เราเคยสงสัยกันไหมว่าทำไมสิ่งที่เราพยายามเรียกร้องเกี่ยวกับสันติภาพและความปรองดองถึงไม่เคยประสบความสำเร็จหรือไม่แม้แต่จะเข้าไปเฉียดใกล้ความสำเร็จ นั่นก็เป็นเพราะว่าเรากำลังเรียกร้องสันติภาพและความปรองดองกับตัวเราเองไม่ใช่กับคนอื่นอย่างที่เราพยายามบอกตัวเองมาตลอด ยกตัวอย่างง่ายๆถ้าภายในบ้านหนึ่งหลังมีคนอาศัยอยู่ 5 คน ทั้งหมดอาศัยอยู่ภายในบ้านหลังเดียวกันดังนั้นทุกคนจึงมีส่วนร่วมทำให้บ้านสกปรกมากบ้างน้อยบ้างตามแต่ลักษณะการอยู่อาศัยของแต่ละคน เมื่อมีการใช้งานก็ต้องมีการเสื่อมสภาพเมื่อเสื่อมสภาพก็ต้องซ่อมแซมทำความสะอาด ดังนั้นทุกคนต่างก็เรียกร้องอยากจะได้บ้านที่สะอาดน่าอยู่เหมือนเดิมและทุกคนต่างก็มีเหตุผลของตัวเองที่ยกขึ้นมาบอกกับตัวเองว่าเพราะอะไรและทำไมถึงไม่ใช่เราที่จะต้องเป็นผู้ที่ลงมือทำความสะอาดบ้านด้วยกันทั้งนั้น และเหตุผลต่างๆนานาที่เรายกขึ้นมาก็ทำให้เราคือผู้ที่คิดและทำอะไรถูกเสมอ เพราะฉะนั้นคนที่ควรทำความสะอาดบ้านจึงเป็นคนอื่นไม่ใช่เรา เราเพียงแค่เรียกร้องและชี้หรือบอกให้คนอื่นเห็นถึงสิ่งที่คนอื่นทำสกปรกก็พอแล้ว ความคิดนั้นอาจทำให้เราเชื่อในสิ่งที่เราคิดและทำได้ แต่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าบ้านเราไม่สะอาดได้ การทำให้บ้านสะอาดที่ง่ายที่สุดสะดวกที่สุดคือการไม่ทำบ้านสกปรกตั้งแต่แรก แต่ถ้าเราทำไม่ได้เราก็แค่รับผิดชอบในส่วนของเราเมื่อทุกคนรับผิดชอบในส่วนของตัวเองบ้านทั้งหลังก็จะกลับมาสะอาดดังเดิมโดยอัตโนมัติ ดังนั้นการมองภาพรวมใหญ่ซึ่งหมายความถึงครอบครัวหมู่บ้านชุมชนท้องถิ่นจังหวัดประเทศโดยละเลยจุดเริ่มต้นที่มาจากตัวเราเองคือเหตุและผลที่ทำให้ภาพรวมใหญ่ไม่สามารถเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้นการที่เราจะเปลี่ยนภาพรวมใหญ่ได้เราต้องเริ่มจากตัวเราเองก่อนแล้วภาพรวมใหญ่จะตามมาโดยอัตโนมัติ สันติภาพและความปรองดองของภาพรวมใหญ่จะเกิดขึ้นได้ก็มาจากเริ่มต้นหันมาทำความเข้าใจกับพลังงานด้านลบของเราที่ละอย่างๆ การเกิดขึ้นของสิ่งหนึ่งคือการดับสูญของสิ่งหนึ่ง การมีอยู่ของสิ่งหนึ่งคือการไม่มีอยู่ของสิ่งหนึ่ง ดังจะเห็นได้ว่าการเรียกร้องเพียงอย่างเดียวโดยไม่ลงมือปฎิบัติเพื่อให้เกิดผลจึงเป็นไปไม่ได้เลย
เราสามารถสร้างสันติภาพและความปรองดองให้เกิดขึ้นได้ง่ายๆเพียงแค่เรายุติการนำตัวเราเองเข้าไปมีส่วนร่วมกับความขัดแย้งทั้งปวงไม่ว่าความขัดแย้งนั้นจะมีขึ้นกับใครก็ตามไม่ว่าจะเป็นคนในบ้านหรือคนนอกบ้านทุกคน เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดและการกระทำของผู้อื่นได้ และเราไม่ควรนำความคิดและการกระทำของผู้อื่นมาหยุดยั้งการทำความเข้าใจกับพลังงานด้านลบของเรา เราสามารถเปลี่ยนแปลงความคิดและการกระทำของเราได้ 100% ดังนั่นอย่าพยายามทำอะไรเพื่อเปลี่ยนแปลงผู้อื่นการกระทำเช่นนั้นของเราไม่เพียงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผู้อื่นได้แล้วเรายังทำให้ผู้อื่นเกิดปฎิกริยาต่อต้านมากขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัวอีกต่างหากและนี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สันติภาพและความปรองดองไม่สามารถเกิดขึ้นได้ ความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงผู้อื่นคือความพยายามของการปฎิเสธการแสดงความรับผิดชอบต่อความคิดคำพูดและการกระทำของเราเองโดยไม่รู้ตัว คำพูดที่ว่า " คนอื่นจะต้องรับเราให้ได้ในแบบที่เราเป็นถ้าเค้ารักเราจริง " คือเหตุผลที่เราให้กับตัวเองและผู้อื่นแท้ที่จริงแล้วมันคือความเห็นแก่ตัวของเรานั่นเอง และการที่เราเลือกใช้วิธีการเรียกร้องและการโทษผู้อื่นก็เพราะความเห็นแก่ตัวและความต้องการที่จะปฏิเสธความรับผิดชอบต่อความคิดคำพูดและการกระทำของเราเอง เพราะเราไม่ต้องการเป็นผู้ที่เปลี่ยนแปลงเราจึงพยายามให้ผู้อื่นเป็นคนที่เปลี่ยนแปลงแทน
การเปรียบเทียบตัวเราเองกับผู้อื่นคืออุปสรรคสำคัญที่ทำให้เราหยุดยั้งการทำความเข้าใจกับความคิดที่เกี่ยวกับพลังงานด้านลบของเราเองโดยไม่รู้ตัว เนื่องจากเราสามารถมีความคิดได้เพียงแค่ความคิดเดียวในชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นเมื่อไหร่ที่เราคิดถึงสิ่งที่ผู้อื่นทำเราก็จะไม่คิดถึงสิ่งที่เราทำโดยอัตโนมัติ เมื่อไหร่ที่เรามีความคิดของการโทษผู้อื่นเราก็จะไม่สามารถแสดงความรับผิดชอบกับความคิดและการกระทำของเราได้ เมื่อไหร่ที่เรามีความคิดของการเปรียบเทียบตัวเราเองกับผู้อื่นเราก็ไม่สามารถรวมความคิดเราเองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับผู้อื่นได้ เมื่อเราไม่สามารถรวมความคิดของเราให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับผู้อื่นได้การแบ่งแยกและความแตกแยกต่างๆก็ตามมาโดยอัตโนม้ติ
สันติภาพและความปรองดองไม่ใช่สิ่งที่เราจะเรียกร้องเอาจากผู้หนึ่งผู้ใด แต่คือสิ่งที่เรานำเสนอออกจากตัวเราเอง เช่นเดียวกันกับการเรียกร้องถามหาความมีน้ำใจจากผู้อื่นเพราะน้ำใจไม่ใช่สิ่งที่เราจะเรียกร้องเอาจากผู้อื่น แต่คือสิ่งที่เราทำหรือมอบให้ผู้อื่นด้วยความยินยอมพร้อมใจและเต็มใจ ของเราเอง สันติภาพและความปรองดองไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากความคิดของการแบ่งแยกพวกเขาพวกเรา เราสามารถแก้ไขความแตกแยกได้โดยไม่ให้ความสำคัญไม่คิดถึงไม่เข้าไปมีส่วนร่วมไม่แตะต้องกับความแตกแยกนั้นไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง แต่หันมาให้ความสนใจกับการทำความเข้าใจกับความคิดและการกระทำด้านลบของเราเองทั้งหมดเพื่อคืนความเป็นเอกภาพให้กับโลกภายในของเราเองก่อน และเราจะเห็นเองว่าเราไม่มีความจำเป็นใดใดเลยที่จะต้องมาเรียกร้องสันติภาพและความปรองดอง ถ้าเพียงแต่เราสามารถทำความเข้าใจกับเหตุและผลของการมีอยู่และดับสูญที่เกิดขึ้นภายในตัวเราเองได้ ถ้าเราทุกคนสามารถปฎิเสธไม่ให้ความร่วมมือกับพลังงานด้านลบต่างๆของเราเองได้ สันติภาพและความปรองดองก็จะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติเริ่มจากภายในสู่ภายนอก เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกภายนอกหรือภาพรวมใหญ่ได้ตราบใดที่เรายังละเลยกับคำถามที่เกิดขึ้นจากความไม่เข้าใจเกี่ยวกับพลังงานด้านลบต่างๆของเราเองได้ ยุติการเรียกร้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับโลกภายนอกแล้วหันมาทำความเข้าใจกับพลังงานด้านลบที่เรารับเข้ามาด้วยความไม่รู้และไม่เข้าใจในวัยเยาว์ของเราดีกว่า เมื่อใดที่เราสามารถคืนความเป็นเอกภาพให้กับโลกภายในของเราได้เราจะเห็นว่าการเรียกร้องต่างๆในทุกๆเรื่องไม่มีความจำเป็นใดใดเลย ทุกอย่างเกิดขึ้นและดับสูญภายในตัวเรา เราสามารถเป็นทั้งผู้สร้างและผู้ทำลายได้ อย่าพยายามเปลี่ยนโลกภายนอกโดยละเลยโลกภายในของเราเอง ถ้าเราต้องการเห็นความสุขสงบของโลกภายนอกเราต้องเริ่มต้นที่การทำความเข้าใจกับความคิดที่เกี่ยวกับพลังงานด้านลบของเราก่อนแล้วความสงบสุขของโลกภายนอกจะตามมาโดยอัตโนมัติ กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จภายในวันเดียว ฉันใดก็ฉันนั้นความแตกแยกของประเทศก็ไม่ได้เกิดขึ้นจากการกระทำของคนคนเดียว เราทุกคนมีส่วนร่วมกันทำให้เกิดความแตกแยกนั้นไม่มากก็น้อย ดังนั้นเราจึงมีส่วนร่วมในการแก้ไขความแตกแยกนั้นด้วย เราไม่มีความจำเป็นและไม่ควรที่จะต้องแสดงความรับผิดชอบกับความคิดคำพูดและการกระทำของผู้อื่น เราแค่รับผิดชอบต่อความคิดคำพูดและการกระทำของเราเท่านั้น โดยการหันมาทำความเข้าใจกับความคิดคำพูดและการแสดงออกของเราทุกอย่างใหม่อีกครั้งเพราะสิ่งที่เราแสดงออกไปจากตัวเราก็คือสัญญาณที่โลกภายในของเราส่งออกมาก็เพื่อให้เราเรียนรู้และทำความเข้าใจ ไม่มีใครจะต้องมาแสดงความรับผิดชอบกับความคิดและการเลือกที่จะทำและไม่ทำอะไรของเรานอกจากตัวเราเอง
When you judge another, you do not define them, you define yourself ในเวลาที่เราวิจารณ์หรือตัดสินผู้อื่นก็ไม่ได้หมายความว่าผู้อื่นจะเป็นอย่างนั้นแต่หมายความว่าเราเป็นในสิ่งที่เราคิดและกระทำออกไป
When you squeeze an orange, orange juice comes out - because that's what's inside. When you are squeezed, what comes out is what is inside. เมื่อเราบีบผลส้มสิ่งที่ออกมาจากผลส้มก็คือน้ำส้ม เพราะนั่นคือสิ่งที่อยู่ภายในผลส้ม เมื่อเราอยู่ในสถานการณ์การที่บีบคั้น สิ่งที่เราแสดงออกมาก็คือสิ่งที่เราเป็นหรือมีจากภายในของเรานั่นเอง
สันติภาพและความปรองดองไม่มีวันเกิดขึ้นได้จากการเรียกร้อง
เราสามารถสร้างสันติภาพและความปรองดองให้เกิดขึ้นได้ง่ายๆเพียงแค่เรายุติการนำตัวเราเองเข้าไปมีส่วนร่วมกับความขัดแย้งทั้งปวงไม่ว่าความขัดแย้งนั้นจะมีขึ้นกับใครก็ตามไม่ว่าจะเป็นคนในบ้านหรือคนนอกบ้านทุกคน เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดและการกระทำของผู้อื่นได้ และเราไม่ควรนำความคิดและการกระทำของผู้อื่นมาหยุดยั้งการทำความเข้าใจกับพลังงานด้านลบของเรา เราสามารถเปลี่ยนแปลงความคิดและการกระทำของเราได้ 100% ดังนั่นอย่าพยายามทำอะไรเพื่อเปลี่ยนแปลงผู้อื่นการกระทำเช่นนั้นของเราไม่เพียงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผู้อื่นได้แล้วเรายังทำให้ผู้อื่นเกิดปฎิกริยาต่อต้านมากขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัวอีกต่างหากและนี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สันติภาพและความปรองดองไม่สามารถเกิดขึ้นได้ ความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงผู้อื่นคือความพยายามของการปฎิเสธการแสดงความรับผิดชอบต่อความคิดคำพูดและการกระทำของเราเองโดยไม่รู้ตัว คำพูดที่ว่า " คนอื่นจะต้องรับเราให้ได้ในแบบที่เราเป็นถ้าเค้ารักเราจริง " คือเหตุผลที่เราให้กับตัวเองและผู้อื่นแท้ที่จริงแล้วมันคือความเห็นแก่ตัวของเรานั่นเอง และการที่เราเลือกใช้วิธีการเรียกร้องและการโทษผู้อื่นก็เพราะความเห็นแก่ตัวและความต้องการที่จะปฏิเสธความรับผิดชอบต่อความคิดคำพูดและการกระทำของเราเอง เพราะเราไม่ต้องการเป็นผู้ที่เปลี่ยนแปลงเราจึงพยายามให้ผู้อื่นเป็นคนที่เปลี่ยนแปลงแทน
การเปรียบเทียบตัวเราเองกับผู้อื่นคืออุปสรรคสำคัญที่ทำให้เราหยุดยั้งการทำความเข้าใจกับความคิดที่เกี่ยวกับพลังงานด้านลบของเราเองโดยไม่รู้ตัว เนื่องจากเราสามารถมีความคิดได้เพียงแค่ความคิดเดียวในชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นเมื่อไหร่ที่เราคิดถึงสิ่งที่ผู้อื่นทำเราก็จะไม่คิดถึงสิ่งที่เราทำโดยอัตโนมัติ เมื่อไหร่ที่เรามีความคิดของการโทษผู้อื่นเราก็จะไม่สามารถแสดงความรับผิดชอบกับความคิดและการกระทำของเราได้ เมื่อไหร่ที่เรามีความคิดของการเปรียบเทียบตัวเราเองกับผู้อื่นเราก็ไม่สามารถรวมความคิดเราเองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับผู้อื่นได้ เมื่อเราไม่สามารถรวมความคิดของเราให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับผู้อื่นได้การแบ่งแยกและความแตกแยกต่างๆก็ตามมาโดยอัตโนม้ติ
สันติภาพและความปรองดองไม่ใช่สิ่งที่เราจะเรียกร้องเอาจากผู้หนึ่งผู้ใด แต่คือสิ่งที่เรานำเสนอออกจากตัวเราเอง เช่นเดียวกันกับการเรียกร้องถามหาความมีน้ำใจจากผู้อื่นเพราะน้ำใจไม่ใช่สิ่งที่เราจะเรียกร้องเอาจากผู้อื่น แต่คือสิ่งที่เราทำหรือมอบให้ผู้อื่นด้วยความยินยอมพร้อมใจและเต็มใจ ของเราเอง สันติภาพและความปรองดองไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากความคิดของการแบ่งแยกพวกเขาพวกเรา เราสามารถแก้ไขความแตกแยกได้โดยไม่ให้ความสำคัญไม่คิดถึงไม่เข้าไปมีส่วนร่วมไม่แตะต้องกับความแตกแยกนั้นไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง แต่หันมาให้ความสนใจกับการทำความเข้าใจกับความคิดและการกระทำด้านลบของเราเองทั้งหมดเพื่อคืนความเป็นเอกภาพให้กับโลกภายในของเราเองก่อน และเราจะเห็นเองว่าเราไม่มีความจำเป็นใดใดเลยที่จะต้องมาเรียกร้องสันติภาพและความปรองดอง ถ้าเพียงแต่เราสามารถทำความเข้าใจกับเหตุและผลของการมีอยู่และดับสูญที่เกิดขึ้นภายในตัวเราเองได้ ถ้าเราทุกคนสามารถปฎิเสธไม่ให้ความร่วมมือกับพลังงานด้านลบต่างๆของเราเองได้ สันติภาพและความปรองดองก็จะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติเริ่มจากภายในสู่ภายนอก เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกภายนอกหรือภาพรวมใหญ่ได้ตราบใดที่เรายังละเลยกับคำถามที่เกิดขึ้นจากความไม่เข้าใจเกี่ยวกับพลังงานด้านลบต่างๆของเราเองได้ ยุติการเรียกร้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับโลกภายนอกแล้วหันมาทำความเข้าใจกับพลังงานด้านลบที่เรารับเข้ามาด้วยความไม่รู้และไม่เข้าใจในวัยเยาว์ของเราดีกว่า เมื่อใดที่เราสามารถคืนความเป็นเอกภาพให้กับโลกภายในของเราได้เราจะเห็นว่าการเรียกร้องต่างๆในทุกๆเรื่องไม่มีความจำเป็นใดใดเลย ทุกอย่างเกิดขึ้นและดับสูญภายในตัวเรา เราสามารถเป็นทั้งผู้สร้างและผู้ทำลายได้ อย่าพยายามเปลี่ยนโลกภายนอกโดยละเลยโลกภายในของเราเอง ถ้าเราต้องการเห็นความสุขสงบของโลกภายนอกเราต้องเริ่มต้นที่การทำความเข้าใจกับความคิดที่เกี่ยวกับพลังงานด้านลบของเราก่อนแล้วความสงบสุขของโลกภายนอกจะตามมาโดยอัตโนมัติ กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จภายในวันเดียว ฉันใดก็ฉันนั้นความแตกแยกของประเทศก็ไม่ได้เกิดขึ้นจากการกระทำของคนคนเดียว เราทุกคนมีส่วนร่วมกันทำให้เกิดความแตกแยกนั้นไม่มากก็น้อย ดังนั้นเราจึงมีส่วนร่วมในการแก้ไขความแตกแยกนั้นด้วย เราไม่มีความจำเป็นและไม่ควรที่จะต้องแสดงความรับผิดชอบกับความคิดคำพูดและการกระทำของผู้อื่น เราแค่รับผิดชอบต่อความคิดคำพูดและการกระทำของเราเท่านั้น โดยการหันมาทำความเข้าใจกับความคิดคำพูดและการแสดงออกของเราทุกอย่างใหม่อีกครั้งเพราะสิ่งที่เราแสดงออกไปจากตัวเราก็คือสัญญาณที่โลกภายในของเราส่งออกมาก็เพื่อให้เราเรียนรู้และทำความเข้าใจ ไม่มีใครจะต้องมาแสดงความรับผิดชอบกับความคิดและการเลือกที่จะทำและไม่ทำอะไรของเรานอกจากตัวเราเอง
When you judge another, you do not define them, you define yourself ในเวลาที่เราวิจารณ์หรือตัดสินผู้อื่นก็ไม่ได้หมายความว่าผู้อื่นจะเป็นอย่างนั้นแต่หมายความว่าเราเป็นในสิ่งที่เราคิดและกระทำออกไป
When you squeeze an orange, orange juice comes out - because that's what's inside. When you are squeezed, what comes out is what is inside. เมื่อเราบีบผลส้มสิ่งที่ออกมาจากผลส้มก็คือน้ำส้ม เพราะนั่นคือสิ่งที่อยู่ภายในผลส้ม เมื่อเราอยู่ในสถานการณ์การที่บีบคั้น สิ่งที่เราแสดงออกมาก็คือสิ่งที่เราเป็นหรือมีจากภายในของเรานั่นเอง