คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 9
พูดถึงศิลปะ สมัยวัยรุ่นเคยหลุดเข้าไปเรียนมหาลัยภาคศิลปะออกแบบนิเทศน์มาแล้ว ยอมรับว่าสนุกมาก แต่ผมกับศิลปะมันคนละขั้วกันเลย คือจบช่างอิเล็คไปแต่เผือกไปเรียนต่อศิลปะตามเพื่อนซะงั้น สุดท้ายไปไม่ได้ ใจไม่นิ่งพอ ส่งงานไม่ทัน ตัดสินใจลาออกไปเรียนต่อสายช่างที่ตัวเองถนัด
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า บางครั้งเราตั้งใจทำอะไร ถ้าเราไม่มีความถนัดหรือใจรัก งานนั้นหรือร้านนั้นก็ไม่ประสบความสำเร็จ ถึงแม้มีทุนเยอะก็อาจจะไปไม่รอด หาสิ่งที่ตัวเองรักและถนัดดูซิครับ ได้น้อยกินตามน้อย อย่าหวังรวย เพราะความรวยมันไม่ได้มาง่ายๆ แค่หวังว่าเราอยู่ได้ แค่นี้ก็มีความสุขพอ
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า บางครั้งเราตั้งใจทำอะไร ถ้าเราไม่มีความถนัดหรือใจรัก งานนั้นหรือร้านนั้นก็ไม่ประสบความสำเร็จ ถึงแม้มีทุนเยอะก็อาจจะไปไม่รอด หาสิ่งที่ตัวเองรักและถนัดดูซิครับ ได้น้อยกินตามน้อย อย่าหวังรวย เพราะความรวยมันไม่ได้มาง่ายๆ แค่หวังว่าเราอยู่ได้ แค่นี้ก็มีความสุขพอ
แสดงความคิดเห็น
"ศิลปะยืนยาว ธุรกิจนั้นสั้น" (โจ หมี)
แต่สำหรับชีวิตผม ผมว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ "ศิลปะยืนยาว แต่ธุรกิจนั้นสั้น"
เพราะผมทำธุรกิจมาหลายอย่าง เจ๊งแทบทุกอย่าง ไม่ว่าจะหยิบจับอะไร ก็จะดีเฉพาะตอนแรกๆ เหมือนขี้ใหม่หมาหอม อะไรทำนองนั้น
ตอนแรกๆ ก็ขายดิบขายดี พอไปนานๆ เริ่มซา และ เริ่มทรุด ลงเป็นลำดับ ขั้นตอนสุดท้ายคือ เจ๊ง
แต่ก็ไม่ท้อนะ เจ๊งอีก ก็คิดใหม่ ทำใหม่อีก แล้ววงจรอุบาทว์ ก็จะเวียนกลับมาที่เดิมอีก
ใช่ ... ตอนนั้นยังหนุ่มยังแน่น ถึงจะเจ๊ง แต่ผมก็จะมีแนวคิดใหม่ๆ มาให้ทำอยู่เรื่อย
ผ่านการทำธุรกิจมาสิบกว่าปี ดีจนเจ๊งไปไม่ต่ำกว่า 5 กิจการ ล่าสุดคือกิจการลูกชิ้นปิ้ง ไม้ละ 5 บาท
โรงลิเก ยังไม่ทันเปิดม่าน ลมพายุก็หอบหลังคาไปเสียแล้ว สรุปเจ๊งอีกตามเคย แต่ดีนะที่มีประสบการณ์เจ๊งมาก่อน เลยปิดฉากเร็วกว่าที่คิด ถ้าขืนยังเปิดโรงเล่นต่อไป คงเป็นอะไรที่น่าอดสูตัวเองเป็นยิ่งนัก เฮ่อ
และปัจจุบันธุรกิจที่เคยได้กำไรเลี้ยงชีพปีละ 5 แสน ก็กำลังจะถึงคราวเคราะห์ เมื่อลางร้ายเริ่มมาเยือน
ต้นปี กำไร 50000 ลดลงมาเหลือ 30000 25000 20000 15000 และเดือนนี้ผ่านไป 17 วัน เพิ่งได้กำไร 1176 บาท
ผมก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เพราะยังช็อกไม่หาย
ไม่รู้คนที่เคยเดินกันพลุกพล่านผ่านหน้าร้านผม มันหายไปไหนหมด เงียบเป็นป่าช้า
แต่คนอย่างผม ผ่านอะไรมาเยอะ รู้ทางหนีทีไล่เรียบร้อยแล้วว่า ถ้าขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป
คงไม่พ้นวงจรเจ๊งแบบเดิมแน่ๆ
แล้วผมจะต้องทำยังไงถึงจะต่อสู้กับวงจรบ้าๆ นี้ได้
ผมไม่โทษใคร ไม่โทษลูกน้อง ไม่โทษลูกค้า ไม่โทษเศรษฐกิจ ไม่โทษรัฐบาล ฯลฯ
เวลาล่วงเลยไป.....ผมไม่ใช่คนหนุ่มแบบเดิมอีกแล้ว ผมต้องรวบรวมความคิดทั้งหมดที่ผ่านมากลั่นให้ตกผลึก
นอนคิดอยู่หลายวันว่าจะทำยังไงให้ตัวเราและลูกน้องอยู่รอดได้ในสถานการณ์แย่ๆ แบบนี้
เมื่อวานเลยตัดสินใจ ทำในสิ่งที่คิดว่า มันน่าจะกอบกู้ธุรกิจเราได้บ้าง ไม่มากก็น้อย
ตีตั๋วรถทัวร์จากสุรินทร์ ไป กทม. ทันที เพื่อไปดูงานศิลปะที่หอศิลป์แห่งหนึ่งแถวบางเขน ไปดูให้เห็นกับตาซิว่า ภาพเขียนที่เขาขายกัน ทำไมถึงขายได้ทีละเป็นแสนเป็นล้าน แล้วทำไมเรามัวแต่มาขายของ 3 อย่าง 100 ซึ่งทำให้ตายก็ไม่รวย
และตอนนี้ผมคิดออกแล้วว่า ผมจะขายอะไรต่อไป !!!!!!!!!!
"ศิลปะยืนยาว ธุรกิจยืนยง"
ขอบคุณมากครับ