[CR] [กลับมาเล่า Ep.1] ไปเกาหลีครั้งแรกของชีวิต ใครจะคิดว่าต้องติดตอมอ.

สำหรับครั้งนี้เป็นการตะลุย Korea ฉบับติดตม.เกาหลี จากประสบการณ์จริง.
เมื่อ 12 กุมภา เวลาประมาณ 9.50 ณ.ประเทศเกาหลีใต้
ดินแดนที่ขึ้นชื่อว่าตม.โหดกับคนไทยมากที่สุด
ราวกับว่าโดนหมายโหนกไว้แล้ว ถ้ามาห้าอาจจะโดนไปสามราย

เอาล่ะ...เมื่อถึงเวลา Airplanes landing เราก็เดินตามทาง ตามชาวบ้านชาวเมืองมาเรื่อยๆ ทุกอย่างก็ดูราบรื่นดีไม่มีสะดุด จนมาหยุดตรงจุดตรวจคนเข้าเมือง หากไม่ใช่คนชาติเขา ก็ต้องต่อแถวเรียงหน้าเข้าหาเคาเตอร์ตรวจคนเข้าเมืองทีละคน ทีละคน ชาติแล้วชาติเล่า ชาตินั้นก็แล้วชาตินี้ก็แล้ว ผ่านดำเนินไป จนมาถึงชาติหนังหน้าอย่างเรา ที่อาจจะมีเค้าโครงความเป็นแรงงานข้ามชาติอยู่บ้าง เข้าใจได้ ด้วยถิ่นฐานบ้านเกิดจากที่ราบสูง ในใจก็คิดว่าชีวิตควรจะเจออะไรที่มันง่าย ๆ สไตล์มนุษย์ทั่วไปเค้าบ้าง แต่...ป่าวเลย

ขอเรียกตม.ว่าท่านแล้วกัน ดูจากการการกระทำที่สูงส่ง (ประชด)
หลังจากที่ท่านตม.ให้สแกนนิ้ว ถ่ายรูป แล้วทำการพินิจพิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่ง ท่านก็เอ่ยขึ้นว่า
ตอมอ : แคน ยู สปิค อิงลิส
ตัวเรา : เยส อะ ลิตเติล บิต
ตอมอ : ฮาว ลอง สเตย์เฮีย
ตัวเรา : เซเว่นเดย์
แล้วก็อีกสองสามประโยคว่ามาคนเดียวเหรอ เราบอกป่าวมากันเฟรนอีกคน ซึ่งอยู่คนละแถว
ท่านก็ถามว่าตรงใหนให้เราก็ชี้ เราก็ชี้ ๆ ตรงนั้นๆ พร้อมบอก "นั่นไง เธอยกมืออยู่"

จากนั้น ท่านก็บอกให้เรายกกระเป๋าขึ้นให้ดู จริงอยู่ที่กระเป๋าอันถือติดตัวมาเนี้ยมันน้อยนิด แต่เรามีอีกใบที่โหลดมาใต้ท้องเครื่องไงคะราว 29 นิ้ว หนัก 18 กิโลเศษ เอามาเบิ่งมั้ย ลากมาเบิ่งทะแหม่ะ ฮ่วย. อุ่ย สำเนียงออก ขอโทษทีค่ะเท่านั้นแหละ ท่านตม.แกก็จึ๊ซี๊ดจึ๊ซี๊ด พร้อมกดสัญญาณเรียก ปี๊บบบบ เรียกใครซักคน ที่เค้าก็รอฉันอยู่ จากในผู้คนร้อยพัน กลายเป็นฉันนั่นเอง

ชายผู้หนึ่ง แต่งกายใส่สูท หัวล้านเล็กน้อยเดินเข้ามาใกล้ แล้วผายมือออกอย่างสุภาพ ให้เราเดินตามไป ตัดหน้าแถวคนรอตรวจเข้าเมืองไปจนสุดทาง ถึงหน้าประตูบานหนึ่งแล้วเปิดออก ส่งสัญญาณให้เราเข้าไปในนั้น จัดแจงส่งต่อหนังสือเดินทางของเราใส่ในกล่องรอเรียกคิว
พอถึงคิว หญิงสาวผู้หนึ่งเรียกไปที่เคาเตอร์ สแกนนิ้วอีก ถ่ายรูปอีก สอบถามข้อความเดิม ทำซ้ำเพื่อ พร้อมยื่นกระดาษข้อสอบขนาดเอสี่ให้เรา แต่อย่าตกใจไป เพราะข้อความข้างในแต่ละข้อคำถาม เขียนไว้เป็นภาษาไทย ถามยิบ ๆ ชื่อเสียงเรียงนาม ประวัติส่วนตัว สถานที่ที่จะมาเที่ยว และอื่นๆ อีกมากมาย ตรงนี้เสียดายมากที่ไม่ได้เก็บภาพมา ลำพังสติก็แทบไม่อยู่กับตัวแล้ว

จากนั้นหญิงสาวผู้นั้น ท่านก็พาเราไปส่งยังห้องอีกห้องหนึ่ง ฉุกคิดขึ้นมาทันทีในใจว่า นี่สินะ ที่เค้าเล่าขานกันว่ามันคือ ห้องเย็น แต่เราขอแก้ คือในนั้นไม่เย็นเลย ห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดไม่กว้างมากนัก แต่มีผู้คนรวมอยู่ในนั้น ร่วม 30 ชีวิต

หลังจากหาที่นั่งให้ตัวเองได้ ก็บรรจงกรอกเอกสารที่ได้รับมา
ข้อที่หนึ่ง ผ่านไป ข้อที่สอง ผ่านไป ข้อสามค่อยๆผ่านไป หลงผิดคิดภาคภูมิใจมาจนถึงวันนี้ จนข้อเกือบสุดท้าย คำถามคือ สถานที่ท่องเที่ยวที่จะไป อยากตอบเหลือเกินว่า "เราแค่อยากมาเที่ยวกับป้าย ถ่ายรูปกับรถเมล์ เดินเปย์ไปตามร้านข้างทาง แค่นั้นเอง พอครบเจ็ดวันแล้วก็จะกลับ" แต่ทำไมมมมมมม ทำไมต้องกักขังเราไว้ ไม่เข้าใจ เวลาผ่านล่วงเลยไป คนแล้วคนเล่าที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันออกไป เพราะถึงคิวเรียกไปสอบถาม เหตุการณ์ยิ่งบีบคั้นขึ้นทุกทีเพราะหลายคนที่เดินกลับเข้ามา พร้อมกับสีหน้าถอดใจ ไร้ทางไปต่อ อยากจะบอกพ่อให้มารับ และก็ยังกลับไม่ได้ กลั้นใจนั่งรอต่อไปพอเวลาล่วงเลยไป มีพนง. เข็นกระเป๋า จำนวนหนึ่งขึ้นมาคืนคนที่อยู่ในห้อง เพื่อจะส่งกลับบ้าน ตอนนั้นพูดได้เลยว่า น้ำตารึ้นขึ้นมาจนแทบกลั้นไม่อยู่ หดหู่มาก ทำได้แค่รูดหน้าจอโทรศัพท์ที่ไม่มีแม้แต่สัญญาณ Wi-fi ไม่มี 4G จากแดนสยาม พยายามรวบรวมรูปคนที่มาด้วยกัน เผื่อว่าเค้าเรียกดูความสัมพันธ์ที่มีด้วยกันมายาวนาน ไม่ได้พึ่งมารู้จักมักจี่กันแต่อย่างใด

ผ่านไปจนเกือบครึ่งชั่วโมง ได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเอง ที่แทบจะฟังไม่ออกเลยว่าเป็นชื่อตัวเอง แต่ก็ยิ้มสู้ ผึ่งหูเอาไว้ อีกอึดใจต้องรอด พอออกมาจากห้องเย็น จะมีโต๊ะทำงานที่เป็นเหมือนออฟฟิศมีสองฝั่งหันหน้าชนกันแถวยาวประมาณหนึ่ง ตม.อีกคน ทรงดูสูงยาวเข่าดี หน้าตาอาจจะดีแต่ไม่ทันได้จำ เรียกให้เราไปนั่งอีกฝั่ง ตรงข้ามกันกับโต๊ะของเขา แล้วบอกให้เรายกหูโทรศัพท์ ภาพตอนนั้นชัดมาก เหมือนเวลาเราดูหนังฆาตรกรรม แล้วมีฉากเข้าเรือนจำเยี่ยมนักโทษ ต้องสนทนากันผ่านโทรศัพท์ที่ติดอยู่ข้างฝา เผื่อสนทนากันคนอีกฝั่งแดน แบบนั้นเลยยยย

พอยกหูขึ้นมาแนบ ก็ได้ยินเสียงคนในสาย พูดเป็นภาษาไทย สนทนาสอบถามกับเรา แล้วเขาก็จะไปแปลให้ตม.ฟัง ประหนึ่งว่าประชุมสาย ทรานสะเหลดอินทูโคเรียแนวนั้น สอบถามอยู่ครู่นึ่ง ตม.ถามว่ามากับใคร แน่นอนเรามากันสองคน อีกคนผ่านด่านคนตรวจเมืองไปเรียบร้อย
จากนั้นเราก็ตอบอย่างมั่นใจในสิ่งที่ตม.ถาม ไม่ว่าจะเป็นชื่อ อาชีพ ระยะเวลาที่รู้จักกัน
และบลาๆๆๆ ทันใดนั้น ตม.บอกว่า งั้นรอสักครู่ เขาจะออกไปดู ว่าบุคคลที่เรากล่าวถึงอยู่ด้านหน้าห้องมั้ย
พอตม.ลุกไป เราก็แอบคุยกับคนในสายว่า
เรา : พี่คะ เรามาเที่ยวจริงๆ ไม่ได้มีเจตนาอื่นเลย
คนในสายตอบกลับมาว่า : ต้องรอดูทางตม.ไปตรวจสอบว่าเพื่อนยังรออยู่จริงมั้ย
คิดในใจ เอ่า...ก็หลงคิดมาตั้งนานนึกว่าเป็นคนไทย ที่ใหนได้ น่าจะเป็นคนเกาหลีที่ฟังไทยออกพูดไทยได้งี้ โอ๊ยยย โดดในเดี่ยว เหี่ยวหนักกว่าเดิมเม่าฝนตก

สักพักพัก ตม.เดินกลับมาที่โต๊ะ พร้อมกับยื่นหนังสือเดินทางอีกคนให้ดู ถามว่าคนนี้ใช่มั้ย เรานี่พยักหัว จนหัวแทบจะหัก แบบสติ๊กเกอร์ Trash Doves นั่นเลยทีเดียว แล้วพี่ท่านก็ถามทิ้งท้ายอีกนิดหน่อย พร้อมกับบอกให้เรากลับให้ตรงตามเวลาที่จองตั๋วบินกลับไว้ด้วยนะ คิดในใจ ถ้าเปลี่ยนไฟล์ทแล้วอยู่ต่อได้ เราทำไปแล้ว โอ้ยยยยยใจแทบหยุดเต้น จากนั้นเลยเดินกลับไปเอากระเป๋าที่เอาติดตัวมาอยู่ในห้องเย็น ภาวะนั้นไม่กล้าเงยหน้ามองใคร เพราะกลัวน้ำตามันไหลออกมา พอรวบรวมสติได้ เดินกลับไปหา ตม.เพื่อให้เขาพาเราออกไปส่ง......

และแล้ว ประตูบานสุดท้ายก็เปิดออก บอกได้คำเดียวว่าน้ำตาที่กลั้นไว้ คือไหลออกมาหมด ยิ่งเห็นหน้าคนตรงหน้าที่ยืนรออยู่ นาทีนั้นไม่ทันได้ดูเลยด้วยซ้ำ ว่าเขาประทับตราผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองให้รึป่าว รู้แต่ว่าเรารอดแล้ว กอดกันน้ำตาไหล ขี้มูกย้อยอยู่พักใหญ่ เพราะในใจทั้งคู่คิดแต่เรื่องไม่ดีไปหมด ทั้งแบบ จะต้องตีตั๋วกลับเลยมั้ย หรือ เอากล้องให้ไปเที่ยวคนเดียวได้มั้ย หรือ ถ้าเราไม่ได้ออกไปจะได้กลับวันใหน คำถามตีขึ้นมาเต็มไปหมด รู้ตัวอีกทีก็เริ่มสังเกตุได้ว่าคนที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างพากันชี้ชม ก็คงทั้งขำ ทั้งสงสาร คือ งานการเรามีทำ เงินที่เตรียมมาค่าตั๋วก็เรียกได้ว่าหนักหนาอยู่ อยากบอกให้เขารู้ว่าตรูเอาเงินมาให้นะเนี่ยยยยยยย
แต่อีกมุมนึง เราว่าจริงๆแล้วตม.ก็ไม่ผิดหรอก ด้วยเพศสภาพของเราที่มันขัดแย้งกับคำนำหน้า ด้วยหน้าตาที่ดูยากจนข้นแค้นซะเหลือหลาย แล้วยิ่งบวกกับขาลงตอนที่มาถึงคือพึ่งตื่น สภาพยังไม่พร้อมทำมาหากิน เป็นเราเราก็คงไม่ให้ผ่าน ยืนยันได้ว่า ทฤษฎีการคือกล้องเข้าด่านตม. คือใช้ไม่ได้ เอกสารที่เตรียมมาคือไม่ได้หยิบเลย ใจล้วนๆ พอๆ กับการคัดเลือกคนของตม.นั่นแหละ ดวงล้วนๆ ยากกว่าการสอบใบขับขี่ก็ตม.เกาหลีเนี่ยแหละ เพราะใบขับขี่เรายังรู้ได้ว่าเราสอบตกท่าใหน พลาดตรงใหนแล้วมาสอบใหม่ แต่อันนี้คือหน้าตาไม่โดนใจ พี่แกให้เข้าเขตกักกันเลย สิ่งที่เตรียมมาแล้วได้ใช้ คือ มีแค่ความจริงกับช่วงจังหวะเท่านั้น
เพราะยังมีอีกช่วงจังหวะนึงตอนที่ ตม.ออกมาหาคนที่มากับเรานั่นเอง ตม.ก็ออกไปเรียกชื่อ เรียกอยู่หลายครั้ง ด้วยความที่เค้าพึ่งลงไปเอากระเป๋าออกมาจากสายพาน แล้วรีบขึ้นมาหาเรา เพราะไม่รู้จะไปใหน เพราะมาด้วยกันสองคน ช่วงจังหวะที่ออกจากลิฟท์มาพอดี ประจวบกับการเรียกชื่อเป็นรอบที่สาม และกำลังจะหยุดเรียกแล้วหันหลังกลับ โชคดีที่เค้าเดินเข้ามาหาตม.พอดี พร้อมกับตอบคำถามต่างๆ ตรงตามที่เราได้บอกตม.ไปก่อนหน้านั้น ตม.จึงนำหนังสือเดินทางเค้า มาให้เราตรวจสอบนั่นแหละ คือถ้าพลาดไปเพียงนิดเดียว เราอาจติดอยู่ในนั้นจริงๆ แล้วเรื่องราวที่มาเล่าอาจจะเปลี่ยนแปลงไป ไม่ใช่แบบที่กำลังเล่าอยู่นี้ก็ได้

ในที่สุดแล้ว...ความสนุกพึ่งจะเริ่มต้น
มาเถอะสหาย ลองออกมาเดินทางกัน
แม้ว่าทุกๆวันอาจจะไม่ใช่วันที่ดี แต่มันก็ยังต้องมีซักวันที่เป็นของเรา

กลับมามีแต่คนถามว่าไปเที่ยวนี่ไปที่ใหน เราบอกได้คำเดียวว่า เราไปแต่ป้าย ไม่ว่าจะเป็น


ป้ายที่ซับเวย์ ผ่ามมม


ป้ายรถเมล์ ผ่ามผ่ามมม


ป้ายหน้าร้าน ผ่ามผ่ามผ่ามมม


และป้ายหน้าตึก 555555555


แต่เราชอบสถาปัตยกรรมการก่อสร้างอาคารบ้านเรือนที่นั่นมาก
ไว้คราวหน้าจะเอามาเล่าใหม่นะ
ชื่อสินค้า:   ต.ม. เกาหลี (ด่านตรวจคนเข้าเมืองเกาหลี)
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่