ในปีที่แล้ว มีคนเคยแชร์ บทความที่วิเคราะห์คลื่น 900 ตามกระทู้เก่านี้

https://m.ppantip.com/topic/34983213?

ถือว่าเป็นบทความที่ทำให้ผมเริ่มมาสนใจวงการนี้อย่างจริงๆ จังๆ

เหตุการณ์หลังจากวันนั้นมาก็ดูเหมือนทุกๆ ประเด็นได้เป็นไปตามที่ผู้เขียนนั้นได้วิเคราะห์:

1. ดีแทคได้ออกมาประกาศว่าจะไม่เข้าร่วมประมูลในราคาแจส
2. เอไอเอสเลยได้ถือโอกาสขอเอาคลื่น 900 ในราคาแจสโดยไม่ต้องมีการประมูล
3. การให้คลื่นโดยไม่มีการประมูลนั้นไม่ได้ แต่ถ้าต้องประมูลก็จะช้าเพราะต้องทำประชาพิจารณ์ก่อน รัฐบาลจึงได้ใช้ ม44 มาช่วยให้เอไอเอสประมูลได้รวดเร็วโดยไม่ต้องทำประชาพิจารณ์ใหม่อีกรอบ
4. ดีแทค ไม่ยอมเปลี่ยนจุดยืนว่าคลื่น 900 ในราคาแจสนั้นแพง เลยไม่ยอมลงประมูล และทำให้ตัวเองหมดโอกาสได้คลื่นความถี่ต่ำด้วยน้ำมือตัวเอง
5. เอไอเอสเลยได้ใบอนุญาต 900 ไปแบบง่ายดาย
6. ดีแทคโดนทรูแซงหน้า ตกลงมาเป็นเบอร์ 3

ผมรอคอยให้ผู้เขียนเรื่อง 900 มาโพสต์เรื่อง 2300 ใหม่อีกที เพื่อที่จะรอฟังว่าความคิดเรื่อง 2300 ของเขาตรงกับผมหรือเปล่า แต่รอมา 2 อาทิตย์ก็ยังไม่มีใครมาโพสต์ วันนี้ผมเลยตัดสินใจมาวิเคราะห์ 2300 ให้ทุกท่านฟัง

เพราะว่าการเขียนครั้งนี้ อาจจะกระทบการงานของผมได้ วันนี้ผมเลยขอให้เพื่อนช่วยโพสต์ บทวิเคราะห์นี้ให้ทุกท่านได้อ่าน

ผมขอทำนายว่า ดีแทคได้ตัดสินใจผิดอย่างมากในการมาเอา คลื่น 2300 และคลื่นนี้อาจจะทำให้ดีแทคหมดตัว ล้มทั้งยืน ไม่ต่างจากตอนที่นโปเลียนยกทัพไป ตีรัสเซีย และทหารฝรั่งเศส 300,000 นาย ค่อยๆ อดตายอย่างทรมาน ท่ามกลางอากศหนาวเหน็บ แบบโหดสลัดของ รัสเซีย

แต่ก่อนที่ผมจะวิเคราะห์ว่าทำไมดีแทคถึงตัดสินใจ พลาดท่าต่อ เอไอเอสและทรู ผมอยากให้เราพยายามมาเข้าใจ เหตุผลที่ดีแทคใช้ในการตัดสินใจก่อนครับ

1. การที่ดีแทคไม่ได้คลื่น 900 และ 1800 รอบที่แล้ว แปลว่าหลังจากปี 2018 ที่ดีแทคจะหมดสัมปทาน 1800 และ 850 และจะเหลือเพียงคลื่น 2100
2. รัฐบาลจะนำคลื่น 850 ไปใช้กับรถไฟฟ้าความเร็วสูง ที่จะมีบทบาทสำคัญในการอัพเกรดให้ ประเทศไทยเป็น 4.0 และ คลื่น 1800 จะถูกแบ่งออกมาประมูล 3 ใบ
3. เพราะฉะนั้น ดีแทคจะไม่มี คลื่น 850 และถึงดีแทคสามารถได้คลื่น 1800 มาได้ พร้อมๆ กับ เอไอเอสและทรู ดีแทคก็จะอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบเพราะ ทั้งเอไอเอสและทรูจะมี คลื่น 1800 อยู่ 30mhz แต่ดีแทคจะมีคลื่น 1800 เพียง 15mhz และ ด้วยเหตุนี้ การที่ดีแทคเคยใช้ อั้ม มาโฆษณา ว่าดีแทคมีคลื่น 1800 อยู่ 20mhz และกว้างที่สุด ก็จะกลับกลายมาเป็นฝันร้ายที่จะหลอกหลอนตัวเองเมื่อ เอไอเอสและทรูจะมีคลื่น 1800 อยู่ที่ 30mhz ที่กว้างกว่า
4. ถ้าปล่อยใว้แบบนี้ brand positioning ที่ดีแทคได้สร้างมาตอนต้นปีจากการที่ไม่มองยาวๆ พอก็จะพังทลายลงมาถ้าดีแทคไม่ยอมทำอะไรสักอย่าง ดีแทคเลยกัดฟันตัดสินใจลงทุนใน 2300 หนักมากๆ เพราะอาจคิดว่าจะได้ คลื่น 60mhz ที่กว้างมากๆ มาโฆษณาเพียงคนเดียว

ฟังดูมีเหตุผลใช่มั้ยครับ? และทำไมผมถึงว่าดีแทคตัดสินใจผิดพลาด?

1. ราคานี้สูงมากๆ และดีแทคจ่ายสูงเกินไป ตามข่าวเห็นหนังสือพิมพ์บอกว่าดีแทคได้จ่ายราคาสูง กว่าเอไอเอสและทรูกว่า 30% แปลว่าถ้ามีการประมูลอย่างเปิดเผย ดีแทคก็จะชนะการประมูลในราคาที่ถูกกว่า ถึงพันล้านบาทต่อปี
2. ถ้าประเมินว่า ในการสร้างโครงข่าย TDD 2300 ที่วงแคบกว่า FDD 1800 และต้องใช้เงินจำนวนมากกว่าในการทำให้ครอบคลุมเท่า FDD 1800 บวกกับจำนวนมือถือที่อยู่ในตลาดน้อยกว่า FDD 1800 ราคาเหมาะสมของTDD 2300 60% ของ 60mhz ในสายตาที่ปรึกษาด้านเทเลคอมอย่างผม ก็คงอยู่มากสุดที่ประมาณ 3 พันล้านบาทต่อปีถ้า เอาราคา 1800 15mhz จากการประมูลรอบที่แล้วเป็นตัวตั้งตน ผมเลยมองว่าดีแทคจ่ายเกินไปอย่างมาก
3. ดีแทคจะไม่มีวันกว้างที่สุดได้จริง เพราะทางเทคนิคแล้ว ถ้าเอไอเอสและทรู มารับซื้อ 10% ในรูปแบบ MVNO จาก ทีโอที เอไอเอสและทรูก็สามารถได้ความกว้าง 60mhz เหมือนดีแทค แต่ด้วย จำนวนที่น้อยกว่า อุปมาเหมือนกับดีแทคจ่ายเงิน 3000 บาทเข้าร้านอาหารบุฟเฟต์และมีเวลานั่งกิน 2 ชั่วโมง แต่เอไอเอสและทรู จ่ายแค่ 500บาท เข้าร้านอาหารบุฟเฟต์เดียวกัน อาหารเหมือนกัน ทุกอย่างเหมือนกัน แต่อยู่ได้แค่ 30นาที ซึ่งก็เกินพอสำหรับ เอไอเอสและทรูที่มีคลื่นอื่นอีกเยอะอยู่แล้วเพราะฉะนั้น ดีแทคก็จะไม่สามารถเอาความ พิเศษใดๆ หรือ exclusivity มาอ้างทำโฆษณาได้เลย เพราะ เอไอเอสและทรูก็จะได้เหมือนๆ กัน หรือจะให้พูดง่ายๆ ดีแทคใช้เงินมหาศาลมาสร้าง ร้านบุฟเฟต์สุดหรูเพื่อให้เอไอเอสและทรูมานั่งกินเล่นตามความต้องการในราคาที่ถูกกว่า ที่ดีแทคต้องจ่าย รอบนี้ดีแทคจึงแพ้ทาง เอไอเอสและทรูอย่างราบคาบ ดีแทคเหมือนกับนโปเลียนบุกไปสิ้นเปลืองกำลังพลในกับดักสมรภูมิรัสเซีย
4. ตอนนี้ดีแทคยังไม่เปิดเผยต้นทุนทั้งหมดให้กับตลาด แต่ถ้าให้ผมเดา น่าจะตัองจ่ายค่าคลื่น 4500ล้านต่อปี บวกค่าวางโครงข่าย อีกประมาณ 4500ล้านบาทต่อปีเมื่อสร้างโครงข่ายครบ แปลว่าถ้าถึงดีแทคหักค่าใช้จ่ายที่จะหมดไปกับการหมดสัมปทาน 1800 850 เมื่อหมดอายุ ดีแทคก็จะยังมีต้นทุนมากกว่าเดิมถึง 3000 ล้านบาทต่อปีถ้าให้ผมประเมินเร็วๆ และนี้ยังไม่รวมค่าคลื่น 1800 ในอนาคตอีก ถ้าต้นทุนเพิ่ม 3000 ล้านบาทต่อปี ดีแทคก็ต้องได้รายได้เพิ่ม จากปัจจุบัน ถึง 1 หมื่นล้านบาทต่อปีถึงจะคุ้มทุน ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้เลย ถ้า เอไอเอสและทรูจะมีคลื่น 1800 ที่กว้างกว่าดีแทคในปีหน้า มีคลื่น low band ที่ดีแทคไม่มีและยังสามารถใช้ คลื่น 2300 60mhz ในต้นทุนที่ต่ำกว่าดีแทคอีก พูดง่ายๆ ดีแทคจะขาดทุนเพิ่ม แต่กลับไม่มี growth!! แล้วราคาหุ้นจะเป็นอย่างไร???
5. การที่ดีแทคลงเงินเยอะบน 2300 แทนที่จะรอให้เอไอเอสหรือทรูเอา 2300 และตัวเองรอเป็น MVNO เอา 10% จะทำให้ดีแทคไม่มีกำลังเงิน มาทำแคมเปญแบบเด็ดๆ มาแข่งขัน และก็ไม่สามารถที่จะมีเงินแข่งประมูลได้มากสำหรับคลื่นอื่นๆ ในอนาคตซึ่งก็จะเป็นการช่วยเอไอเอสและทรูได้คลื่นดีๆ ในราคาที่ถูกลง
6. ถ้าดีแทคหัดมองป่าทั้งป่าให้เห็น ดีแทคก็จะรู้ว่า เอไอเอสและทรูไม่ได้สนใจ 2300 เท่าไหร่ แต่กลับสนใจ คลื่น 2600 มากกว่า ซึ่งก็น่าจะถูกกว่ามากๆ เพราะมีจำนวนถึง 190mhz พูดง่ายๆ คือเยอะมากๆๆ และไม่มีความจำเป็นต้องแข่งราคากันเพราะมีพอที่จะแบ่งให้ทุกๆ คนในราคาไม่แพง การที่ดีแทคทุ่มกับ 2300 หมดตัว เหมือนกับนะโปเลียนมองเกมผิดพลาดพากองทัพใหญ่ไปตายที่รัสเซีย  กรณีแสดงให้เห็นว่าดีแทคไม่เห็นป่าทั้งป่า ไม่ทันเกมคู่แข่ง ไม่ใจเย็น และได้จ่ายเกินราคาเหมาะสมไปมากกว่า 1000ล้านบาทต่อปี

ด้วยเหตุผลเหล่านี้ผมเลยขอทำนายว่า แนวโน้มกำไรของดีแทคจะติดลบหนักในปี 2018 เป็นต้นไป และโอกาสที่จะกลับมากำไรไม่มีจนจะครบสัญญา กับทีโอทีในปี 2025 (ถ้าไม่ปิดกิจการไปเสียก่อน)

ส่วน LINE mobile ก็ไม่ได้ข่วยอะไรดีแทคมากนักหลอกถ้าเราศึกษาประวัติศาสตร์ MVNO ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศให้ดี ในบางกรณีอาจจะเป็นผลเสียด้วยซ้ำ

ที่เขียนไม่ได้มีความแค้นอะไรกับดีแทค ถึงแม้เขาจะเคยปลดคนรู้จักออกจากบริษัทก็ตาม แต่ที่เขียนเพราะไม่อยากเห็นนักลงทุนรายย่อยเป็นเหยื่อหลงคิดว่าดีแทคจะกลับมาดีได้เพียงเพราะคลื่น 2300 และอยากจะให้เข้าใจว่า วงการนี้ดุเดือดและสนุกแค่ไหน เผื่อว่าสนใจจะมาทำงานในอุตสาหกรรมนี้ด้วย

เรื่องราคาหุ้นที่เหมาะสม ผมไม่ขอวิจารณ์เพราะว่าไม่อยากชี้นำ แต่ขอเตือนสติว่าการขึ้นครั้งนี้ยังไม่มีปัจจัยพื้นฐานมารองรับ

ถ้าลุกช้าระวังจะจ่ายรอบวงนะครับ