สวัสดีค่ะ
เราเป็นอีกคนหนึ่งที่มีโอกาสได้เข้าร่วมโครงการ Work and Holiday (WAH – subclass 462) ที่ประเทศออสเตรเลียเป็นเวลา 1 ปีเต็มเมื่อปี 2016 ที่ผ่านมา หลายคนอาจสงสัยว่าโครงการนี้คืออะไร และไปทำอะไร เดี๋ยวจะอธิบายคร่าวๆให้อ่านกันนะคะ
WAH เป็นโครงการแลกเปลี่ยนเยาวชนระหว่างรัฐบาลไทยและออสเตรเลีย โดยปัจจุบันจะมีโควต้าให้ปีละ 500 คน ซึ่งเปิดโอกาสให้เยาวชนไทยที่มีอายุระหว่าง 18-30 ปี ( ปีนี้ออกกฎใหม่ ให้ได้ถึงอายุ 35 ปี ) ได้ไปลองใช้ชีวิตในออสเตรเลียเป็นเวลาหนึ่งปี โดยเยาวชนเหล่านี้ต้องมีผลภาษาอังกฤษอยู่ในระดับพอใช้และจบการศึกษาขั้นต่ำปริญญาตรี สำหรับระดับภาษาอังกฤษวัดกันโดยใช้ผลสอบ IELTS หรือสำหรับคนที่จบเมืองนอก หรือเรียนในหลักสูตรภาษาอังกฤษก็สามารถใช้ใบรับรองแทนผลสอบ IELTS ได้ค่ะ โดยในระหว่างหนึ่งปีที่ถือวีซ่านี้เราสามารถทำงานได้โดยถูกต้องตามกฎหมาย หรือจะเรียน จะเที่ยวอย่างเดียวก็ได้
สิ่งที่อยู่ในหัวของหลายๆคน คือ เมื่อได้วีซ่าแล้วจุดหมายปลายทางก็คงไม่พ้นเมืองใหญ่ๆ เช่น Sydney, Melbourne หรือ Brisbane และงานที่ทำก็คือร้านอาหาร แต่... เราจะพาทุกคนไปดูอีกมุมนึงของการมา WAH ที่ขนาดตัวเราเองยังคาดไม่ถึง กระทู้จะค่อนข้างยาวนิดนึงนะคะ เพราะเราจะเล่าประสบการณ์ตลอดทั้งปีที่ได้ไปอยู่ที่นู่น
การมาออสเตรเลียครั้งนี้เราเดินทางกับแฟนเราสองคน ซึ่งแฟนเราเป็นคนเยอรมันและถือวีซ่าคล้ายๆกัน คือ Working Holiday Visa (subclass 417) ก็จะเป็นลักษณะเดียวกันกับ WAH ของเรา แต่สามารถต่อวีซ่าปีที่สองได้ถ้าทำงานครบตามเงื่อนไขที่กำหนด ซึ่งปลายปีที่ผ่านมาก็มีข่าวดีสำหรับหลายๆคนสำหรับเด็ก WAH - Subclass 462 ให้ต่อวีซ่าอีกปีนึงได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องทำงานให้ครบตามเงื่อนไขที่กำหนดเช่นเดียวกัน จุดเริ่มต้นของเราก็เริ่มที่เมืองใหญ่เหมือนคนอื่นๆ เราเลือกบินไปลง Brisbane เนื่องจากมีเพื่อนของแฟนเราทำงานอยู่ในเมือง Stanthorpe ซึ่งห่างจาก Brisbane ประมาณ 200 km สิ่งที่เราชอบมากๆใน Brisbane คือเค้าจะมี City Beach หรือชายหาดจำลองในเมือง ให้คนได้ไปใช้บริการในเวลาว่างกันแบบฟรีๆ มีห้องอาบน้ำห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าให้อีกด้วย
เมื่อมาถึงเราแนะนำให้ทุกคนเข้าเวปไซด์สมัคร TFN (Tax File Number) ซึ่งก็คือเลขประจำตัวผู้เสียภาษี เราจำเป็นจะต้องใช้เลขนี้ในการสมัครงาน หลายคนอาจจะคิดว่า เอ..ถ้าเราทำงานแบบไม่จ่ายภาษี เราไม่ได้เงินเยอะกว่าหรอ อาจจะใช่ค่ะ ในกรณีที่เราขอคืนถาษีได้แค่ส่วนหนึ่ง แต่เราจะเสียผลประโยชน์ในด้านอื่นๆค่ะ คือปกติแล้วคนที่ทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายในออสเตรเลีย จะได้รับเงินส่วนหนึ่งที่เรียกว่า Superannuation ซึ่งคิดเป็น 9.5% ของรายได้ โดยนายจ้างต้องเป็นคนจ่ายให้ลูกจ้าง เงินอันนี้เราได้ต่างหากนะคะ ไม่ได้หักออกจากค่าจ้างแบบภาษี ยกตัวอย่างเช่น วัน
นี้เราทำงานได้ $200 หักภาษีแล้วเหลือ $174 เราจะได้ superannuation เป็นเงิน $200 x 9.5% = $19 แต่เราจะไม่ได้รับเลยทันทีนะคะ เงินจำนวนนี้จะเข้าไปอยู่ในบัญชี superannuation ของเรา (สามารถเปิดได้ที่ westpac หรือนายจ้างจะเปิดให้เราก็ได้) และสามารถขอคืนได้เมื่อเราออกจากออสเตรเลียอย่างถาวร ซึ่งรวมๆแล้วก็เยอะพอสมควรเหมือนกัน และถ้าเราทำงานโดยไม่เสียภาษี ซึ่งหมายความว่าทำงานแบบผิดกฎหมาย เราก็จะไม่ได้ในส่วนนี้ อีกอย่างคือนายจ้างส่วนใหญ่จะกดค่าแรงเมื่อรู้ว่าเราทำงานแบบผิดกฎหมาย แต่ถ้าทุกคนมี TFN ก็สบายใจได้ค่ะ
และสิ่งต่อมาที่เราทำคือ ซื้อรถ ใช่ค่ะ อ่านไม่ผิด ซื้อรถจริงๆ แต่เป็นรถมือสอง หรืออาจจะสามหรือสี่ก็แล้วแต่ เราได้รถซีดานมาในราคา $1,300 จาก Gumtree แต่ต้องเอามาซ่อมนิดหน่อยประมาณ $300 ซึ่งถือว่าได้มาในราคาที่ถูกมากและสภาพก็ไม่ขี้เหร่นัก เหตุผลที่ต้องซื้อรถคือ สะดวกต่อการย้ายที่หางาน และเหตุผลรองลงมาคือ สะดวกต่อการท่องดินแดนจิงโจ้แห่งนี้นี่ล่ะค่ะ หลังจากซื้อรถแล้วเราก็ขับไปเที่ยวรอบๆ ใกล้ๆนี้ก็จะมี Spring Brook National Park
หลังจากอยู่บริสเบนได้สี่วัน เราก็ตัดสินใจเดินทางไปเมือง Stanthorpe เพื่อที่จะไปสมทบกับเพื่อนที่นู่น ซึ่ง Stanthorpe จะเป็นเมืองที่ Backpackers (กลุ่มคนที่มาด้วยวีซ่า working holiday หรือ WAH) ทั้งหลายมุ่งหน้าไปทำงานฟาร์มในช่วงเดือนพฤศจิกายน – เมษายน งานหลักๆก็จะเป็นเก็บผักและผลไม้ เช่น แอปเปิ้ล พริกหยวก มะเขือเทศ และองุ่น
เมื่อมาถึง สิ่งแรกที่ทำคือหาที่พัก เราโชคดีมากที่ได้ Cabin ส่วนตัวมีเตียงใหญ่ ครัว และระเบียง แต่ใช้ห้องน้ำรวม ในราคา $140/week ต่อคน ซึ่งเราอยู่กับแฟนเราสองคน ที่พักชื่อว่า Country Style Caravan Park ซึ่งบรรยากาศดีและมีความเป็นส่วนตัวมาก ที่บอกว่าโชคดีเพราะว่าบางคนอาจได้ห้องรวม หรือบางคนนอนในเต็นท์ก็มี บางคนก็นอนใน Campervan ของตัวเอง คือทาง Caravan Park จะมีที่ให้แบบ Power Site และ Unpower Site คนที่มีรถแบบที่สามารถนอนในรถได้ เช่นพวก Campervan หรือ 4WD ก็จอดตาม site และใช้ห้องน้ำรวมและเอา หรือบางคนก็อาจจะมีเต็นท์ เอาเต็นท์มากาง ไม่ต้องตกใจนะคะ เพราะนี่คือวิถีของ Backpackers ที่แท้จริง ซึ่งโดยส่วนใหญ่ที่เจอก็จะเป็นพวกยุโรป เยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาลี เอเชียก็จะมีญี่ปุ่นกับไต้หวันที่เจอเยอะมาก แรกๆเราก็ตกใจเหมือนกันค่ะว่าเค้าอยู่กันได้ยังไง นอนในเต็นท์เป็นเดือนๆ แต่หลังจากนั้นชีวิตเราก็กลายเป็นแบบนี้เช่นเดียวกัน เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังใน partต่อๆไปนะคะ ตอนนี่เรามาดูบรรยากาศใน Caravan Park ก่อนว่าเป็นยังไง หลายๆคนอาจจะนึกภาพไม่ออก มันก็จะคูลๆประมาณนี้
กลางคืนบางโอกาสก็อาจจะออกมาก่อกองไฟ ทำบาบีคิวกินกันสนุกสนาน เราจะบอกว่าที่นี่กลางคืนฟ้าจะมืดมาก สามารถมองเห็นทางช้างเผือกได้ง่ายๆ เกือบทุกคืน เห็นหมดทั้งกาแลกซี่ รู้สึกเหมือนกับว่าดาวอยู่ใกล้เรานิดเดียวเอง แถมช่วงที่ฝนตก หรือช่วงเช้าตรู่ ถ้าได้ออกไปขับรถเล่นข้างนอก ก็จะเห็นจิงโจ้ออกมาหลายตัวเลยล่ะค่ะ
ฝีมือการถ่ายดาวห่วยๆครั้งแรกของเราโดยไม่มีขาตั้งกล้อง
ข้อดีของการมาพักใน Caravan Park คือ เค้าจะหางานให้เรา โดยทางเจ้าของฟาร์มจะติดต่อกับที่นี่โดยตรง เราก็ไปลงชื่อไว้ แล้วทางเจ้าของจะมาบอกเราเมื่อมีงาน บางคนอาจต้องรอเป็นสัปดาห์ หรือบางคนรอแค่ไม่กี่วันก็ได้งานแล้ว ส่วนเรารอประมาณ 3 วัน งานแรกที่ได้คือเก็บองุ่น แต่จะจ้างแค่รายวัน เนื่องจากที่นี่จะเป็นไร่องุ่นที่เอาไว้ทำไวน์ ระยะเก็บเกี่ยวจะค่อนข้างสั้น การเก็บองุ่นไวน์ก็ง่ายมาก เพราะไม่ต้องเลือก คือเก็บทุกอย่างที่ขวางหน้า ค่าจ้างที่นี่จ่ายเป็นรายชั่วโมง ซึ่งตอนที่เราไปได้ชั่วโมงละ $21.60 ก่อนหักภาษี เมื่อหักภาษีแล้วจะเหลือ $18.87/hr ส่วนภาษีที่โดนหักไปเราสามารถรีฟันคืนได้ทีหลังค่ะ ขออธิบายก่อนนะคะว่าค่าจ้างจะมีสองแบบ แบบแรกคือรายชั่วโมง อีกแบบนึงคือเป็นแบบ contract หมายถึง เก็บได้เท่าไหร่ก็ได้เงินเท่านั้น เช่น เก็บแอปเปิ้ล ทางฟาร์มจะกำหนดว่าให้กระบะละ $80 วันนึงเราเก็บได้ 3 กระบะ ก็จะได้ค่าจ้าง $160 อันนี้ต้องอาศัยความเร็วค่ะ ถ้าใครเร็วก็จะได้เงินเยอะ ทั้งสองแบบนายจ้างจะจ่ายเงินค่าจ้างทุกๆสัปดาห์ แต่เราแนะนำว่าให้เลือกงานที่เป็นรายชั่วโมงจะดีกว่า แต่ถ้าใครมีโอกาสเก็บบลูเบอรี่ให้รับเลยค่ะ งานสบายและได้เงินเยอะกว่ารายชั่วโมง
นอกจาก Caravan Park แล้ว ก็จะมี Working hostel ที่เป็นลักษณะเดียวกัน คือเราพักกับทาง hostel แล้วเค้าก็จะหางานให้เรา แต่เราไม่เคยพักใน hostel นะ เพราะไม่ชอบการอยู่รวมห้องกับคนหมู่มาก อาจจะเหมาะกับคนที่เดินทางคนเดียวมากกว่า และนอกจากนี้เรายังสามารถหางานได้อีกทางหนึ่งคือ agency โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ อย่างใน Stanthorpe ก็จะมี Best Harvest Agency เราก็เข้าไปกรอกเอกสาร และรอเรียกเมื่อมีงาน คนที่มีรถจะได้เปรียบมากกว่าเพราะเค้าจะให้งานกับคนที่มีรถก่อน เนื่องจากการเดินทางไปฟาร์มจะค่อนข้างไกล และไม่มีรถประจำทาง แต่ส่วนคนที่ไม่มีรถก็สามารถอาศัยรถของทางที่พักได้ค่ะ เค้าจะจัดรถไปรับส่ง แต่อาจจะไม่มีทุกฟาร์ม ค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ประมาณ $10-$13 ต่อวัน แล้วแต่ระยะทาง
เราเก็บองุ่นได้สองวัน ก็มีงานมาใหม่คือ เก็บพริกหยวก ซึ่งตอนแรกมีคนออก เค้าเลยให้เราไปแทน ตอนแรกที่ได้งานก็แอบกังวลนิดหน่อยค่ะ เพราะได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของการเก็บพริกหยวกมาว่าโหดสุดๆ เนื่องจากต้นพริกหยวกจะค่อนข้างเตี้ยแล้วเราต้องก้มเก็บตลอดทั้งวัน ทุกคนที่เคยเก็บบอกว่าจะปวดหลังมากๆ แล้วก็เป็นจริงอย่างที่เค้าว่ากัน เรากลับบ้านมา ปวดทั้งขาและหลัง จะลุกจะเดินแทบไม่ไหว เช้าวันต่อมาเราก็ตื่นแต่เช้าเตรียมตัวไปทำงาน ในใจยังคิดเลยว่าจะทำไหวมั้ยเนี่ย แต่โชคก็ได้เข้าข้างเรา เมื่อเราเปิดดูโทรศัพท์และมีข้อความเข้าบอกเราว่าไม่ต้องไปทำงานแล้ว โดยให้เหตุผลว่า ช่วงนี้ราคาตลาดไม่ค่อยดี เลยจำเป็นที่จะต้องลดต้นทุนโดยการตัดลูกจ้างออก ซึ่งเราเป็นคนที่มาหลังสุด เราเองก็แอบนอยนิดๆนะคะ เพราะไม่มีงานทำแล้ว ส่วนแฟนเราก็ไปเก็บพริกหยวกเหมือนกันแต่คนละฟาร์ม ซึ่งเริ่มทำงานก่อนเราได้สามวัน แต่พอกลับบ้านมาในวันนั้น เค้าบอกกับเราว่าไม่รู้ว่าจะได้ไปทำอีกรึเปล่า ซึ่งพอเช้าวันต่อมาก็เป็นไปตามคาดค่ะ ตกงานแพคคู่ เราเลยตัดสินใจเข้าไปหา Best Harvest เพื่อถามถึงงาน พอไปถึงเราก็ได้ข่าวดีว่ามีตำแหน่งงานว่างพอดี เป็นงานในร่มที่ Sweet Strawberry Runners ซึ่งที่นี่จะปลูกต้นสตอเบอรี่เพื่อจำหน่ายต้นให้กับชาวสวนรายย่อย เราได้กะกลางคืน คือเริ่มงาน 6 โมงเย็นและเลิกงานเที่ยงคืน เราได้อยู่ในส่วนของ packing ส่วนแฟนเราได้ทำตรงเครื่องจักร งานค่อนข้างสบายแต่น่าเบื่อเพราะต้องยืนว่างๆเป็นบางครั้ง เราทำกะกลางคืนไปได้อาทิตย์นึง หัวหน้าก็บอกว่าจะยกเลิกกะกลางคืนแล้วเพราะมีคนมาทำน้อย งานเลยไม่เดิน ก็เลยย้ายพวกเราทั้งหมดไปกะกลางวัน ซึ่งเราโชคดีมากๆอีกแล้ว เพราะหน้าที่ที่เราต้องทำคือจดเลขตะกร้า และคอยส่งตะกร้าจากสายพานให้คนที่ฉีดทำความสะอาดต้นสตอเบอรี่ที่มัดรวมใส่ตะกร้าไว้แล้ว หลังจากย้ายมากะกลางวัน เราได้ชั่วโมงค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว ประมาณสัปดาห์ละ 50-70 ชม. ค่าจ้างก็จะตกสัปดาห์ละ $800-$1200 ซึ่งค่าใช้จ่ายจำเป็นสำหรับค่าที่พัก ค่ากิน และน้ำมันรถ รวมๆแล้ว $300/สัปดาห์ เท่ากับว่าเราเหลือเก็บอาทิตย์ละ $500 อย่างต่ำ เมื่อทำไปถึงสัปดาห์ที่ 7 วันสุดท้ายของการทำงานก็มาถึง เนื่องจากหมดซีซั่นของสตอเบอรี่ โรงงานที่นี่จะปิด และเปิดอีกครั้งเมื่อถึงซีซั่นของบลูเบอรี่
ในช่วงวันหยุดเราก็จะหาโอกาสไปเที่ยวในละแวกใกล้ๆ ซึ่งก็จะมีอุทยานให้เราได้เล่นน้ำและ trekking ในระยะทางสั้นๆ
จากการทำงานทั้งหมด 8 สัปดาห์ใน Stanthorpe เรามีเงินเก็บประมาณ $6000 เรากับแฟนใช้เงินที่ได้มาส่วนหนึ่งหารรวมกันซื้ออุปกรณ์ Camping จำพวก เต็นท์ เตาปิกนิก ที่นอนเป่าลม โต๊ะเก้าอี้แบบพับได้ และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆที่จำเป็น เพราะต่อจากนี้ไปเราจะใช้ชีวิตกันในเต๊นท์นี่แหละเป็นเวลาอีกสองเดือน เพราะเรากำลังจะออกไป road trip กัน ซึ่งการเดินทางครั้งนี้เราจะเริ่มจาก Byron Bay มุ่งหน้าขึ้นเหนือเลียบชายฝั่งตะวันออกไปเรื่อยๆ และจะไปจบที่ Cairns มาลุ้นกันว่าเราจะทำได้สำเร็จหรือไม่ในงบ $5000 กับเวลาสองเดือนใน part ต่อไปนะคะ
Part 2
https://ppantip.com/topic/36516794
[CR] มหากาพย์ การเดินทางกว่า 30,000 km รอบออสเตรเลีย ด้วยวีซ่า WAH <Part 1>
เราเป็นอีกคนหนึ่งที่มีโอกาสได้เข้าร่วมโครงการ Work and Holiday (WAH – subclass 462) ที่ประเทศออสเตรเลียเป็นเวลา 1 ปีเต็มเมื่อปี 2016 ที่ผ่านมา หลายคนอาจสงสัยว่าโครงการนี้คืออะไร และไปทำอะไร เดี๋ยวจะอธิบายคร่าวๆให้อ่านกันนะคะ
WAH เป็นโครงการแลกเปลี่ยนเยาวชนระหว่างรัฐบาลไทยและออสเตรเลีย โดยปัจจุบันจะมีโควต้าให้ปีละ 500 คน ซึ่งเปิดโอกาสให้เยาวชนไทยที่มีอายุระหว่าง 18-30 ปี ( ปีนี้ออกกฎใหม่ ให้ได้ถึงอายุ 35 ปี ) ได้ไปลองใช้ชีวิตในออสเตรเลียเป็นเวลาหนึ่งปี โดยเยาวชนเหล่านี้ต้องมีผลภาษาอังกฤษอยู่ในระดับพอใช้และจบการศึกษาขั้นต่ำปริญญาตรี สำหรับระดับภาษาอังกฤษวัดกันโดยใช้ผลสอบ IELTS หรือสำหรับคนที่จบเมืองนอก หรือเรียนในหลักสูตรภาษาอังกฤษก็สามารถใช้ใบรับรองแทนผลสอบ IELTS ได้ค่ะ โดยในระหว่างหนึ่งปีที่ถือวีซ่านี้เราสามารถทำงานได้โดยถูกต้องตามกฎหมาย หรือจะเรียน จะเที่ยวอย่างเดียวก็ได้
สิ่งที่อยู่ในหัวของหลายๆคน คือ เมื่อได้วีซ่าแล้วจุดหมายปลายทางก็คงไม่พ้นเมืองใหญ่ๆ เช่น Sydney, Melbourne หรือ Brisbane และงานที่ทำก็คือร้านอาหาร แต่... เราจะพาทุกคนไปดูอีกมุมนึงของการมา WAH ที่ขนาดตัวเราเองยังคาดไม่ถึง กระทู้จะค่อนข้างยาวนิดนึงนะคะ เพราะเราจะเล่าประสบการณ์ตลอดทั้งปีที่ได้ไปอยู่ที่นู่น
การมาออสเตรเลียครั้งนี้เราเดินทางกับแฟนเราสองคน ซึ่งแฟนเราเป็นคนเยอรมันและถือวีซ่าคล้ายๆกัน คือ Working Holiday Visa (subclass 417) ก็จะเป็นลักษณะเดียวกันกับ WAH ของเรา แต่สามารถต่อวีซ่าปีที่สองได้ถ้าทำงานครบตามเงื่อนไขที่กำหนด ซึ่งปลายปีที่ผ่านมาก็มีข่าวดีสำหรับหลายๆคนสำหรับเด็ก WAH - Subclass 462 ให้ต่อวีซ่าอีกปีนึงได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องทำงานให้ครบตามเงื่อนไขที่กำหนดเช่นเดียวกัน จุดเริ่มต้นของเราก็เริ่มที่เมืองใหญ่เหมือนคนอื่นๆ เราเลือกบินไปลง Brisbane เนื่องจากมีเพื่อนของแฟนเราทำงานอยู่ในเมือง Stanthorpe ซึ่งห่างจาก Brisbane ประมาณ 200 km สิ่งที่เราชอบมากๆใน Brisbane คือเค้าจะมี City Beach หรือชายหาดจำลองในเมือง ให้คนได้ไปใช้บริการในเวลาว่างกันแบบฟรีๆ มีห้องอาบน้ำห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าให้อีกด้วย
เมื่อมาถึงเราแนะนำให้ทุกคนเข้าเวปไซด์สมัคร TFN (Tax File Number) ซึ่งก็คือเลขประจำตัวผู้เสียภาษี เราจำเป็นจะต้องใช้เลขนี้ในการสมัครงาน หลายคนอาจจะคิดว่า เอ..ถ้าเราทำงานแบบไม่จ่ายภาษี เราไม่ได้เงินเยอะกว่าหรอ อาจจะใช่ค่ะ ในกรณีที่เราขอคืนถาษีได้แค่ส่วนหนึ่ง แต่เราจะเสียผลประโยชน์ในด้านอื่นๆค่ะ คือปกติแล้วคนที่ทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายในออสเตรเลีย จะได้รับเงินส่วนหนึ่งที่เรียกว่า Superannuation ซึ่งคิดเป็น 9.5% ของรายได้ โดยนายจ้างต้องเป็นคนจ่ายให้ลูกจ้าง เงินอันนี้เราได้ต่างหากนะคะ ไม่ได้หักออกจากค่าจ้างแบบภาษี ยกตัวอย่างเช่น วัน
นี้เราทำงานได้ $200 หักภาษีแล้วเหลือ $174 เราจะได้ superannuation เป็นเงิน $200 x 9.5% = $19 แต่เราจะไม่ได้รับเลยทันทีนะคะ เงินจำนวนนี้จะเข้าไปอยู่ในบัญชี superannuation ของเรา (สามารถเปิดได้ที่ westpac หรือนายจ้างจะเปิดให้เราก็ได้) และสามารถขอคืนได้เมื่อเราออกจากออสเตรเลียอย่างถาวร ซึ่งรวมๆแล้วก็เยอะพอสมควรเหมือนกัน และถ้าเราทำงานโดยไม่เสียภาษี ซึ่งหมายความว่าทำงานแบบผิดกฎหมาย เราก็จะไม่ได้ในส่วนนี้ อีกอย่างคือนายจ้างส่วนใหญ่จะกดค่าแรงเมื่อรู้ว่าเราทำงานแบบผิดกฎหมาย แต่ถ้าทุกคนมี TFN ก็สบายใจได้ค่ะ
และสิ่งต่อมาที่เราทำคือ ซื้อรถ ใช่ค่ะ อ่านไม่ผิด ซื้อรถจริงๆ แต่เป็นรถมือสอง หรืออาจจะสามหรือสี่ก็แล้วแต่ เราได้รถซีดานมาในราคา $1,300 จาก Gumtree แต่ต้องเอามาซ่อมนิดหน่อยประมาณ $300 ซึ่งถือว่าได้มาในราคาที่ถูกมากและสภาพก็ไม่ขี้เหร่นัก เหตุผลที่ต้องซื้อรถคือ สะดวกต่อการย้ายที่หางาน และเหตุผลรองลงมาคือ สะดวกต่อการท่องดินแดนจิงโจ้แห่งนี้นี่ล่ะค่ะ หลังจากซื้อรถแล้วเราก็ขับไปเที่ยวรอบๆ ใกล้ๆนี้ก็จะมี Spring Brook National Park
หลังจากอยู่บริสเบนได้สี่วัน เราก็ตัดสินใจเดินทางไปเมือง Stanthorpe เพื่อที่จะไปสมทบกับเพื่อนที่นู่น ซึ่ง Stanthorpe จะเป็นเมืองที่ Backpackers (กลุ่มคนที่มาด้วยวีซ่า working holiday หรือ WAH) ทั้งหลายมุ่งหน้าไปทำงานฟาร์มในช่วงเดือนพฤศจิกายน – เมษายน งานหลักๆก็จะเป็นเก็บผักและผลไม้ เช่น แอปเปิ้ล พริกหยวก มะเขือเทศ และองุ่น
เมื่อมาถึง สิ่งแรกที่ทำคือหาที่พัก เราโชคดีมากที่ได้ Cabin ส่วนตัวมีเตียงใหญ่ ครัว และระเบียง แต่ใช้ห้องน้ำรวม ในราคา $140/week ต่อคน ซึ่งเราอยู่กับแฟนเราสองคน ที่พักชื่อว่า Country Style Caravan Park ซึ่งบรรยากาศดีและมีความเป็นส่วนตัวมาก ที่บอกว่าโชคดีเพราะว่าบางคนอาจได้ห้องรวม หรือบางคนนอนในเต็นท์ก็มี บางคนก็นอนใน Campervan ของตัวเอง คือทาง Caravan Park จะมีที่ให้แบบ Power Site และ Unpower Site คนที่มีรถแบบที่สามารถนอนในรถได้ เช่นพวก Campervan หรือ 4WD ก็จอดตาม site และใช้ห้องน้ำรวมและเอา หรือบางคนก็อาจจะมีเต็นท์ เอาเต็นท์มากาง ไม่ต้องตกใจนะคะ เพราะนี่คือวิถีของ Backpackers ที่แท้จริง ซึ่งโดยส่วนใหญ่ที่เจอก็จะเป็นพวกยุโรป เยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาลี เอเชียก็จะมีญี่ปุ่นกับไต้หวันที่เจอเยอะมาก แรกๆเราก็ตกใจเหมือนกันค่ะว่าเค้าอยู่กันได้ยังไง นอนในเต็นท์เป็นเดือนๆ แต่หลังจากนั้นชีวิตเราก็กลายเป็นแบบนี้เช่นเดียวกัน เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังใน partต่อๆไปนะคะ ตอนนี่เรามาดูบรรยากาศใน Caravan Park ก่อนว่าเป็นยังไง หลายๆคนอาจจะนึกภาพไม่ออก มันก็จะคูลๆประมาณนี้
กลางคืนบางโอกาสก็อาจจะออกมาก่อกองไฟ ทำบาบีคิวกินกันสนุกสนาน เราจะบอกว่าที่นี่กลางคืนฟ้าจะมืดมาก สามารถมองเห็นทางช้างเผือกได้ง่ายๆ เกือบทุกคืน เห็นหมดทั้งกาแลกซี่ รู้สึกเหมือนกับว่าดาวอยู่ใกล้เรานิดเดียวเอง แถมช่วงที่ฝนตก หรือช่วงเช้าตรู่ ถ้าได้ออกไปขับรถเล่นข้างนอก ก็จะเห็นจิงโจ้ออกมาหลายตัวเลยล่ะค่ะ
ฝีมือการถ่ายดาวห่วยๆครั้งแรกของเราโดยไม่มีขาตั้งกล้อง
ข้อดีของการมาพักใน Caravan Park คือ เค้าจะหางานให้เรา โดยทางเจ้าของฟาร์มจะติดต่อกับที่นี่โดยตรง เราก็ไปลงชื่อไว้ แล้วทางเจ้าของจะมาบอกเราเมื่อมีงาน บางคนอาจต้องรอเป็นสัปดาห์ หรือบางคนรอแค่ไม่กี่วันก็ได้งานแล้ว ส่วนเรารอประมาณ 3 วัน งานแรกที่ได้คือเก็บองุ่น แต่จะจ้างแค่รายวัน เนื่องจากที่นี่จะเป็นไร่องุ่นที่เอาไว้ทำไวน์ ระยะเก็บเกี่ยวจะค่อนข้างสั้น การเก็บองุ่นไวน์ก็ง่ายมาก เพราะไม่ต้องเลือก คือเก็บทุกอย่างที่ขวางหน้า ค่าจ้างที่นี่จ่ายเป็นรายชั่วโมง ซึ่งตอนที่เราไปได้ชั่วโมงละ $21.60 ก่อนหักภาษี เมื่อหักภาษีแล้วจะเหลือ $18.87/hr ส่วนภาษีที่โดนหักไปเราสามารถรีฟันคืนได้ทีหลังค่ะ ขออธิบายก่อนนะคะว่าค่าจ้างจะมีสองแบบ แบบแรกคือรายชั่วโมง อีกแบบนึงคือเป็นแบบ contract หมายถึง เก็บได้เท่าไหร่ก็ได้เงินเท่านั้น เช่น เก็บแอปเปิ้ล ทางฟาร์มจะกำหนดว่าให้กระบะละ $80 วันนึงเราเก็บได้ 3 กระบะ ก็จะได้ค่าจ้าง $160 อันนี้ต้องอาศัยความเร็วค่ะ ถ้าใครเร็วก็จะได้เงินเยอะ ทั้งสองแบบนายจ้างจะจ่ายเงินค่าจ้างทุกๆสัปดาห์ แต่เราแนะนำว่าให้เลือกงานที่เป็นรายชั่วโมงจะดีกว่า แต่ถ้าใครมีโอกาสเก็บบลูเบอรี่ให้รับเลยค่ะ งานสบายและได้เงินเยอะกว่ารายชั่วโมง
นอกจาก Caravan Park แล้ว ก็จะมี Working hostel ที่เป็นลักษณะเดียวกัน คือเราพักกับทาง hostel แล้วเค้าก็จะหางานให้เรา แต่เราไม่เคยพักใน hostel นะ เพราะไม่ชอบการอยู่รวมห้องกับคนหมู่มาก อาจจะเหมาะกับคนที่เดินทางคนเดียวมากกว่า และนอกจากนี้เรายังสามารถหางานได้อีกทางหนึ่งคือ agency โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ อย่างใน Stanthorpe ก็จะมี Best Harvest Agency เราก็เข้าไปกรอกเอกสาร และรอเรียกเมื่อมีงาน คนที่มีรถจะได้เปรียบมากกว่าเพราะเค้าจะให้งานกับคนที่มีรถก่อน เนื่องจากการเดินทางไปฟาร์มจะค่อนข้างไกล และไม่มีรถประจำทาง แต่ส่วนคนที่ไม่มีรถก็สามารถอาศัยรถของทางที่พักได้ค่ะ เค้าจะจัดรถไปรับส่ง แต่อาจจะไม่มีทุกฟาร์ม ค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ประมาณ $10-$13 ต่อวัน แล้วแต่ระยะทาง
เราเก็บองุ่นได้สองวัน ก็มีงานมาใหม่คือ เก็บพริกหยวก ซึ่งตอนแรกมีคนออก เค้าเลยให้เราไปแทน ตอนแรกที่ได้งานก็แอบกังวลนิดหน่อยค่ะ เพราะได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของการเก็บพริกหยวกมาว่าโหดสุดๆ เนื่องจากต้นพริกหยวกจะค่อนข้างเตี้ยแล้วเราต้องก้มเก็บตลอดทั้งวัน ทุกคนที่เคยเก็บบอกว่าจะปวดหลังมากๆ แล้วก็เป็นจริงอย่างที่เค้าว่ากัน เรากลับบ้านมา ปวดทั้งขาและหลัง จะลุกจะเดินแทบไม่ไหว เช้าวันต่อมาเราก็ตื่นแต่เช้าเตรียมตัวไปทำงาน ในใจยังคิดเลยว่าจะทำไหวมั้ยเนี่ย แต่โชคก็ได้เข้าข้างเรา เมื่อเราเปิดดูโทรศัพท์และมีข้อความเข้าบอกเราว่าไม่ต้องไปทำงานแล้ว โดยให้เหตุผลว่า ช่วงนี้ราคาตลาดไม่ค่อยดี เลยจำเป็นที่จะต้องลดต้นทุนโดยการตัดลูกจ้างออก ซึ่งเราเป็นคนที่มาหลังสุด เราเองก็แอบนอยนิดๆนะคะ เพราะไม่มีงานทำแล้ว ส่วนแฟนเราก็ไปเก็บพริกหยวกเหมือนกันแต่คนละฟาร์ม ซึ่งเริ่มทำงานก่อนเราได้สามวัน แต่พอกลับบ้านมาในวันนั้น เค้าบอกกับเราว่าไม่รู้ว่าจะได้ไปทำอีกรึเปล่า ซึ่งพอเช้าวันต่อมาก็เป็นไปตามคาดค่ะ ตกงานแพคคู่ เราเลยตัดสินใจเข้าไปหา Best Harvest เพื่อถามถึงงาน พอไปถึงเราก็ได้ข่าวดีว่ามีตำแหน่งงานว่างพอดี เป็นงานในร่มที่ Sweet Strawberry Runners ซึ่งที่นี่จะปลูกต้นสตอเบอรี่เพื่อจำหน่ายต้นให้กับชาวสวนรายย่อย เราได้กะกลางคืน คือเริ่มงาน 6 โมงเย็นและเลิกงานเที่ยงคืน เราได้อยู่ในส่วนของ packing ส่วนแฟนเราได้ทำตรงเครื่องจักร งานค่อนข้างสบายแต่น่าเบื่อเพราะต้องยืนว่างๆเป็นบางครั้ง เราทำกะกลางคืนไปได้อาทิตย์นึง หัวหน้าก็บอกว่าจะยกเลิกกะกลางคืนแล้วเพราะมีคนมาทำน้อย งานเลยไม่เดิน ก็เลยย้ายพวกเราทั้งหมดไปกะกลางวัน ซึ่งเราโชคดีมากๆอีกแล้ว เพราะหน้าที่ที่เราต้องทำคือจดเลขตะกร้า และคอยส่งตะกร้าจากสายพานให้คนที่ฉีดทำความสะอาดต้นสตอเบอรี่ที่มัดรวมใส่ตะกร้าไว้แล้ว หลังจากย้ายมากะกลางวัน เราได้ชั่วโมงค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว ประมาณสัปดาห์ละ 50-70 ชม. ค่าจ้างก็จะตกสัปดาห์ละ $800-$1200 ซึ่งค่าใช้จ่ายจำเป็นสำหรับค่าที่พัก ค่ากิน และน้ำมันรถ รวมๆแล้ว $300/สัปดาห์ เท่ากับว่าเราเหลือเก็บอาทิตย์ละ $500 อย่างต่ำ เมื่อทำไปถึงสัปดาห์ที่ 7 วันสุดท้ายของการทำงานก็มาถึง เนื่องจากหมดซีซั่นของสตอเบอรี่ โรงงานที่นี่จะปิด และเปิดอีกครั้งเมื่อถึงซีซั่นของบลูเบอรี่
ในช่วงวันหยุดเราก็จะหาโอกาสไปเที่ยวในละแวกใกล้ๆ ซึ่งก็จะมีอุทยานให้เราได้เล่นน้ำและ trekking ในระยะทางสั้นๆ
จากการทำงานทั้งหมด 8 สัปดาห์ใน Stanthorpe เรามีเงินเก็บประมาณ $6000 เรากับแฟนใช้เงินที่ได้มาส่วนหนึ่งหารรวมกันซื้ออุปกรณ์ Camping จำพวก เต็นท์ เตาปิกนิก ที่นอนเป่าลม โต๊ะเก้าอี้แบบพับได้ และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆที่จำเป็น เพราะต่อจากนี้ไปเราจะใช้ชีวิตกันในเต๊นท์นี่แหละเป็นเวลาอีกสองเดือน เพราะเรากำลังจะออกไป road trip กัน ซึ่งการเดินทางครั้งนี้เราจะเริ่มจาก Byron Bay มุ่งหน้าขึ้นเหนือเลียบชายฝั่งตะวันออกไปเรื่อยๆ และจะไปจบที่ Cairns มาลุ้นกันว่าเราจะทำได้สำเร็จหรือไม่ในงบ $5000 กับเวลาสองเดือนใน part ต่อไปนะคะ
Part 2 https://ppantip.com/topic/36516794