สวัสดีครับ เพื่อนๆ Pantip ในวันนี้ทางทีมงาน Pantip Garage เราจะขอมาแนะนำยางรถยนต์ สำหรับรถยนต์ขนาดเล็ก Eco Car
ไปจนถึง B-Segment สำหรับผู้ที่ใช้รถในกลุ่มดังกล่าว และกำลังจะมองหายางใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหน้าฝนนี้
ซึ่งยางถือเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุดอย่างหนึ่งเลย เอาล่ะมาดูยางที่ทางเราจะแนะนำกันในวันนี้เลยดีกว่าครับ
ซึ่งรุ่นที่เราจะมาแนะนำนี้ คือ MICHELIN ENERGY XM2+ เป็นยางสำหรับรถใช้งานทั่วไปที่จะมอบความมั่นใจในความปลอดภัย
จากระยะเบรกที่สั้น ตั้งแต่ยางใหม่ไปจนถึงยางใกล้หมดดอก และยังให้ความสบายในการโดยสาร และอายุการใช้งานยาวนาน
ก่อนไปพูดถึงในส่วนของการทดสอบ เราขอพาทุกคนมารู้จักกับเทคโนโลยีของ MICHELIN ENERGY XM2+ กันก่อน
โดยมันมาพร้อม 3 เทคโนโลยีใหม่ ที่ทำให้ MICHELIN ENERGY XM2+ มีประสิทธิภาพดีกว่าเดิม
เนื้อยาง Full Silica สูตรใหม่
ที่ใช้เทคโนโลยีการผสม Silica แบบใหม่ ช่วยผสานโพลิเมอร์ของยาง และ โมเลกุลของซิลิก้า เป็นเนื้อเดียวกันมากขึ้น
ส่งผลให้พันธะระหว่างโมเลกุลมีการยึดเกาะที่แข็งแรงช่วยให้ใช้งานได้ยาวนานขึ้น และยังให้ความยืดหยุ่นที่ดีอีกด้วย
จึงช่วยเรื่องการยึดเกาะถนนเป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งถนนเปียก
ลายดอกยาง
ร่องดอกยางที่ลึก ช่วยให้ลายดอกยางอยู่ครบ แม้ยางจะใกล้หมดดอก จึงมีประสิทธิภาพในการรีดน้ำสูง
ร่องรีดน้ำขนาดใหญ่ ที่เชื่อมต่อไปยังร่องรีดน้ำขนาดเล็กทางขอบยาง จึงช่วยให้การยึดเกาะบนพื้นเปียกทำได้ดี
นอกจากนี้ลายดอกยางที่ได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษ เพื่อลดเสียงรบกวน
โครงสร้างยาง
มีความแข็งแรง โครงสร้างยางที่แข็งแรงและทนทานต่อการกระแทก, กระจายแรงกดได้สม่ำเสมอ, แข็งแรงแต่ไม่แข็งกระด้าง
เลยทำให้การวิ่งนั้น นุ่มนวลมากกว่ายางรุ่นอื่น
อีกนิด เรามาส่องสเป็กที่แก้มยางกันต่อสักหน่อย Treadwear 420 ถือว่าตัวเลขค่อนข้างมาก แสดงให้เห็นถึงอายุการใช้งานที่ยาวนาน
ซึ่งหลายคนอาจเข้าใจว่า treadwear เยอะไม่เกาะถนน แต่ในกรณีของยางมิชลินไม่เป็นเช่นนั้น
เนื่องจากมิชลินมีเทคโนโลยีขั้นสูงที่สามารถให้อายุการใช้งานที่ยาวนานและการเกาะถนนที่ดีได้ในเวลาเดียวกัน
เช่น เนื้อยาง Full Silica และการออกแบบลายดอกยางที่ซับซ้อน
Traction A ถือว่า การหยุดรถบนพื้นผิวถนนเปียก (พื้นลาดยาง หรือ พื้นคอนเกรีต) ค่อนข้างทำได้ดี
Temperature A ถือว่า มีความทนทานต่ออุณหภูมิ ได้ดี (ทนความร้อน อย่างอากาศในบ้านเรา)
ต่อมาก็เข้าสู่ส่วนของการทดสอบกันแล้ว ในครั้งนี้เราจะมาเทสเจ้า MICHELIN ENERGY XM2+ กันเฉพาะยางใกล้หมดดอกล้วนๆ
(ยางใกล้หมดดอก เหลือร่องดอกยางเพียง 2 มม.) ที่สนาม BKK Drag Avenue คลอง 5
เพื่อให้ทดสอบกันไปให้เห็นถึง เนื้อยางของ XM2+ กันว่า ประสิทธิภาพในการยึดเกาะจะยังดีจริง แม้ดอกจะหมดแล้วจริงหรือไม่
ในครั้งนี้ ทางมิชิลิน ได้เตรียมรถทดสอบให้เรา เป็นรถ Toyota Vios ที่ติดตั้งยาง MICHELIN ENERGY XM2+ ไซส์ 185/60/R15
เป็นยางดอกยางที่ใกล้หมด (ทำให้เก่าโดยการเจียรดอกยางทิ้ง ให้เหลือร่องดอกยางลึก 2 มม. ซึ่งระดับนี้ปกติจะไม่ใช้กันแล้ว
แต่เพื่อต้องการพิสูจน์ก็ต้องมาลองดูกัน)
ทำการเทียบกับยางชั้นนำอื่นๆในคลาสเดียวกัน ซึ่งใช้ไซส์ยางไซส์เดียวกัน 2 อีกแบรนด์
การทดสอบจะประกอบไปด้วย 2 ช่วงด้วยกัน
เริ่มที่การทดสอบการเบรกบนพื้นผิวที่เปียกจนหยุดนิ่ง
แน่นอนว่า เราไม่สามารถควบคุมอากาศได้ ทางมิชิลิน จึงได้เตรียมการจำลอง Track ให้เปียก
โดยการฉีดน้ำให้ทั่วทั้ง Track ในส่วนที่ทดสอบนี้
ให้เราวิ่งเข้ามาด้วยความเร็วระดับ 80 กม./ชม. และให้เบรกจนหยุดนิ่งบนพื้นผิวที่เปียก
วัดระยะทางผ่านกล่อง V-Box ก่อนที่จะเปลี่ยนไปสลับใส่ยางใกล้หมดดอกของแบรนด์ชั้นนำอื่นและมาเบรกเปรียบเทียบเช่นเดียวกัน
ผลการทดสอบนั้น เราได้ค่าดังนี้
ขณะที่การเบรกจากความเร็ว 80-0 กม./ชม. บนยางใกล้หมดดอก (ยางที่ผ่านกระบวนการทำให้ดอกยางเหลือ 2 มิลลิเมตร)
MICHELIN ENERGY XM2+ มีระยะเบรกที่ 31.7 ม.
ยางชั้นนำ A ได้ 38.5 ม.
ยางชั้นนำ B ได้ 45.0 ม.
โดยรวมจากตัวเลขที่ผมลองทดสอบได้นั้น พบว่า MICHELIN ENERGY XM2+ นั้น มีระยะเบรกที่สั้นกว่าคู่แข่ง
ถึง 6.8 ม. และ 13.3 ม. ตามลำดับ (ทดสอบในสภาวะเดียวกัน)
อย่างไรก็ดี หากไม่มั่นใจในฝีมือผมที่ทดสอบคนเดียว เรายังมีค่าเฉลี่ยที่ได้ จากกรุ๊ปทดสอบ
ในรอบผมซึ่งมีพี่อีก 2 ท่านร่วมทดสอบด้วย โดยมีค่าเฉลี่ยรวมทั้ง 3 คน ในกรุ๊ปดังนี้
ค่าเฉลี่ย MICHELIN ENERGY XM2+ มีระยะเบรกที่ 32.3 ม.
ยางชั้นนำ A ได้ 38.4 ม.
ยางชั้นนำ B ได้ 42.3 ม.
ถือว่าตัวเลขที่ออกมานั้น MICHELIN ENERGY XM2+ มีค่าเฉลี่ยระยะเบรกที่สั้นกว่าคู่แข่ง
ถึง 6.1 ม. และ 10 ม. ตามลำดับ (ทดสอบในสภาวะเดียวกัน)
ซึ่งเหตุผลหลักๆ นั้นเป็นเพราะว่า แม้ยางจะใกล้หมดดอก แต่ ร่องรีดน้ำของ MICHELIN ENERGY XM2+ ยังคงเหลือร่องให้ใช้งานอยู่มาก
จึงลดอาการเหินน้ำและตัดฟิล์มน้ำขณะเบรกได้ดีกว่า ซึ่งต่างจากยางชั้นนำแบรนด์อื่นที่ร่องรีดน้ำแทบไม่เหลือแล้ว
จากตัวเลขดังกล่าวต้องบอกเลยว่า บอกเลยว่าถ้าใช้ในสถานการณ์จริง มีผลเป็นอย่างมาก ที่ระดับ 6 ม. และ 10 ม. นี้
ความรุนแรงจะเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อยเลยทีเดียวถ้าหากเกิดอุบัติเหตุ หรือ ระยะนี้จะสามารถช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุลงไปได้มากทีเดียว
และอีกช่วงหนึ่งของการทดสอบนั่นก็คือ การให้ลองทดสอบ Noise & Comfort หรือ ที่เรียกว่า ทดสอบความเงียบ และ นุ่ม
ซึ่งเรายังคงใช้ Toyota Vios สวมยาง MICHELIN ENERGY XM2+ ไซส์เดิม วิ่งบนแทร็กเหมือนจำลองขับรถเดินทางทั่วไป
เพื่อฟังเรื่องของเสียงว่าเงียบเพียงใด
และมีการทดสอบเรื่องของความนุ่ม โดยมีการวางแท่งเหล็ก เพื่อจำลองสภาพพื้นผิวที่ที่ไม่ราบเรียบ เจอรอยต่อต่างๆ
ผมต้องเรียนตามตรงว่า ในส่วนนี้ เป็นเรื่องของฟีลลิ่ง ล้วนๆ ไม่มีการชี้วัดออกมาเป็นตัวเลขยืนยัน เหมือนการทดสอบก่อนหน้า
ดังนั้น ผมจึงต้องขออธิบายตามความรู้สึกจริงที่ได้รับ
ในช่วงการทดสอบเรื่องเสียงนั้น เนื่องจากขับไม่ได้เร็วมาก จึงอาจไม่ได้รู้สึกถึงความแตกต่างแบบชัดเจน
ส่วนตัวผมแทบรู้สึกว่าคันที่สวม MICHELIN ENERGY XM2+ จะเงียบกว่าเล็กน้อย
ในเรื่องของ Drive Comfort นั้น ส่วนตัวผมรู้สึกว่า คันที่สวมยาง MICHELIN ENERGY XM2+ จะมีการซับแรงที่ดีกว่าเล็กน้อย
รู้สึกสะเทือนน้อยลงกว่าคันที่สวมยางชั้นนำแบรนด์อื่น
สรุปแล้ว MICHELIN ENERGY XM2+ ถือเป็นยางรถเล็กที่น่าสนใจทีเดียว เพราะส่วนใหญ่รถเล็กระดับนี้นั้น
หลายคนคงเคยเจอปัญหา ไม่ค่อยมั่นใจเมื่อขับเร็ว หรือ รู้สึกว่ารถไม่ค่อยยึดเกาะถนน รวมถึงการเก็บเสียงที่ไม่ดีมากนัก
ดังนั้นเราคงจะต้องเน้นเรื่องของประสิทธิภาพที่ครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานนุ่มเงียบ ที่ถือเป็นจุดเด่นของยางรถยนต์นั่งจากมิชลิน
(MICHELIN) นอกจากนี้ด้านประสิทธิภาพนั้น การทดสอบนี้ ค่อนข้างชัดเจนว่า แม้ยางดอกสึกแล้ว ก็ยังยืนยันในด้านของสมรรถนะ
และความปลอดภัยในการใช้จริงได้ดีอยู่ ยึดเกาะรีดน้ำดีในระดับที่น่าพอใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงหน้าฝนเช่นนี้
สำหรับยาง MICHELIN ENERGY XM2+ มีขนาดวงล้อ 14-16” รวมทั้งสิ้น 24 ไซส์ ซึ่งจะครอบคลุมการใช้งานรถขนาดเล็ก Eco-Car
ไปจนถึง Sub-Compact โดยมีไซส์ตามตารางนี้ครับ
สำหรับผู้ที่สนใจสามารถไปชมได้ที่ศูนย์ Tyreplus และร้านตัวแทนจำหน่าย Michelin ทั่วประเทศ หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
http://bit.ly/30wA0jt
[BR] รีวิว MICHELIN ENERGY XM2+ ยางรถยนต์นั่งขนาดเล็ก ที่ให้พลังเบรกที่มั่นใจได้ในทุกกาลเวลา
สวัสดีครับ เพื่อนๆ Pantip ในวันนี้ทางทีมงาน Pantip Garage เราจะขอมาแนะนำยางรถยนต์ สำหรับรถยนต์ขนาดเล็ก Eco Car
ไปจนถึง B-Segment สำหรับผู้ที่ใช้รถในกลุ่มดังกล่าว และกำลังจะมองหายางใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหน้าฝนนี้
ซึ่งยางถือเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุดอย่างหนึ่งเลย เอาล่ะมาดูยางที่ทางเราจะแนะนำกันในวันนี้เลยดีกว่าครับ
ซึ่งรุ่นที่เราจะมาแนะนำนี้ คือ MICHELIN ENERGY XM2+ เป็นยางสำหรับรถใช้งานทั่วไปที่จะมอบความมั่นใจในความปลอดภัย
จากระยะเบรกที่สั้น ตั้งแต่ยางใหม่ไปจนถึงยางใกล้หมดดอก และยังให้ความสบายในการโดยสาร และอายุการใช้งานยาวนาน
ก่อนไปพูดถึงในส่วนของการทดสอบ เราขอพาทุกคนมารู้จักกับเทคโนโลยีของ MICHELIN ENERGY XM2+ กันก่อน
โดยมันมาพร้อม 3 เทคโนโลยีใหม่ ที่ทำให้ MICHELIN ENERGY XM2+ มีประสิทธิภาพดีกว่าเดิม
เนื้อยาง Full Silica สูตรใหม่
ที่ใช้เทคโนโลยีการผสม Silica แบบใหม่ ช่วยผสานโพลิเมอร์ของยาง และ โมเลกุลของซิลิก้า เป็นเนื้อเดียวกันมากขึ้น
ส่งผลให้พันธะระหว่างโมเลกุลมีการยึดเกาะที่แข็งแรงช่วยให้ใช้งานได้ยาวนานขึ้น และยังให้ความยืดหยุ่นที่ดีอีกด้วย
จึงช่วยเรื่องการยึดเกาะถนนเป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งถนนเปียก
ลายดอกยาง
ร่องดอกยางที่ลึก ช่วยให้ลายดอกยางอยู่ครบ แม้ยางจะใกล้หมดดอก จึงมีประสิทธิภาพในการรีดน้ำสูง
ร่องรีดน้ำขนาดใหญ่ ที่เชื่อมต่อไปยังร่องรีดน้ำขนาดเล็กทางขอบยาง จึงช่วยให้การยึดเกาะบนพื้นเปียกทำได้ดี
นอกจากนี้ลายดอกยางที่ได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษ เพื่อลดเสียงรบกวน
โครงสร้างยาง
มีความแข็งแรง โครงสร้างยางที่แข็งแรงและทนทานต่อการกระแทก, กระจายแรงกดได้สม่ำเสมอ, แข็งแรงแต่ไม่แข็งกระด้าง
เลยทำให้การวิ่งนั้น นุ่มนวลมากกว่ายางรุ่นอื่น
อีกนิด เรามาส่องสเป็กที่แก้มยางกันต่อสักหน่อย Treadwear 420 ถือว่าตัวเลขค่อนข้างมาก แสดงให้เห็นถึงอายุการใช้งานที่ยาวนาน
ซึ่งหลายคนอาจเข้าใจว่า treadwear เยอะไม่เกาะถนน แต่ในกรณีของยางมิชลินไม่เป็นเช่นนั้น
เนื่องจากมิชลินมีเทคโนโลยีขั้นสูงที่สามารถให้อายุการใช้งานที่ยาวนานและการเกาะถนนที่ดีได้ในเวลาเดียวกัน
เช่น เนื้อยาง Full Silica และการออกแบบลายดอกยางที่ซับซ้อน
Traction A ถือว่า การหยุดรถบนพื้นผิวถนนเปียก (พื้นลาดยาง หรือ พื้นคอนเกรีต) ค่อนข้างทำได้ดี
Temperature A ถือว่า มีความทนทานต่ออุณหภูมิ ได้ดี (ทนความร้อน อย่างอากาศในบ้านเรา)
ต่อมาก็เข้าสู่ส่วนของการทดสอบกันแล้ว ในครั้งนี้เราจะมาเทสเจ้า MICHELIN ENERGY XM2+ กันเฉพาะยางใกล้หมดดอกล้วนๆ
(ยางใกล้หมดดอก เหลือร่องดอกยางเพียง 2 มม.) ที่สนาม BKK Drag Avenue คลอง 5
เพื่อให้ทดสอบกันไปให้เห็นถึง เนื้อยางของ XM2+ กันว่า ประสิทธิภาพในการยึดเกาะจะยังดีจริง แม้ดอกจะหมดแล้วจริงหรือไม่
ในครั้งนี้ ทางมิชิลิน ได้เตรียมรถทดสอบให้เรา เป็นรถ Toyota Vios ที่ติดตั้งยาง MICHELIN ENERGY XM2+ ไซส์ 185/60/R15
เป็นยางดอกยางที่ใกล้หมด (ทำให้เก่าโดยการเจียรดอกยางทิ้ง ให้เหลือร่องดอกยางลึก 2 มม. ซึ่งระดับนี้ปกติจะไม่ใช้กันแล้ว
แต่เพื่อต้องการพิสูจน์ก็ต้องมาลองดูกัน)
ทำการเทียบกับยางชั้นนำอื่นๆในคลาสเดียวกัน ซึ่งใช้ไซส์ยางไซส์เดียวกัน 2 อีกแบรนด์
การทดสอบจะประกอบไปด้วย 2 ช่วงด้วยกัน
เริ่มที่การทดสอบการเบรกบนพื้นผิวที่เปียกจนหยุดนิ่ง
แน่นอนว่า เราไม่สามารถควบคุมอากาศได้ ทางมิชิลิน จึงได้เตรียมการจำลอง Track ให้เปียก
โดยการฉีดน้ำให้ทั่วทั้ง Track ในส่วนที่ทดสอบนี้
ให้เราวิ่งเข้ามาด้วยความเร็วระดับ 80 กม./ชม. และให้เบรกจนหยุดนิ่งบนพื้นผิวที่เปียก
วัดระยะทางผ่านกล่อง V-Box ก่อนที่จะเปลี่ยนไปสลับใส่ยางใกล้หมดดอกของแบรนด์ชั้นนำอื่นและมาเบรกเปรียบเทียบเช่นเดียวกัน
ผลการทดสอบนั้น เราได้ค่าดังนี้
ขณะที่การเบรกจากความเร็ว 80-0 กม./ชม. บนยางใกล้หมดดอก (ยางที่ผ่านกระบวนการทำให้ดอกยางเหลือ 2 มิลลิเมตร)
MICHELIN ENERGY XM2+ มีระยะเบรกที่ 31.7 ม.
ยางชั้นนำ A ได้ 38.5 ม.
ยางชั้นนำ B ได้ 45.0 ม.
โดยรวมจากตัวเลขที่ผมลองทดสอบได้นั้น พบว่า MICHELIN ENERGY XM2+ นั้น มีระยะเบรกที่สั้นกว่าคู่แข่ง
ถึง 6.8 ม. และ 13.3 ม. ตามลำดับ (ทดสอบในสภาวะเดียวกัน)
อย่างไรก็ดี หากไม่มั่นใจในฝีมือผมที่ทดสอบคนเดียว เรายังมีค่าเฉลี่ยที่ได้ จากกรุ๊ปทดสอบ
ในรอบผมซึ่งมีพี่อีก 2 ท่านร่วมทดสอบด้วย โดยมีค่าเฉลี่ยรวมทั้ง 3 คน ในกรุ๊ปดังนี้
ค่าเฉลี่ย MICHELIN ENERGY XM2+ มีระยะเบรกที่ 32.3 ม.
ยางชั้นนำ A ได้ 38.4 ม.
ยางชั้นนำ B ได้ 42.3 ม.
ถือว่าตัวเลขที่ออกมานั้น MICHELIN ENERGY XM2+ มีค่าเฉลี่ยระยะเบรกที่สั้นกว่าคู่แข่ง
ถึง 6.1 ม. และ 10 ม. ตามลำดับ (ทดสอบในสภาวะเดียวกัน)
ซึ่งเหตุผลหลักๆ นั้นเป็นเพราะว่า แม้ยางจะใกล้หมดดอก แต่ ร่องรีดน้ำของ MICHELIN ENERGY XM2+ ยังคงเหลือร่องให้ใช้งานอยู่มาก
จึงลดอาการเหินน้ำและตัดฟิล์มน้ำขณะเบรกได้ดีกว่า ซึ่งต่างจากยางชั้นนำแบรนด์อื่นที่ร่องรีดน้ำแทบไม่เหลือแล้ว
จากตัวเลขดังกล่าวต้องบอกเลยว่า บอกเลยว่าถ้าใช้ในสถานการณ์จริง มีผลเป็นอย่างมาก ที่ระดับ 6 ม. และ 10 ม. นี้
ความรุนแรงจะเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อยเลยทีเดียวถ้าหากเกิดอุบัติเหตุ หรือ ระยะนี้จะสามารถช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุลงไปได้มากทีเดียว
และอีกช่วงหนึ่งของการทดสอบนั่นก็คือ การให้ลองทดสอบ Noise & Comfort หรือ ที่เรียกว่า ทดสอบความเงียบ และ นุ่ม
ซึ่งเรายังคงใช้ Toyota Vios สวมยาง MICHELIN ENERGY XM2+ ไซส์เดิม วิ่งบนแทร็กเหมือนจำลองขับรถเดินทางทั่วไป
เพื่อฟังเรื่องของเสียงว่าเงียบเพียงใด
และมีการทดสอบเรื่องของความนุ่ม โดยมีการวางแท่งเหล็ก เพื่อจำลองสภาพพื้นผิวที่ที่ไม่ราบเรียบ เจอรอยต่อต่างๆ
ผมต้องเรียนตามตรงว่า ในส่วนนี้ เป็นเรื่องของฟีลลิ่ง ล้วนๆ ไม่มีการชี้วัดออกมาเป็นตัวเลขยืนยัน เหมือนการทดสอบก่อนหน้า
ดังนั้น ผมจึงต้องขออธิบายตามความรู้สึกจริงที่ได้รับ
ในช่วงการทดสอบเรื่องเสียงนั้น เนื่องจากขับไม่ได้เร็วมาก จึงอาจไม่ได้รู้สึกถึงความแตกต่างแบบชัดเจน
ส่วนตัวผมแทบรู้สึกว่าคันที่สวม MICHELIN ENERGY XM2+ จะเงียบกว่าเล็กน้อย
ในเรื่องของ Drive Comfort นั้น ส่วนตัวผมรู้สึกว่า คันที่สวมยาง MICHELIN ENERGY XM2+ จะมีการซับแรงที่ดีกว่าเล็กน้อย
รู้สึกสะเทือนน้อยลงกว่าคันที่สวมยางชั้นนำแบรนด์อื่น
สรุปแล้ว MICHELIN ENERGY XM2+ ถือเป็นยางรถเล็กที่น่าสนใจทีเดียว เพราะส่วนใหญ่รถเล็กระดับนี้นั้น
หลายคนคงเคยเจอปัญหา ไม่ค่อยมั่นใจเมื่อขับเร็ว หรือ รู้สึกว่ารถไม่ค่อยยึดเกาะถนน รวมถึงการเก็บเสียงที่ไม่ดีมากนัก
ดังนั้นเราคงจะต้องเน้นเรื่องของประสิทธิภาพที่ครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานนุ่มเงียบ ที่ถือเป็นจุดเด่นของยางรถยนต์นั่งจากมิชลิน
(MICHELIN) นอกจากนี้ด้านประสิทธิภาพนั้น การทดสอบนี้ ค่อนข้างชัดเจนว่า แม้ยางดอกสึกแล้ว ก็ยังยืนยันในด้านของสมรรถนะ
และความปลอดภัยในการใช้จริงได้ดีอยู่ ยึดเกาะรีดน้ำดีในระดับที่น่าพอใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงหน้าฝนเช่นนี้
สำหรับยาง MICHELIN ENERGY XM2+ มีขนาดวงล้อ 14-16” รวมทั้งสิ้น 24 ไซส์ ซึ่งจะครอบคลุมการใช้งานรถขนาดเล็ก Eco-Car
ไปจนถึง Sub-Compact โดยมีไซส์ตามตารางนี้ครับ
สำหรับผู้ที่สนใจสามารถไปชมได้ที่ศูนย์ Tyreplus และร้านตัวแทนจำหน่าย Michelin ทั่วประเทศ หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://bit.ly/30wA0jt
BR - Business Review : กระทู้นี้เป็นกระทู้รีวิวจากผู้สนับสนุน