนอน พรุ่งนี้ก็จะได้ไป Sani Pass แล้ว เย้ๆๆๆ
มาถึงตรงนี้ทุกคนอาจจะงงว่า Sani Pass คืออะไร มันคือทางขึ้นเขาระยะทางเพียง 9 กิโลเมตร แต่ต้องไต่ความสูงถึง 1322 เมตร (จากความสูงน้ำทะเล 1544 เมตร ถึง 2876 เมตร) ซึ่งถือว่าเป็นนที่ชันและอันตรายที่สุดแห่งหนึ่งในโลก และนี่คือเหตุผลที่ทำให้เราอยากมา อยากรู้มันอันตรายแค่ไหน มันชันแค่ไหน แล้วมันมีอะไรที่นั่นบ้าง เดี๋ยวพรุ่งนี้เราก็จะได้สัมผัส Sani Pass ด้วยตัวเองแล้ว
บรรยากาศจากหน้าที่พัก
ตื่นเช้ามาทักทายครอบครัวเกาหลีที่เจอในห้องอาหาร ครอบครัวนี้มีลูก 3 คน ให้ลูกหยุดเรียนแล้วพาเที่ยว 1 ปีเลยจ้า (เหตุใดเจ้าคุณพ่อ เจ้าคุณแม่ มิได้พาเราไปเที่ยวตอนเด็กๆ แบบนี้บ้างนะ) พอ 8 โมงเช้าได้เจอไกด์เป็นครั้งแรก และเป็นการเจอที่เครียดมาก
ไกด์: เราไม่เคยมีลูกค้าไทยเลย
เรา: แล้ว?
ไกด์: เราเลยไม่รู้ว่าคุณต้องใช้วีซ่าไหม?
เรา: แต่ในประกาศที่บอร์ดในออฟฟิศมันก็ไม่ได้เขียนว่าคนไทยต้องขอวีซ่าสำหรับ Sani Pass หนิ
ไกด์: แต่คุณมีวีซ่าในพาสปอร์ต
เรา: ไม่ได้!!!! วีซ่านั้นใช้สำหรับขับเข้าไปเที่ยวเองอีกรอบ ห้ามใช้อันนั้นเด็ดขาด
ไกด์: เราไม่มีทางเลือก เราต้องเสี่ยงดูเท่านั้น
เรา: อะไร ยังไงก็ได้ แต่ห้ามเจ้าหน้าที่ที่ชายแดน Sani Pass ปั๊มลงบนวีซ่าเลโซโทเด็ดขาด
ไกด์: ผมจะพยายาม แต่ไม่รับปาก
หลังจากที่ถกปัญหาที่หาทางออกไม่ได้แล้ว เราก็เริ่มเดินทางกัน ในรถเรานอกจากเราแล้วก็มีคู่รักชาวเยอรมันอีกคู่ แน่นอนว่าเราได้นั่นข้างหน้า ส่วนคู่รักนั่งข้างหลัง แต่สภาพรถที่เห็นนี่ ไม่แน่ใจเลยว่ามันจะพาเราไปถึง ไกด์จะจอดแวะระหว่างทางแล้วเล่าเกร็ดความรู้ต่างๆ ให้ฟัง ฟังรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง หนีไกด์ไปถ่ายรูปบ้าง ก็ได้ใจความมาว่าแถวนี้บางทีก็มีคนลักลอบขนยา เพราะมันเป็นแค่ภูเขาสูงระหว่างสองประเทศ ปีนข้ามไปมาง่าย ไม่ค่อยมีตำรวจมาตรวจแถวนี้เท่าไหร่
ขับมาสักพักก็มาถึงชายแดนฝั่งแอฟริกาใต้ และสิ่งที่ทิ่มแทงใจลูกทัวร์บนรถคือ การเห็นรถซีดานขับข้ามพรมแดน เรากับคู่รักเยอรมันหันมาเม้ามอยกันว่าถ้ารู้งี้ขับรถมาเองก็ดี แล้วยัดใต้โต๊ะนิดหน่อย (เป็นสิ่งไม่ดีที่ไม่ควรคิดไม่ควรทำ แต่ประเทศเจริญแล้วอย่างเยอรมันเค้าก็มีความคิดประมาณเดียวกับคนเอเชียเลยนะ 555) แต่จุดนั้นทำอะไรไม่ได้ เราก็ต้องปล่อยผ่าน
ด่านตม.ฝั่งแอฟริกาใต้
รถไต่เขามาเรื่อยๆ มันชันมากๆ มีบางจุดดินมันลื่นมากจนรถไถล นี่ถ้าขับมาเองด้วยรถเล็กๆ ก็คงน่ากลัวไม่ใช่น้อย เราขับมาจนถึงจุดเกือบบนสุดที่สามารถมองเห็นทางด้านล่างที่เราเพิ่งผ่านมา ทางตรงนั้นคือ Sani Pass มันชัน แล้วก็คดเคี้ยวมากจริงๆ
ด้านบนนี้จะเข้าเขตแดนของประเทศเลโซโทแล้ว ไกด์บอกให้คนอื่นลงไปถ่ายรูปเล่นได้ แต่เราต้องนั่งในรถเท่านั้น แล้วไกด์จะพยายามไม่ให้เจ้าหน้าที่ปั๊มตรงลงบนวีซ่า เราก็โอเค ส่วนเยอรมันสองคนพร้อมใจกันอยู่บนรถกับเรา ไม่ใช่ว่าจะรอเป็นเพื่อนเราหรอก แต่ข้างนอกลมแรงมากจริงๆ นั่งดูอยู่ในรถยังคิดเลยว่าถ้าออกไปเนี่ยต้องตัวปลิวแน่นอน ไม่นานไกด์ก็กลับมาพร้อมบอกว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้ปั้มลงบนวีซ่า แต่ปั้มหน้าข้างๆ วีซ่า อันนี้คงต้องเครียดต่อจนถึงวันพรุ่งนี้สินะ
ตม.ฝั่ง Lesotho
ขับเข้าฝั่ง Lesotho มา ถนนถือว่าดีงามมาก ไกด์บอกว่าประเทศจีนมาสร้างถนนให้ใช้เวลาตั้ง 4 ปี และนี่ก็เพิ่งจะเสร็จไม่นาน รถของเราแล่นผ่านหมู่บ้าน Bosotho ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ติดชายแดนมาที่สุด ไกด์แจ้งว่าเราจะแวะที่นี่กันตอนขากลับ แต่ตอนนี้เราต้องไป Roof of Africa เพื่อกินข้าวกันก่อน
ระหว่างทางเราได้เห็นวิถีชีวิตของคนที่นี่คือการเลี้ยงแพะ เอาจริงๆ เราว่าถนนที่นี่เหมือนจะสร้างให้แพะเดินมากกว่ารถวิ่งอีกนะ เพราะถ้าไม่นับรถนักท่องเที่ยว (ที่มีน้อยนิด) แล้ว เราก็แทบไม่เห็นรถวิ่งบนนถนนเลย
Roof of Africa เป็นลานบนเนินสูงๆ ลมแรงๆ แรงมากจนไม่สามารถออกไปนั่งปิกนิคทานข้าวได้ เราเลยได้แต่นั่นทานข้าวกล่องกันอยู่บนรถ แม้แต่รูปซักใบก็ไม่ได้ถ่าย กลับมาเราแวะที่หมู่บ้าน Bosotho เพื่อดูชีวิตคนพื้นเมืองที่เค้า Set มาให้ดู อารมณ์เหมือนเราไปดูหมู่บ้านชาวกระเหรี่ยงที่ Set ขึ้นมาให้ต่างชาติดู ไม่ใช่ความเป็นอยู่ที่แท้จริงของเขา แต่อย่างน้อยเราก็ได้เห็นว่าข้างในบ้างเค้ามีอะไรบ้าง เค้าใช้ชีวิตอยู่กันยังไง ทำมาหากินอะไร จบด้วยการขายตุ๊กตา ซึ่งเราไม่ได้ซื้อกลับมา
ก่อนกลับเราแวะกันที่ Pub ที่สูงที่สุดใน Africa ไม่น่าเชื่อว่าในพับนี้จะมีคนเยอะมากๆ ซึ่งนอกจากคนจะมากแล้ว อายุของคนที่นี่ก็มากเหมือนกัน แต่ละกลุ่มคืออายุ 50+ ทั้งนั้น แล้วก็มีแต่คน South Africa เป็นส่วนใหญ่ นั่งชิวจิบโกโก้ร้อนพร้อมชมวิวรอบๆ
เสร็จแล้วเราก็นั่งรถกลับไปที่ Sani Lodge เพื่อเก็บข้าวของไปต่อ จุดหมายต่อไปของช่วงบ่ายแก่ๆ วันนี้คือ Matatiele เพื่อที่วันรุ่งขึ้นจะขับรถข้ามไปยังฝั่ง Lesotho จากทาง Qacha Nek แต่ตอนนี้เราต้องการเช็คเมล์ก่อน เพราะตอนเช่ารถ Avis ลืมให้ car boarder pass ซึ่งเราโทรไปหาเค้าเมื่อวาน เค้าว่าจะส่งเมล์มาให้วันนี้ แต่พอเปิดดู แม่เจ้า....ถึงหน้าพี่จะอาหมวย แต่พาสปอร์ตยังเป็น Thailand นะจ๊ะ ไม่ต้องเปลี่ยนสัญชาติพี่เป็นฮ่องกงก็ได้ เลยเมล์กลับไปบอกใหม่ คราวนี้แก้กลับมาให้เร็วมากๆ แต่ชุ่ยสะบัดกว่าเดิม ของเดิมผิดแค่สัญชาติแต่ครั้งนี้ วันที่, Destination , นามสกุล ที่บิดามารดาให้มาแต่กำเนิดและยังเคยเปลี่ยนมาก่อน มันผิดหมดเลยจ้า จะให้รอแก้อีกคงไม่ไหว เอาเป็นว่าแก้ๆ มาแล้วกันเดี๋ยวเราต้องขับรถต่อ ไม่เช่นนั้นจะถึงตอนดึกเกินไป
จาก Drakensberg ขับมาเรื่อยๆ ก็ได้ยินเสียงแปลกๆ ทางซ้ายมือ ลงจากรถไปดูว่ามันมีอะไร แต่ก็ไม่เห็น ขับไปอีกก็ยังมีเสียง คราวนี้จอดแล้วดูอย่างจริงจัง ปรากฎว่าบังโคลนหลุดแล้วสีกับพื้น จะฉีกก็ไม่ขาด จะตัดก็ไม่มีมี ก็ต้องปล่อยให้มันสีกับพื้นไปอย่างนั้น เดี๋ยวถึงที่พักแล้วค่อยหาทางออก
ระหว่างลงมาดูก็เก็บรูปซะหน่อย ภูเขาที่ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆ ดูแล้วอยากกินไอศกรีมยังไงก็ไม่รู้สิ
กว่าจะถึง Matatiele ก็ทุ่มกว่าๆ แล้ว หาที่พัก อาบน้ำแล้วนอน พรุ่งนี้ต้องหาร้านปริ้นเตอร์มาปริ้น Car Boarder Pass อีก ชีวิตสองสามวันนี้คือการขับรถเดินทางจริงๆ เป็นการขับรถต่างประเทศครั้งแรก และเป็นครั้งที่ยาวนาน ขับข้ามเมือง ข้ามประเทศกันเลยทีเดียว