โลกภายนอก คือ ภาพสะท้อนโลกภายใน

เมื่อเราเป็นทารกอยู่ในครรภ์ของเเม่สิ่งที่เราทำคือรับสารอาหารจากแม่เพื่อพัฒนาร่างกายอวัยวะต่างๆอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดมาจากความรักความปรารถนาดีของแม่ที่มีต่อลูกที่ต้องการจะมอบแต่สิ่งดีๆให้กับลูกทำให้เราเกิดความรู้สึกไว้เนื้อเชื่อใจและคิดว่าหน้าที่ของเราคือการเป็นผู้รับ ดังนั้นหลังจากที่เราออกมาจากครรภ์ของแม่เราก็ยังมีความรู้สึกไว้เนื้อเชื่อใจและความคิดของการเป็นผู้รับอยู่อย่างเต็มเปี่ยมจึงทำใหประสบการณ์ต่างๆอันเกิดจากการอบรมเลี้ยงดูและการมีปฎิสัมพันธ์กับทุกคนที่อยู่รอบข้างเป็นเพียงการรับทุกอย่างทั้งลักษณะท่าทางการกระทำอารมณ์ความรู้สึกต่างๆของทุกคนที่มีปฏิสัมพันธ์กับเราเข้ามาสู่ความนึกคิดที่มีแต่ความไว้เนื้อเชื่อใจอยู่เต็มเปี่ยม แต่สิ่งที่เรารับเข้ามาหลังจากที่เราออกจากครรภ์ของแม่ไม่ได้มีเพียงความรักและความปราถนาดีซึ่งเป็นพลังงานบวกเพียงด้านเดียวแต่ยังมีพลังงานด้านลบต่างๆที่มาจากการกระทำอารณ์ความรู้สึกนึกคิดที่ไม่ดีเข้ามาด้วยและเมื่อเราเป็นเด็กเรายังไม่สามารถทำความเข้าใจกับพลังงานด้านลบต่างๆเหล่านั้นได้ ดังนั้นพลังงานด้านลบต่างๆที่เรารับเข้ามาด้วยความไม่รู้และไม่เข้าใจว่าเราควรจะทำอย่างไรดีจึงทำให้พลังงานด้านลบเหล่านั้นเข้าไปฝังตัวอยู่ในจิตใต้สำนึกของเราและต่อมาเราก็นำพลังงานด้านลบต่างๆเหล่านั้นออกมาใช้งานในสถานการณ์ต่างๆโดยเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมแล้ว โดยไม่เคยเฉลียวใจหรือย้อนกลับมาคิดทบทวนถึงความคิดและการกระทำต่างๆที่เราแสดงออกไปจึงทำให้พลังงานทางด้านลบเหล่ากลายมาเป็นตัวตนของเราโดยอัตโนมัติ การลบพลังงานด้านลบออกจากความคิดและจิตใต้สำนึกของเราเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยตราบใดที่เรายังมีความไม่รู้และความไม่เข้าใจอยู่ ไม่มีใครสามารถทำให้เราเปลี่ยนความคิดความเข้าใจของเราได้นอกจากตัวเราเองและไม่มีใครสามารถทำให้เรามองเห็นความจริงได้ถ้าตัวเราเองยังปฏิเสธที่จะแสดงความรับผิดชอบต่อความคิดคำพูดและการกระทำของตัวเราเอง การเปิดใจยอมรับว่าพลังงานด้านลบที่เรารับเข้ามาเมื่อครั้งที่เรายังเป็นเด็กน้อยไร้เดียงสาอยู่นั้นเป็นเพียงความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนของเราเองจะทำให้เราสามารถทำความเข้าใจและยอมรับความคิดใหม่เพื่อนำมาปฎิบัติได้ง่ายขึ้นและรวดเร็วขึ้น

การโทษผู้อื่นอาจเป็นความคิดและการกระทำที่ดูเหมือนจะสมเหตุผลในระยะแรกที่เรารับพลังงานทางด้านลบเข้ามาเพราะพลังงานด้านลบเหล่านั้นทำให้เรารู้สึกแย่เศร้าเสียใจโกรธแค้นชิงชังแต่เรายังไม่รู้ไม่เข้าใจถึงที่มาที่ไปและวิธีการที่จะขจัดความคิดความรู้สึกที่ไม่ดีของพลังงานด้านลบเหล่านั้น แต่ต่อมาเมื่อเราเริ่มเติบโตขึ้นมีวุฒิภาวะมากขึ้นมีการศึกษามากขึ้นเราก็ยังไม่ทิ้งนิสัยการโทษผู้อื่นอยู่นั่นแสดงให้เห็นว่าเราคือคนที่ปฏิเสธที่จะรับผิดชอบต่อคำพูดและการกระทำของตัวเองซึ่งเป็นผลทำให้เรากลายเป็นคนที่ไม่เคารพตัวเองตามมาโดยอัตโนมัติ เราเคยสงสัยกันไหมว่าทำไมเราต้องประสบพบเจอแต่เรื่องเดิมๆที่ทำให้ปวดหัวปวดใจกับปัญหาเดิมๆซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงแม้ว่าคนที่เรามีปฏิสัมพันธ์ด้วยจะเปลี่ยนไปสักกี่คนปัญหาเหล่านั้นก็ยังคงอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง นั่นก็เป็นเพราะว่าคนสร้างปัญหาเหล่านั้นที่เราคิดหรือเข้าใจว่าเป็นเพราะคนเหล่านั้นที่สร้างปัญหาให้กับเรา แต่แท้ที่จริงแล้วคือเรานี่เองที่เป็นคนสร้างปัญหาเหล่านั้นขึ้นมาและนี่คือเหตุผลว่าทำไมปัญหาเหล่านั้นถึงตามเราไปทุกที่ ปัญหาที่เราคิดว่ามันคือปัญหาแท้จริงแล้วเกิดจากความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนในวัยเยาว์ของเรานั่นเอง และเหตุผลที่เราต้องพบเจอกับพลังงานด้านลบเหล่านี้ครั้งแล้วครั้งเล่าก็เป็นเพราะว่าเราปฏิเสธที่จะเรียนรู้และทำความเข้าใจ แต่โลกภายในของเราต้องการให้เราเรียนรู้และทำความเข้าใจเพื่อทำให้โลกภายในหมดคำถามและลบความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับพลังงานทางด้านลบทั้งหลายออกเพื่อคืนความเป็นเอกภาพให้กับโลกภายในดังเดิม ดังนั้นพลังงานด้านลบต่างๆที่เราแสดงออกไปก็คือสัญญาณที่ส่งออกมาจากโลกภายในเพื่อบอกให้เราหันมาทำความเข้าใจและเรียนรู้จากสัญญาณนั้นอีกครั้ง ไม่ใช่เป็นสัญญาณที่ผู้อื่นจะต้องทำความเข้าใจและเรียนรู้อย่างที่เราพยายามบอกกับตัวเองมาตลอดว่าเป็นเพราะคนอื่นเป็นอย่างนั้นคนอื่นเป็นอย่างนี้หรือเพราะคนอื่นทำอย่างนั้นคนอื่นทำอย่างนี้เราถึงเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ไม่มีใครพาเรามายืนอยู่ณจุดที่เรายืนได้นอกจากตัวเราเอง

ชีวิตคือการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงคือการเปลี่ยนจากสิ่งหนึ่งไปสู่อีกสิ่งหนึ่ง  ไม่มีใครบนโลกนี้ที่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากการเปลี่ยนแปลง โลกภายนอกคือโลกแห่งความเป็นจริงที่เปรียบเสมือนเป็นภาพสะท้อนของความคิดให้กับโลกภายในของเรา โลกภายในเปรียบเสมือนขุมพลังแห่งความคิดอันไร้ขอบเขตที่เราสามารถสร้างภาพหรือจิตนาการให้ออกมาเป็นอะไรก็ได้ตามที่ใจปราถนา ชีวิตมีเกิดก็ต้องมีดับเช่นเดียวกับกระบวนการเรียนรู้และทำความเข้าใจเพื่อเติบโต เมื่อมีการรับเข้าก็ต้องมีการปล่อยออก เมื่อเรียนผูกก็ต้องเรียนแก้ ทุกสิ่งที่เราสามารถเรียนรู้ได้เราก็สามารถทำความเข้าใจได้ การเรียนรู้เพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ถ้าปราศจากการทำความเข้าใจ และนี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมโลกภายนอกคือภาพสะท้อนความคิดของโลกภายใน เนื่องจากโลกภายในของเรายังมีคำถามที่ยังไม่สามารถทำความเข้าใจได้เกี่ยวกับพลังงานด้านลบต่างๆที่เรารับเข้ามาเมื่อเรายังเด็ก ดังนั้นการแสดงออกของเราที่เกี่ยวกับพลังงานด้านลบทั้งหมดก็คือสัญญาณที่ส่งออกมาเพื่อให้เราหยุดคิดและทำความเข้าใจกับความคิดและการกระทำของเรานั้นอีกครั้งเพื่อคืนความเป็นเอกภาพให้กับโลกภายในของเรา เราสามารถเรียนรู้และทำความเข้าใจกับโลกภายในของเราง่ายๆโดยการสังเกตความคิดคำพูดและการกระทำของเราเองจากทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับโลกภายนอกของเราต่อสถานการณ์ปัจจุบันที่เรากำลังเผชิญอยู่ว่าเรากำลังปล่อยพลังงานด้านลบออกไปอยู่หรือเปล่า ถ้าคำตอบคือใช่ เราจะต้องหยุดการกระทำนั้นทันทีและหันมาทำความเข้าใจกับสถานการณ์และบุคคลตรงหน้าเราอีกครั้งว่าอะไรคือสาเหตุที่แท้จริงกันแน่ที่ทำให้เราปล่อยพลังงานด้านลบเหล่านั้นออกไป  เราสามารถเลือกที่จะปล่อยพลังงานด้านบวกออกมาในสถานการณ์เดียวกันได้หรือไม่ ถ้าคำตอบคือได้ ทำไมเราจึงเลือกที่จะปล่อยพลังงานด้านลบออกมาหละ? นั่นก็เป็นเพราะว่าเรามีคำถามที่ต้องการคำตอบเกี่ยวกับพลังงานด้านลบเหล่านั้นอยู่ในความคิดของเรา เราจึงแสดงมันออกไปเพื่อส่งสัญญาณให้เราหยุดคิดและทำความเข้าใจกับพลังงานด้านลบที่เราแสดงออกไปอีกครั้ง เนื่องจากในเวลาที่เรารับเอาพลังงานด้านลบเหล่านั้นเข้ามาในความรู้สึกนึกคิดเรามีแต่ความไว้วางใจและเชื่อใจอยู่เต็มเปี่ยม จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เราจะยอมเปิดใจอย่างหมดใจและยอมรับว่าเราคือผู้ที่ทำให้พลังงานด้านลบเหล่านั้นมีตัวตนอยู่ได้ ไม่ใช่เพราะผู้อื่นอย่างที่เราพยายามโทษให้เป็นความผิดเพราะการยอมรับเท่ากับว่าเราจะต้องเอาตัวเองออกจากขอบเขตของความสุขสบายของเราเองเพื่อเปลี่ยนทั้งความคิดและการกระทำของเราเองเพื่อคืนความเป็นเอกภาพให้กับจิตของเรา

การยอมรับไม่ได้หมายความว่าให้เรายอมรับว่ามีคนถูกหรือคนผิด เราไม่โทษตัวเองและไม่โทษผู้อื่น แต่เรายอมรับว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนโลกนี้คือส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ทำความเข้าใจและเติบโต ทำให้เราได้เรียนรู้และเข้าใจถึงความมีอยู่และดับสูญภายในตัวของเราเอง การมีอยู่ของสิ่งหนึ่งคือการไม่มีอยู่ของอีกสิ่งหนึ่ง และ การเกิดขึ้นของสิ่งหนึ่งคือการดับสูญของอีกสิ่งหนึ่ง ไม่มีอะไรได้มาโดยไม่สูญเสียไป ดังนั้นการที่เราปฎิเสธไม่ยอมเรียนรู้ก็เท่ากับเราปฏิเสธการเติบโตทางจิตวิญญาณของเราเองและปฏิเสธการใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าและมีความหมายของเราเอง สุดท้ายคือปฏิเสธความเป็นมนุษย์ที่เป็นสัตว์ประเสริฐที่สุดบนโลกใบนี้.

โลกภายนอกช่วยเพิ่มสีสันให้กับการมีชีวิตบนโลกใบนี้ แต่โลกภายในช่วยทำให้เราพบความสุขที่แท้จริงได้และยังช่วยทำให้มุมมองการใช้ชีวิตของเราสวยงามและน่าอยู่มากขึ้น เราไม่ได้เกิดมาบนโลกใบนี้เพื่อใช้ชีวิตอยู่บนความทุกข์และความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนของเราเอง แต่เราเกิดมาเพื่อเรียนรู้และเติบโตอย่างมีความสุขทั้งภายในและภายนอก เราสามารถเลือกรูปแบบการใช้ชีวิตของเราได้เพียงแค่เราหันมาแสดงความรับผิดชอบต่อความคิดคำพูดและการกระทำของตัวเราเอง ถ้าเรามีความรักให้ตัวเองมากพอเราจะเห็นว่าผู้ที่ปล่อยพลังงานด้านลบต่างๆเหล่านั้นออกมาคือผู้ที่น่าสงสารที่ยังไม่สามารถทำความเข้าใจกับโลกภายในและโลกภายนอกของตัวเองได้และต้องทนทุกข์อยู่กับความคิดและความรู้สึกเหล่านั้นของตัวเองโดยที่ยังหาทางออกให้กับตัวเองไม่ได้และที่สำคัญคือเราไม่สามารถช่วยใครได้ ถ้าคนคนนั้นยังปฎิเสธที่จะเรียนรู้และทำความเข้าใจกับความคิดและความเข้าใจทีคลาดเคลื่อนของตัวเองอยู่ เมื่อไหร่ที่เราสามารถคืนความเป็นเอกภาพให้กับโลกภายในของเราได้ เราจะเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นและเป็นไปในโลกภายนอกของเราถูกทำให้เปลี่ยนไปด้วยโดยอัตโนมัติ ดังนั้นอย่าพยายามเปลี่ยนโลกภายนอกโดยละเลยกับโลกภายในของเราเองเพราะเราไม่สามารถเปลี่ยนโลกภายนอกของเราได้ตราบใดที่เรายังไม่สามารถคืนความเป็นเอกภาพให้กับโลกภายในของเราได้ เริ่มต้นด้วยการให้ความรักและเคารพกับตัวเอง ความรักกับความทุกข์ไม่ใช่ของที่มาคู่กัน แต่ความรักกับความทุกข์คือสิ่งที่เป็นเหตุเป็นผลของการมีอยู่และดับสูญของกันและกัน ดังนั้นเราสามารถเลือกได้ว่าเราจะใช้ชีวิตของเราด้วยการให้ความรักเป็นผู้นำทางหรือความทุกข์เป็นผู้นำทาง เราไม่มีความจำเป็นใดใดเลยที่จะนำคำสุภาษิตที่ว่า " ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์ " มาใช้กับชีวิตของเรา เพราะไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์เราเลือกที่จะมีและเลือกที่จะเป็นได้.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่