[ชวนคุย] เลือกยางอย่างไร ในหน้าฝน

ช่วงนี้เป็นหน้าฝน น่าจะมีหลายๆคนกำลังวางแผนที่จะเปลี่ยนยางใช่ไหมครับ (ใครเปลี่ยนไปแล้วก็อ่านได้จ้า..) สำหรับวันนี้ผมขอเสนอค่าของยางที่เราควรพิจารณาเมื่อเลือกซื้อยางครับ ผมขอเรียกว่า 3T นั่นคือ Treadwear, Traction และ Tempurature ครับ

สเปคยาง
ก่อนอื่นใน การเลือกยางสักชุด สิ่งพื้นฐานที่เราควรทราบในเบื้องต้น คือ สเปคความกว้างของหน้ายาง ความหนา(สูง)ของแก้มยาง และขนาดขอบยางซึ่งต้องตรงกับขนาดขอบของขล้อ นอกจากนี้ยังมีรหัสที่บอกถึงสมรรถนะยาง ว่าสามารถรับน้ำหนัก และรับความเร็วต่อเนื่องสูงสุดได้เท่าไร


จากรูปจะมีตัวเลขต่างๆซึ่งบอกสเปคของยางดังนี้ครบ
- 195 หมายถึง หน้ายางกว้าง 195 มม. ยิ่งกว้างยิ่งเกาะถนนดี แต่รถก็อาจจะอืดและกินน้ำมันมากขึ้นเล็กน้อย
- 60 หมายถึง ยางมีความสูงของแก้มยาง 60% ยิ่งสูงยิ่งนุ่ม ยิ่งไมล์เพี้ยนแข็ง และยิ่งหนัก ทำให้อัตตราเร่งช้าลงได้ครับ
- 15 หมายถึง ใช้กับล้อที่มีขนาด 15 นิ้วครับ
- 88 หมายถึง ยางสามารถรับน้ำหนักสูงสุดได้ 560 กก. (ต่อเส้น)
- H หมายถึง ยางสามารถรับความเร็วต่อเนื่องได้ที่ความเร็วสูงสุด 210 กม./ชม. (แต่อาจขับเร็วกว่านี้ได้ช่วงเวลาสั้นๆ)

รหัสน้ำหนัก
แก้มยางยิ่งสูง(ยิ่งหนา) ยิ่งสามารถรับน้ำหนักได้มากขึ้น..

รหัสความเร็ว
โดยยาง Comfort รถยนต์ส่วนใหญ่ค่ามักจะอยู่ที่ H กับ V ครับ..

ลายดอกยาง
หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าดอกยางมีไว้สำหรับยึดเกาะถนน แต่จริงๆแล้วดอกยางมีไว้สำหรับรีดน้ำครับ กลับกันถ้าไม่มีดอกยางอยู่เลยจะเกาะถนนแห้งได้ดีกว่ายางที่มีดอกยางเสียอีก ซึ่งถ้าแบ่งตามทิศทางการเคลื่อนที่จะแบ่งได้ 3 แบบ คือ
1. ดอกยางแบบ 2 ทิศทาง - ลายดอกยางสวนทางกัน ข้อดี สลับยางได้ทุกตำแหน่ง ข้อเสีย ไม่เหมาะกับการใช้ความเร็วสูง รีดน้ำด้อยกว่าแบบที่ 2
ตัวอย่างยาง เช่น Bridgestone T005A, Michelin Primacy 4
2. ดอกยางแบบทิศทางเดียว - ลายดอกยางไปในทิศทางเดียว (ตรงแก้มยางมีลูกศร Rotation บอกทิศทาง) ข้อดีขับเร็วและรีดน้ำดี ข้อเสียสลับยางได้เพียงหน้า-หลัง ตัวอย่างยาง เช่น Toyo T1R, Nitto NT555
3. ดอกยางแบบไม่สมมาตร - ลายดอกยางด้านนอกกับด้านในไม่เหมือนกัน (ตรงแก้มยางมีบอก inside/outside) ข้อดีขับเร็วและเข้าโค้งดี ข้อเสียรีดน้ำด้อยกว่าแบบที่ 2 ตัวอย่างยาง เช่น Bridgestone RE003, Michelin Pilot Sport 4

ขอบคุณรูปภาพจาก : https://www.deestone.com/

นอกเหนือจากลายของดอกยางที่ควรพิจารณาว่าลายแบบไหนรีดน้ำได้ดีแล้ว ยังต้องคำนึงถึงพื้นที่ร่องยางด้วยครับ ยางที่มีพื้นที่ร่องยางมากกว่าย่อมมีพื้นที่ในการรับปริมาณน้ำที่มากกว่าและลดโอกาสเกิดอาการเหินน้ำ (Hydroplane) ได้มากกว่านั่นเอง ยิ่งร่องใหญ่และดอกยางสูงก็ยิ่งปลอดภัย กลับกัน ยางที่ถูกใช้ไปสักระยะจนดอกยางเหลือน้อย ความสามารถในการรีดน้ำก็จะค่อยๆด้อยลงครับ ตามมาตรฐานความปลอดภัยในทางเปียก ร่องยางควรมีความสูงประมาณ 3 มม. (สะพานยางสูง 1.6 มม.)

เกรดยางตามมาตรฐาน UTQG
มาถึงพระเอกของงานกันบ้างครับ นั่นคือค่า Treadwear, Traction และ Temperature ที่ผมได้เกริ่นไว้ในตอนฃต้น ค่าเหล่านี้ถูกกำหนดโดยโครงการ Uniform Tire Quality Grading หรือ UTQG (สหรัฐอเมริกา) เพื่อจัดเกรดสมรรถนะของยาง มีค่าต่างๆดังนี้
1. Treadwear หมายถึง ความทนทานของยาง ยิ่งตัวเลขมาก ยางยิ่งทน ใช้ได้นาน สึกหรอน้อย แต่ยางมักจะแข็งและเกาะถนนได้ไม่ดี (ขึ้นอยู่กับวัสดุที่นำมาผลิตยางด้วย) ยางรถบ้านจึงมักมีค่า Tread wear สูงๆ เพราะเน้นใช้ได้นานหลายปี กลับกัน ยางที่ค่า Treadwear น้อยๆ มักจะสึกหรอไว อายุสั้น แต่จะเกาะถนนดี ซึ่งยางสปอร์ต รวมถึงยางซอฟต์จะยิ่งมีตัวเลขนี้ต่ำครับ
2. Traction หมายถึงความสามารถในการเบรครถในทางตรงบนถนนเปียกทั้งถนนลาดยางและซีเมนต์ โดยจะแบ่งเป็นเกรด AA, A, B, และ C เรียงจากสมรรถนะดีมากไปดีน้อยกว่า ค่านี้สำคัญที่สุดในหน้าฝนแบบนี้ครับ
3. Temperature หมายถึง ความสามารถในการทนความร้อนและการถ่ายเทความร้อนของยาง โดยแบ่งเป็นเกรด A, B, และ C เรียงจากสมรรถนะดีมากไปดีน้อยกว่า


ผมได้รวบรวมข้อมูล Treadwear, Traction และ Temperature คร่าวๆในยางรุ่นยอดนิยมเท่าที่ผมพอจะหาได้ รวมถึงหาราคายางจากใน Internet จากหลายแหล่ง (ตัวเลขเป็นราคาประมาณนะครับ) เผื่อจะได้เปรียบเทียบสมรรถนะยางกับราคากันว่าตัวไหนคุ้มค่าครับ มียางบางยี่ห้อ บางรุ่นเหมือนกัน ที่ไม่มีสเปค 3 ค่านี้บอกครับ จึงขอตัดออก ใส่ไปเท่าที่หาได้ครบครับ


ท่านผู้อ่านพอมองเห็นอะไรจากในตารางบ้างไหมครับ มาแชร์ความคิดเห็นกันดีกว่า (ข้อมูลที่เขียนในกระทู้นี้เป็นข้อมูลที่ผมหามาจากแหล่งต่างๆ ทั้งอินเตอร์เน็ต ทั้งเดินดูหน้างาน เดินดูจากร้านยาง อาจมีถูกต้องหรือผิดพลาดบ้าง ต้องขออภัยไว้ล่วงหน้านะครับ)

สุดท้ายนี้หวังว่าท่านที่เข้ามาอ่านจะได้ประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ ถ้ามีอะไรผิดพลาด มีคำผิด หรือคำไม่สุภาพ ผมขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ หวังว่ากระทู้นี้จะทำให้ท่านที่กำลังเล็งว่าจะซื้อยาง คำนึงถึงเกรดของ Traction มากขึ้น สำหรับยางเส้นต่อไปของท่านนะครับ..

[เพิ่มเติม] ------------------------------------------------------------------------------------------------------

จากตารางค่า 3T ที่ผมได้ลงไว้ และจากประสบการณ์ที่ผมได้เจอมา มีบางจุดที่ทำให้ผมประหลาดใจครับ
1. ยาง Bridgestone ที่หลายๆท่านเชื่อว่าทนทานที่สุดยี่ห้อหนึ่ง (ผมก็เชื่อ) มีค่า Treadwear ต่ำกว่ายี่ห้อคู่แข่งคือ Michelin กับ Yokohama
2. ยางซิ่ง Bridgestone RE003 ที่เกาะถนนเยี่ยม รีดน้ำดีเยี่ยม มีค่า Traction เกรดเดียวกับยางนุ่มเงียบ
3. ยาง Toyo CF2 และ C1S รวมถึงยางถูกๆอย่าง Maxxis I-pro ดันมีค่า Traction สูงกว่ายางซิ่งเสียอีก (อันนี้แปลกใจมากๆ)
4. ยาง Dunlop LM704 ไม่มีค่า 3T บอก ทั้งที่ออกสู่ตลาดมานานหลายปีแล้ว (Dayton DT03 ก็ไม่มีค่า 3T เช่นกันครับ)
5. Maxxis MA-Px เป็นยางยอดนิยมของแทกซี่ก็ว่าได้ เจอแทกซี่ 5 คัน ใช้รุ่นนี้ไป 4 คัน ส่วนอีกคันใช้ GR100 ในคู่หน้า และ Maxxis รุ่นเก่าในคู่หลังครับ

ด้วยหลายๆสิ่งที่ผมสังเกตุเห็นข้างต้น ทำให้ผมเริ่มมีความสงสัยว่า ค่าของเกรดยาง 3T นี้ มันเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน เลยไปค้นข้อมูลมาเพิ่ม ว่าเกรดแต่ละเกรด ใช้อะไรเป็นเกณฑ์ เลยไปเจอ link นี้ ถ้าใครสนใจลองอ่านเพิ่มเติมดูนะครับ
http://www.tirereview.com/utqg-ratings-unfurled/

ฝากติดตามผลงานที่เพจ Need For Slow ด้วยครับ:
https://www.facebook.com/Needforslow247/

แก้ไขล่าสุด: 10/07/2019
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่