ลุยเดี่ยวเที่ยวทั่วโลก ฉบับ “บุกแอฟริกา 4 ประเทศ 17 วัน” ตอนที่ 3 อลังการม่านน้ำตกในหน้าแล้งที่ Victoria Falls

ลุยเดี่ยวเที่ยวทั่วโลก ฉบับ “บุกแอฟริกา 4 ประเทศ 17 วัน”  ตอนที่ 3 อลังการม่านน้ำตกในหน้าแล้งที่ Victoria Falls
ตอน สารบัญการเดินทาง
https://ppantip.com/topic/36521948
ตอนที่ 1 เยื้องย่างผ่านสิงคโปร์
https://ppantip.com/topic/36523872
ตอนที่ 2 คืนเบาๆ ใน South Africa
https://ppantip.com/topic/36528187
ตอนที่ 3 Soweto โลโก้สะท้อนการเหยียดสีผิว
https://ppantip.com/topic/36533506




ด้วยความที่นอนไม่หลับ เลยตื่นขึ้นมาพร้อมวิญญาณแม่บ้านเข้าสิง จัดการเอาเสื้อผ้าออกมาซัก อาบน้ำแล้วเริ่มตะลุยทริปดีกว่า!!!

ออกจาก Hostel มาไม่ไกลก็จะเจอโบสถ์เล็กๆ แห่งนี้

ตอนเช้าอากาศไม่ร้อนเกินไป เดินชิวๆ ก็ดีเหมือนกัน

ระยะทางจาก Hostel ไป boarder ประมาณ 2.5 กิโลเมตร ซึ่งระยะนี้เป็นระยะที่เราไม่ยอมเสียตังนั่งรถแน่นอน เราใช้เวลาเดินประมาณเกือบครึ่งชั่วโมงไปจนถึง boarder ตอนขาออกก็แค่เดินเข้าตม. ไปปั๊มตราออก จากนั้นเราก็เดินข้ามสะพานเพื่อจะไปยังฝั่ง Zambia ตรงทางเข้าสะพานจะเห็นรถจอดรอเข้ามาฝั่ง Zimbabwe ยาวมาก เพราะด่านสำหรับรถที่จะเข้ามายัง Zimbabwe ยังไม่เปิดให้เข้านั่นเอง

จากปลายสะพานฝั่ง Zimbabwe ไปยังปลายสะพานฝั่ง Zambia ใช้เวลาเดินครึ่งชั่วโมงกกว่าๆ ตรงกลางสะพานจะมีจุดให้โดด Bungee Jump ด้วย แต่อย่างเราเนี่ย.....บายค่ะ แค่เดินข้ามสะพานยังไม่ค่อยกล้าเดินไปเฉียดริมๆ เลย ต้องเดินชิดด้านในเท่านั้น

ภาพจากกลางสะพาน

ความแห้งแล้งสองข้างทางก่อนถึง Zambia

ในที่สุดเราก็เดินมาถึง Zambia จนได้

ที่ตม.ฝั่ง Zambia ไม่ต้องมีพิธีการอะไรมาก แค่ยื่นเงิน ยื่นพาสปอร์ต เจ้าหน้าที่จะปั้มตราวีซ่า ตวัดลายมือเขียนสองสามทีเราก็สามารถเข้าเมืองได้ทันที่ ซึ่งเจ้าหน้าที่คนนี้น่ารักมากๆ สละเวลามาอธิบายว่าจากนี้ออกจากตม. ปุ๊บด้านซ้ายมือก็จะเป็นออฟฟิศขายตั๋วเลย ส่วนแลกเงินก็แลกที่นั่นได้เลย เรากราบลาเจ้าหน้าที่ (จริงๆ แค่ยกมือบ๊ายบาย) แล้วรีบพุ่งตัวไปออฟฟิศขายตั๋วทันที....Victoria Falls จ๋า พี่มาแล้วจ้า

ที่ Zimbabwe ใช้เงิน USD ส่วนที่ Zambia นั้นมีสกุลเงินเป็นของตัวเอง อัตราแลกเปลี่ยน 11.5 Kwacha / USD เราจ่ายเงินค่าตั๋วไป 230 Kwacha จากนั้นก็เดินผ่านลานจอดรถที่มีลิงตัวใหญ่มากเดินไปเดินมา พอขากลับนี่มาเป็น family เลยทีเดียวพอเดินไปถึงทางเข้าก็เอาตั๋วไปลงทะเบียนแล้วก็เริ่มเดินได้เลย เย้ๆๆ



จากแผนที่เราเดินไปด้านซ้ายมือก่อน เพราะ Devil’s Pool อยู่ขวามือเราจะไปสุดท้าย ว่าแล้วเราก็เริ่มต้นเดินๆๆๆๆ พอมองไปด้านซ้ายมือที่มันควรมีสภาพเป็นน้ำตก แต่ ณ วันนั้นมันเป็นแค่หน้าผาแห้งผาด หญ้าสองข้างทางเป็นสีเหลืองแห้งใกล้ตาย

ใกล้ๆ กับ Kiosk จะเจออนุสาวรีย์นี้ก่อน

จากนั้นมาวิวที่ปรากฎต่อสายตาเราเป็นลำดับแรกคือ....ความเหือดแห้งของสายน้ำ

สะพานที่ในรีวิวบอกว่าจะต้องใส่ rain coat เพราะน้ำจะกระเซ็นมาโดนจนเปียกมาก บางคนบอกว่าแม้แต่ใส่เสื้อกันฝนแล้วมันก็ยังเอาไม่อยู่ แต่วันนี้.....ไม่มีน้ำ!!!! “ชั้นมาทำอะไรที่นี่????” กำลังฟิน (เหรอ) กับความแห้งแล้งก็มีสามีภรรยาสูงอายุชาวอินเดียคู่หนึ่งเดินสวนมาขอให้ช่วยถ่ายรูปให้ หน้าตาเค้ายิ้มแย้มมีความสุข ตอนนั้นปากคันมาก อยากถามว่า “บินข้ามน้ำข้ามทะเลมาดูหน้าผาแห้งๆ ยูดูมีความสุขจัง?” แต่ไม่ได้ถามถามแค่ “ยู enjoy ที่นี่มั๊ย?” และคำตอบคือ “คุณจะต้องไปเห็นแล้วรู้สึกเอง เดินไปตรงที่เป็นจุด danger นะ”

สะพานที่รีวิวบอกว่าต้องใส่เสื้อกันฝนนะ...แต่วันนี้คืออะไร?

เดินต่อมาหน่อยก็ยังพบแต่ความช้ำใจ


ด้วยคำแนะนำเราจึงเดินต่อไป จนไปใกล้จุด danger เราเริ่มได้ยินเสียน้ำตกลงมาจากที่สูง เราก็เริ่มยิ้มได้ จนกระทั่งเดินมาจนสุดทางเราก็เห็นน้ำตกอยู่ด้านหน้า แม้ว่ามันจะไม่ได้เป็นม่านน้ำตก แต่อย่างน้อยมันก็ดีกว่าไม่มีน้ำเลย แค่นี้ก็ทำให้เรายิ้มคนเดียวเหมือนเป็นบ้าไม่หยุดอยู่ตรงนั้น มันคือ “ความสุขเล็กๆ ของเรา”


มุมนี้จะเห็นสะพานที่เป็นพรมแดนระหว่างสองประเทศที่เราเดินข้ามมาเมื่อเช้า

ทางเดินกลับ


หลังจากนั้นเราก็ไปเป้าหมายต่อไป “Devil’s Pool” ด้วยความที่เห็นมันอยู่ในแผนที่เลยคิดว่าเดินไปเองได้ไม่น่ายาก (ไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง) ตอนที่เราเดินไปไม่มีใครเดินไปเลย มันใกล้จะเที่ยงแล้วร้อนมากๆ มีแต่คนเดินกลับ เราเลยถามคนแถวนั้นว่า Devil’s Pool ไปยังไง เพราะเหมือนไม่มีทางเดินให้ไป เขาก็บอกให้เราเดินเลาะผาไปถึงกระท่อมที่อยู่ไกลๆ เราก็ไม่มั่นใจ ถามอีกครั้งว่า “ไปได้แน่นะ” เค้ายืนยันว่า “แน่นอน” ส่วนเราก็ “เชื่อ” แล้วเดินไปค่ะ


เนื่องจากนอนไม่ค่อยหลับ ข้าวเช้าไม่ได้กิน แถมแดดก็ร้อน ด้วยความบอบบางของเราจึงเดินได้แค่ครึ่งทาง แล้วก็หน้ามืด เลยนั่งอยู่โขดหินแถวนั้นงัดน้ำมากิน ผ้าเย็นประโคมลดความร้อนในตัว แล้วก็พบว่า “ไม่ไหวแล้ว” เลยเดินกลับ ระหว่างเดินกลับนี่เกือบตาย เพราะรอบๆ ไม่มีคน ไม่มีต้นไม้ ไม่มีอะไรเลย มองไปรอบๆ “เมื่อกี้โดนหลอกเปล่าอ่ะ ถ้าเป็นทางไป Devil’s Pool จริงมันต้องมีคนบ้างสิ” แต่มาถึงตรงนี้ทำอะไรไม่ได้ กัดฟันเดินกลับแบบหน้ามืดๆ กะว่าจะออกไปที่ Kiosk ขายน้ำเพื่อซื้อน้ำ ซื้อขนมแล้วเดินกลับมาใหม่ ปรากฏว่ามีแต่น้ำ งั้นก็กินน้ำแล้วถามให้เคลียร์ๆ ดีกว่าว่าไปยังไง คำตอบที่ได้คือ “ไปเองไม่ได้ ต้องมีเจ้าหน้าที่พาไปเท่านั้น” นั่นไงคะ เดินโง่จนเกือบหน้ามืดตายไปแล้ว

เดินบนลานน้ำตกที่แห้งเหือดคนเดียวตอนก่อนเที่ยง บ้าไปแล้ว

สุดท้ายไปต่อไม่ไหวเลยต้องหยุดพัก

ออกจากน้ำตกเราก็เดินไปหาอาหารทานก่อนเป็นอย่างแรก จากนั้นก็ไปเดินไปพักผ่อนที่ Museum ค่าเข้า USD5 และห้ามถ่ายรูป เพราะห้ามถ่ายรูปเราเลยจำรายละเอียดอะไรไม่ได้ จำได้อย่างเดียวคือ ห้องน้ำสะอาดและปราศจากคน เลยต้องใช้บริการซะหน่อย เพราะอย่างน้อยก็ดีกว่าที่ Hostel หลายเท่าอยู่

ระหว่างทางไป museum

Museum


จบจาก  Museum เราก็กลับมาที่น้ำตกใหม่อีกครั้งพร้อมถามเจ้าหน้าที่ให้แน่ใจว่าถ้าจะไป Devil’s Pool จะไปติดต่อเจ้าหน้าที่ที่ไหน สรุปก็ที่ขายตั๋วนี่แหละ คือผิดที่เราที่ไม่อ่านรายละเอียดว่าเค้ามีตั๋วอะไรบ้าง ค่าเข้า Devil’s Pool ต้องจ่ายอีก USD55 ซึ่งตอนนั้นตัดสินใจว่า “ไม่ไปละกัน” ถือว่าพลาดมาก เพราะชาตินี้จะได้กลับไปอีกมั๊ยก็ไม่รู้ ฮือๆๆๆ

จบในส่วนของ Zambia แล้วนะคะ เดี๋ยวจะมาต่อในส่วนของ Zimbabwe ในคอมเมนต์
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่