คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 43
" ผมไม่ใช่คนอยุธยา " หรือไพร่ในสมัยอยุธยา
บ้านผมเป็นเจ๊กโล้สำเภามากลางรัตนโกสินทร์ ฉะนั้นจะขอกล่าวแบบ "ตรงไป ตรงมา" นะครับ รำคาญคอมเม้นทำ "พราวด์" ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับคนสมัยนั้น
อยุธยาเจริญในด้านเศรษฐกิจกว่าครับ อีกทั้งมีวัฒนธรรมในแบบ "เมืองท่า" ทำให้เปิดรับกับวัฒนธรรมอื่นมากกว่า เห็นได้จากการมีตำแหน่งขุนนางต่างชาติมากมาย เช่น ญี่ปุ่น แขก จีน ฝรั่งเศส(วิไชยเยนทร์) ในราชสำนัก ในช่วงที่อยุธยาเฟื่องฟูดานการค้าที่สุดในสมัยพระนารายณ์ (แต่ศาสนาอาจไม่เปิดรับมากนัก -แต่ยังไงเกาหลีโชซอน ญี่ปุ่น จีน จะต่อต้านหนักกว่า เช่น อยุธยามีกฎหมาย ห้ามยุ่งกับพวก "มิจฉาทิฐิ" ในตรา 3 ดวง แต่สำหรับดินแดนสายขงจื๊อเช่น จีน เกาหลี ญี่ปุ่น - ฆ่าทิ้งครับ)
ด้วยการที่เป็นเมืองท่า ศาสนาจึงมีแนวผสมผสานและเปิดรับมากขึ้น(จริง ๆ รัฐแถวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมดเลยครับ) เช่น อยุธยา มีความเชื่อ "พุทธ พราหมณ์ ผี" (รัฐอิสลามอย่าง "มลายู" เอง ก็ยังถือ ผี+อิสลาม) ลองอ่าน อยุธยายอยศ ยิ่งฟ้า - สุจิตต์ วงเทศ หรือ นบีไม่กินหมาก- อนุสรณ์ อุณโน หรือข้ามไปอ่านหลักฐานชั้นต้นอย่าง จดหมายเหตุ ลาลูแบร์ ของสำนักพิมพ์ศรีปัญญาเลยก็ได้ครับ
ในด้านชาติพันธุ์ อยุธยาจึงความหลากหลายทางสังคมมากกว่า มีทั้งพม่า มอญ ลาว เขมร มลายู ญวน สเปน อังกฤษ ญี่ปุ่น จีน แขกตาตาร์(มองโลก) แขกโมกุล(มองโลก+อินเดีย) และอีกมากมายมหาศาลยั้วเยี้ยเต็มตลาด ท้องถนนไปหมด เพราะความร่ำรวยของป่าและการผูกขาดการค้าของราชสำนัก อีกทั้งมีกองทหารรับจ้างชางต่างชาติออกรบด้วย(กษัตริย์อยุธยาไม่ไว้ใจชาวสยามด้วยกันครับ เพราะ มีส่วนได้ส่วนเสียในอำนาจมากกว่าพวกต่างชาติที่รับเงินอย่างเดียว) แถมยังมีโอกาสเอาอาวุธยุทโธปกรณ์จากกลุ่มรัฐที่มีแสงยานุภาพมากอย่างยุโรป ทั้งเสื้อเกราะ(มีการถวายเกราะกำมะหยี่แดงให้ราชสำนักพระนารายณ์) ราชสำนักซื้อปืนไฟ ปืนใหญ่ เรือรบ ทหารฝึกอย่างยุโรป(หน่วยพลแม่นปืนอย่างฝรั่ง) จนมีคนต่างชาติได้ดิบได้ดีเป็นเจ้าเมืองบางกอก อย่าง นายพลเดอฟาสท์(จนโดนพระเพทราชาถีบออกไป) และ ออกญาเสนาภิมุข ยามาดะ นางามาสะ โรนินที่ได้เป็นเจ้าครองนครศรีธรรมราช(โดนพระเจ้าปราสาททองลอบสังหาร) แขกเปอเซียร์ตระกูลบุนนาค คุมกรมท่าขวาหลวงโชดึกราชเศรษฐี (จีน) กรมท่ากลาง ค้าขาย กรมท่าซ้ายจะเป็นของพวกฝรั่งครับ (ทุกวันนี้ คำศัพท์แต่ละคำมาจาก เขมรบ้าง เปอเซียร์บ้าง จีนบ้าง บาลี-สันกฤต ฝรั่ง ฯลฯ จนงงว่าอันไหนมาจากไหนกันแน่? )
การเมืองในอยุธยาจึงเปิดกว้าง พื้นที่ทำสงครามในการแผ่ขยายอำนาจภายนอกช่วยลดความวุ่นวายทางการเมืองภายใน(ได้บ้าง)มากกว่าครับ ถึงแม้อยุธยาจะมีค่าเฉลี่ยการชิงอำนาจของราชวงศ์เกือบทุกทศวรรษ แต่ดินแดนที่ราบลุ่มและศูนย์อำนาจที่ขยายง่าย ช่วยถ่ายเทความตึงเครียดออกจากราชสำนัก ขุนนางที่เลื่อนชั้นยศจากสงครามมากกว่าตีกันเอง ตามภูมิรัฐศาสตร์ครับ ยังไม่นับการมีอำนาจอธิปไตยเหนือตนเองในระบบอำนาจแบบรัฐ"แสงเทียน" (Mandala) ซึ่งอนุญาตให้เมืองประเทศราชมีอธิปไตยในตนเองสูงครับ(ส่งแค่บรรณาการต้นไม้เงิน ต้นไม้ทอง ส่งกองทัพช่วยบ้าง ที่เหลือก็บริหารปกติ)
ที่นี้มาดู "โชซอน" กันบ้าง หนังสือประวัติศาสตร์เกาหลีในไทยมีไม่มากครับ ส่วนมากเป็นประวัติศาสตร์แบบ Timeline ไม่ค่อยวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมืองเท่าไหร่นัก ซึ่งต้องรอดูกันต่อไปครับ
"โชซอน" ดินแดนแห่งขงจื๊อ แค่ชื่อก็บอกแล้วว่า ไม่ได้มีอธิปไตยมาแต่แรก เพราะ ราชสำนักหมิง(จีน) เป็นผู้ตั้งให้แปลว่า "ดินแดนแห่งยามรุ่งอรุณ" (Joseon)
อาณาจักรโชซอนค่อนข้างเป็นระบบปิดครับ ถึงแม้วิทยาการความก้าวอาจมองว่า เหนือกว่ารัฐอยุธยาในด้านระบบขุนนาง และความเป็นปึกแผ่น(อยุธยา ไม่ใช่ "ชาติ" ไทย นะครับ ยังเป็นระบบแคว้นที่มีการสวามิภักดิ์ต่อกันในระดับหนึ่ง ) มากกว่า หมายความว่า ระบบรัฐของโชซอน ไม่มีระบบเมืองขึ้นแล้ว(แบบอยุธยา ที่เจ้าเมืองบางเมืองเช่น สงขลา ปตานี หรือเมืองอื่น ๆ ที่มีข้าราชการไปปกครอง หรืออราชวงศ์ผู้นำท้องถิ่นอยู่ ยังประกาศสถาปนาความเป็นอิสระได้ แบบรัฐประเทศราช เช่น รัฐกาญจนบุรี สุพรรณบุรี ราชบุรี ตอนกรุงอยุธยาใกล้แตกครั้งที่ 2 พวกนี้ประกาศเข้ากับอังวะ แล้วยกทัพมาตีอยุธยาครับ ) การตัดสินใจภายในทุกแว่นแคว้น มณฑลเกาหลีจึงตกอยู่ภายใต้คำสั่งของกษัตริย์โชซอน ทั้งในด้านกฎหมาย อำนาจปกครอง และอำนาจอธิปไตย บริหารด้วยระบบราชการอีกต่อหนึ่ง
ปัญหาของโชซอนมีอยู่ไม่มากครับ(แต่หนักช...หาย) คือ ดินแดนของตนเองดันไปตั้งอยู่ตรง "สามเหลี่ยมอำนาจ"
(จริง ๆ สมัยนั้นน่าจะ 4 ด้วยซ้ำ) คือ จีนราชวงศ์หมิง (พี่ใหญ่) แมนจู(ตอนนั้นโหด) และ ญี่ปุ่น (จริง ๆ อาจจะรวมมองโกลด้วยในช่วงราชวงศ์หยวน) นั่นทำให้ภูมิรัฐศาสตร์ของโชซอนมีปัญหาครับ คือ
1. ขยายอำนาจไปไหนไม่ได้ เพราะความที่เป็นรัฐขนาดเล็ก(ในแถบนั้น) และอ่อนแอที่สุด(เพราะมีพีใหญ่คุ้มกันเสมอ)= อำนาจหันไปกระจุกตัวที่ราชสำนัก = ขุนนางต้องแย่งชิงอำนาจกันเอง ถึงจะได้ตำแหน่งสูง = ราชวงศ์โชซอนถึงแม้จะไม่มีการเปลี่ยนราชวงศ์ใหม่แบบราชสำนักอยุธยา (ก็อยุธยาเค้า เชื้อสายเยอะซะขนาดนั้น ทั้งจาก อู่ทอง สุพรรณบุรี ละโว้เขมร ฯลฯ แต่งข้ามกันไปกันมา) แถมมีพี่จีนคอย "แต่งตั้ง" และควบคุมอำนาจอยู่เหนือหัว ทำให้การแย่งชิงดีในราชสำนักเข้มข้นขึ้นครับ ราชวงศ์โชซอนจึงเต็มไปด้วยปัญหาด้าน "สายตระกูล" ขุนนาง แทนที่จะเป็นปัญหาด้านราชวงศ์ (เช่น ตระกูล คิมดันดง ฝ่ายตะวันตก ตะวันออก โนรน โซรน ฯลฯ)
สังเกตจากซีรี่ย์ โชซอนแทบไม่มีปัญหาอะไรเลยนอกจาก "ตีกันเอง" กับขุนนาง พระสนม มเหสี วุ่นวายกันอยู่ในวัง เท่านั้นเองครับ
แต่ระบบที่ดี(ตามแบบจีน) ก็แพร่กระจายการศึกษาและวิทยาการ(จีน) ได้ดีกว่าระบบศักดินาของรัฐอยุธยา สังเกตได้อีกว่า ไม่ว่าหนังจีนหรือเกาหลี จะปรากฏขุนนางที่มีความสามารถออกมามากกว่าครับ เพราะขุนนางในรัฐแบบจีน จะมีทั้ง "บุ๋น" และ "บู๊" ในขณะที่อยุธยา คือ ขุนนาง จะมีหน้าที่เดียวกับนักรบ ไปในตัวครับ อีกทั้งโชซอน(และจีน) ยังมีการตั้งโรงเรียนตามท้องถิ่นได้ มีการสอบข้าราชการ(จอหงวน) ซึ่งอยุธยามักจะเน้นที่ความดีความชอบจากสงครามและ"การฝากตัว" มากกว่าครับ ในขณะที่ตำรับตำราก็เป็นเพียงการสอนต่อทอดจากขุนนางที่ปลดเกษียณและมาบวชละทางโลกในวัดเท่านั้น (แต่ก็อย่าลืม ซี่รี่ย์ ก็คือ ซี่รี่ย์ ครับ มันRomantic มากกว่าภาพจริง ๆ มาก)
2. แฟชั่น เนื่องจากรัฐโชซอนตั้งอยู่ปลายสุดติ่งเขตแผ่นดินเหลียวตง และพื้นที่เต็มไปด้วยภูเขา ทำให้คนกลุ่มนี้อยู่ในสภาวะ "ครึ่ง ๆ กลาง ๆ " ครับ ในที่นี้หมายว่า ตนเองรับแฟชั่นจากจีนเต็ม ๆ เพราะแทบจะติดต่ออะไรกับรัฐอื่น ๆ ไม่ได้เลย ยิ่งลดความหลากหลายทางวัฒนธรรมลงไปอีก ซึ่งต่างจากรัฐประเภท "เมืองท่า" ที่รับเกือบทุกสิ่งเช่นอยุธยา (สังเกตจากซีรี่ว่า ของดีอะไรในหนัง เขาก็จะอวดว่า "มาจากจีนเชียวนะเธออออ" ) ชุดราชสำนักของโชซอนจึงแทบลอกเอามาจากราชวงศ์หมิงทั้งหมดเลยครับ (มีราชวงศ์หยวนบ้าง - ถ้าเป็นชุดของชาวบ้าน เช่นหมวกคลุมหัวของผู้หญิง) ผมไม่ได้ว่าไม่ดีนะฮะ เพราะหมิงคือตัวแม่แฟชั่นสำหรับรัฐตะวันออกครับ มันคือวิธีคิดในเวลานั้น (อยุธยาก็มีครับ แต่มีให้เลือกชอบทั้งตะวันตก(พระมาลาเส้าสูง) ญี่ปุ่น(ขุนนางอยุธยาชอบดาบญี่ปุ่นมากครับ) กริช(ขุนนางมักจะเหน็บกริชมลายู เหมือนรูปวาดในหนังสือของราชทูตลาลูแบร์ ฝรั่งเศส จีน(ขุนนางบางคนก็ชอบสวมเสื้อคอจีน แต่มาฮิตมากในสมัยกรุงเทพแล้ว) ซึ่งหลากหลายกว่ามากครับ
3. สงคราม การที่โชซอนตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ของมหาอำนาจถึง 3-4 ฝ่าย คือ ขึ้นเหนือ - แมนจู ออกทะเล - ญี่ปุ่น ลงไปทางใต้ -จีน ทำให้ที่นี่เป็นทั้ง "แหล่งเสบียง" เอาไว้ "ปล้น" อย่างดีของกองทัพแมจูทางเหนือ และเป็น "เส้นทางอย่างดี" สำหรับญี่ปุ่นที่จะรุกเข้าจีนและใช้โชซอนเป็นฐานทัพ ในขณะที่โชซอนมีเพียงระบบ "ทหารเกณฑ์" หรือจ่ายภาษีผ้าแทนการฝึกทหารในการปกป้องอาณาจักรเท่านั้น(ถึงแม้จะมีการสอบขุนนางฝ่ายบู๋ แต่การที่สงครามกระจุกตัวถาวรและว่างเว้นเป็นระยะเวบานาน ๆ ทำให้กล่ยเป็นการคอรัปชั่นแทนความสามารถ) ยังไม่ความด้อยของอาวุธซึ่งจะอธิบายในข้อต่อไป
กองกำลังโชซอนจึงมี "ศึกที่ปราบไม่ได้" ถึง 2 ทาง คือ แมนจู ที่โชซอนมีกองกำลังประจำการบางส่วนเท่านั้น ป้องกันไว้ทางเหนือ โชซอนไม่เคยยกทัพเข้าไปยึดอะไรในแมนจูเลย (แม้จะเกิดสงครามแมนจู ถึง 2 ครั้ง - ดู War of the arrow ก็ได้ครับ) ส่วนญี่ปุ่น เกิดสงคราม Imjin 2 ครั้ง ในช่วง 1692-1698 (ดูเรื่อง Roaring current) กองทัพโชซอนถูกตีแตกพ่ายด้วยแสงยานุภาพกองทัพญี่ปุ่นโดยสามารถยึดเมืองฮันซอง(โซล) ได้ในเวลาเพียง 2 อาทิตย์ (อยุธยายังโดนล้อมถึง 12 เดือนนะครับ ตอนจะแตก) ด้วยระบบทหารเกณฑ์ที่อ่อนแอและมีจำนวนน้อย(ใช้ระบบเกณฑ์ทหารแบบอยุธยา แต่รอบข้างโชซอนดันมีแต่รัฐที่มีวัฒนธรรมทหารสูง อย่างซามูไร หรือทหารขี่ม้าธนูล่าสัตว์ที่เป็นชีวิตประจำวัน ต่างกับทหารราบโชซอน รวมถึงจีน ที่เมื่อเสร็จสงครามก็กลับไปทำนาตามปกติ) กับแสงยานุภาพอาวุธที่มีเพียงจากจีนอย่างเดียวเท่านั้น ในขณะที่ปืนไฟ Tanegashims เป็นที่นิยมทั้งในอยุธยาและญี่ปุ่นแล้ว กองทัพเกาหลีมีปืนไฟแบบสมัยใหม่แค่ 120 กระบอกเท่านั้นในประวัติการรบของกองทัพ(ดูรายละเอียดในสงครามImjin ตอน Seige of Jinju) ไม่มีการค้าขายอาวุธ(และวิทยาการอื่นๆ)กับต่างชาติอย่างยุโรปนอกจากของที่ผ่านจีนมาแล้วเท่านั้น ประกอบกับปืนใหญ่จีน กับปืน Handgunner รุ่นเก่ากึกจากจีนครับ นั่นหมายความว่า นอกจากกองทัพเรือแล้ว ก็ไม่มีอะไรดีอีกเลย กองทหารม้ามีปัญหาในการฝึกภูมิประเทศแบบภูเขา (ทั้งที่ปูมหลังของชนเผ่าในแถบเกาหลี คือ กลุ่มคนบนหลังม้า ใช้ภาษาตระกูลTurkik ตะวันออกกลางนะครับ)
เมื่อถึงศตวรรษที่ 19 เมื่อจีนอ่อนแอถึงจัดสุดในสงครามฝิ่น โชซอนจึงกลายเป็นลูกน้องที่พลอยย่ำแย่ตามลูกพี่ไปด้วย เนื่องจากความล้าสมัยทางเทคโนโลยี (เราก็ล้าครับ แต่ล้าทั้งภูมิภาค) ในขณะที่ญี่ปุ่นกลายเป็นมหาอำนาจในเอเชียจากการปฏิรูปเมจิแย่างรวดเร็ว โชซอนกล่ยเป็นที่ขนาดนามว่า " Hermit Kingdom " หรือ อาณาจักรฤาษีเพราะความที่มีแต่ขุนนางสายอนุรักษ์นิยมในราชสำนักมาเกือบจะตลอด ที่ปวรณาระบบขงจื๊อแบบสุดโต่ง และพ่ายแพ้ให้กับการบุกยึดของญี่ปุ่นและทำให้ราชวงศ์ต้องล่มสลาย เกาหลีกลายเป็นอาณานิคมตั้งแต่ 1910-1945 (กลายเป็นหนังเรื่อง The Age of Shadows) ครับ
ผมว่าเท่านี้นะจะพอเปรียบให้เห็นภาพได้ชัดเจนแล้วนะครับ ว่าในทางภูมิรัฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์
ปล. ไม่ชอบคนที่ชอบอ้างว่า "เกาหลีไม่มีประวัติศาสตร์" ครับ เค้าไม่ใช่อยู่ ๆ จะผุดออกมาจากกอไม้ไผ่นะครับ เสลาฟังใครพูดก็กรุณาหาเหตุผล กลั่นกรองด้วย จริงอยู่ที่มีการเขียนแต่งเติมประวัติศาสตร์เกาหลีให้ดูยิ่งใหญ่ (ยังกับเราไม่เคยเขียนยังงั้นแหละ...) การเขียนประวัติศาสตร์เราก็มีปัญหาครับ ตัวอย่างก็เห็น ๆ กันอยู่ ไม่เข้าใจมิติว่า อยุธยา ไม่เท่ากับ ไทย โอ้อวด แพรวพราวด์เหมือนตัวเองเป็นคนสมัยนั้น พระราชพงศาวดารก็โดน"ชำระ"แต่งเติมกันก็หลายฉบับ แนะนำให้หา หนังสือ "วิชาการ" หรือหลักฐานชั้นต้นอ่านจะดีกว่าครับ
บ้านผมเป็นเจ๊กโล้สำเภามากลางรัตนโกสินทร์ ฉะนั้นจะขอกล่าวแบบ "ตรงไป ตรงมา" นะครับ รำคาญคอมเม้นทำ "พราวด์" ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับคนสมัยนั้น
อยุธยาเจริญในด้านเศรษฐกิจกว่าครับ อีกทั้งมีวัฒนธรรมในแบบ "เมืองท่า" ทำให้เปิดรับกับวัฒนธรรมอื่นมากกว่า เห็นได้จากการมีตำแหน่งขุนนางต่างชาติมากมาย เช่น ญี่ปุ่น แขก จีน ฝรั่งเศส(วิไชยเยนทร์) ในราชสำนัก ในช่วงที่อยุธยาเฟื่องฟูดานการค้าที่สุดในสมัยพระนารายณ์ (แต่ศาสนาอาจไม่เปิดรับมากนัก -แต่ยังไงเกาหลีโชซอน ญี่ปุ่น จีน จะต่อต้านหนักกว่า เช่น อยุธยามีกฎหมาย ห้ามยุ่งกับพวก "มิจฉาทิฐิ" ในตรา 3 ดวง แต่สำหรับดินแดนสายขงจื๊อเช่น จีน เกาหลี ญี่ปุ่น - ฆ่าทิ้งครับ)
ด้วยการที่เป็นเมืองท่า ศาสนาจึงมีแนวผสมผสานและเปิดรับมากขึ้น(จริง ๆ รัฐแถวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมดเลยครับ) เช่น อยุธยา มีความเชื่อ "พุทธ พราหมณ์ ผี" (รัฐอิสลามอย่าง "มลายู" เอง ก็ยังถือ ผี+อิสลาม) ลองอ่าน อยุธยายอยศ ยิ่งฟ้า - สุจิตต์ วงเทศ หรือ นบีไม่กินหมาก- อนุสรณ์ อุณโน หรือข้ามไปอ่านหลักฐานชั้นต้นอย่าง จดหมายเหตุ ลาลูแบร์ ของสำนักพิมพ์ศรีปัญญาเลยก็ได้ครับ
ในด้านชาติพันธุ์ อยุธยาจึงความหลากหลายทางสังคมมากกว่า มีทั้งพม่า มอญ ลาว เขมร มลายู ญวน สเปน อังกฤษ ญี่ปุ่น จีน แขกตาตาร์(มองโลก) แขกโมกุล(มองโลก+อินเดีย) และอีกมากมายมหาศาลยั้วเยี้ยเต็มตลาด ท้องถนนไปหมด เพราะความร่ำรวยของป่าและการผูกขาดการค้าของราชสำนัก อีกทั้งมีกองทหารรับจ้างชางต่างชาติออกรบด้วย(กษัตริย์อยุธยาไม่ไว้ใจชาวสยามด้วยกันครับ เพราะ มีส่วนได้ส่วนเสียในอำนาจมากกว่าพวกต่างชาติที่รับเงินอย่างเดียว) แถมยังมีโอกาสเอาอาวุธยุทโธปกรณ์จากกลุ่มรัฐที่มีแสงยานุภาพมากอย่างยุโรป ทั้งเสื้อเกราะ(มีการถวายเกราะกำมะหยี่แดงให้ราชสำนักพระนารายณ์) ราชสำนักซื้อปืนไฟ ปืนใหญ่ เรือรบ ทหารฝึกอย่างยุโรป(หน่วยพลแม่นปืนอย่างฝรั่ง) จนมีคนต่างชาติได้ดิบได้ดีเป็นเจ้าเมืองบางกอก อย่าง นายพลเดอฟาสท์(จนโดนพระเพทราชาถีบออกไป) และ ออกญาเสนาภิมุข ยามาดะ นางามาสะ โรนินที่ได้เป็นเจ้าครองนครศรีธรรมราช(โดนพระเจ้าปราสาททองลอบสังหาร) แขกเปอเซียร์ตระกูลบุนนาค คุมกรมท่าขวาหลวงโชดึกราชเศรษฐี (จีน) กรมท่ากลาง ค้าขาย กรมท่าซ้ายจะเป็นของพวกฝรั่งครับ (ทุกวันนี้ คำศัพท์แต่ละคำมาจาก เขมรบ้าง เปอเซียร์บ้าง จีนบ้าง บาลี-สันกฤต ฝรั่ง ฯลฯ จนงงว่าอันไหนมาจากไหนกันแน่? )
การเมืองในอยุธยาจึงเปิดกว้าง พื้นที่ทำสงครามในการแผ่ขยายอำนาจภายนอกช่วยลดความวุ่นวายทางการเมืองภายใน(ได้บ้าง)มากกว่าครับ ถึงแม้อยุธยาจะมีค่าเฉลี่ยการชิงอำนาจของราชวงศ์เกือบทุกทศวรรษ แต่ดินแดนที่ราบลุ่มและศูนย์อำนาจที่ขยายง่าย ช่วยถ่ายเทความตึงเครียดออกจากราชสำนัก ขุนนางที่เลื่อนชั้นยศจากสงครามมากกว่าตีกันเอง ตามภูมิรัฐศาสตร์ครับ ยังไม่นับการมีอำนาจอธิปไตยเหนือตนเองในระบบอำนาจแบบรัฐ"แสงเทียน" (Mandala) ซึ่งอนุญาตให้เมืองประเทศราชมีอธิปไตยในตนเองสูงครับ(ส่งแค่บรรณาการต้นไม้เงิน ต้นไม้ทอง ส่งกองทัพช่วยบ้าง ที่เหลือก็บริหารปกติ)
ที่นี้มาดู "โชซอน" กันบ้าง หนังสือประวัติศาสตร์เกาหลีในไทยมีไม่มากครับ ส่วนมากเป็นประวัติศาสตร์แบบ Timeline ไม่ค่อยวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมืองเท่าไหร่นัก ซึ่งต้องรอดูกันต่อไปครับ
"โชซอน" ดินแดนแห่งขงจื๊อ แค่ชื่อก็บอกแล้วว่า ไม่ได้มีอธิปไตยมาแต่แรก เพราะ ราชสำนักหมิง(จีน) เป็นผู้ตั้งให้แปลว่า "ดินแดนแห่งยามรุ่งอรุณ" (Joseon)
อาณาจักรโชซอนค่อนข้างเป็นระบบปิดครับ ถึงแม้วิทยาการความก้าวอาจมองว่า เหนือกว่ารัฐอยุธยาในด้านระบบขุนนาง และความเป็นปึกแผ่น(อยุธยา ไม่ใช่ "ชาติ" ไทย นะครับ ยังเป็นระบบแคว้นที่มีการสวามิภักดิ์ต่อกันในระดับหนึ่ง ) มากกว่า หมายความว่า ระบบรัฐของโชซอน ไม่มีระบบเมืองขึ้นแล้ว(แบบอยุธยา ที่เจ้าเมืองบางเมืองเช่น สงขลา ปตานี หรือเมืองอื่น ๆ ที่มีข้าราชการไปปกครอง หรืออราชวงศ์ผู้นำท้องถิ่นอยู่ ยังประกาศสถาปนาความเป็นอิสระได้ แบบรัฐประเทศราช เช่น รัฐกาญจนบุรี สุพรรณบุรี ราชบุรี ตอนกรุงอยุธยาใกล้แตกครั้งที่ 2 พวกนี้ประกาศเข้ากับอังวะ แล้วยกทัพมาตีอยุธยาครับ ) การตัดสินใจภายในทุกแว่นแคว้น มณฑลเกาหลีจึงตกอยู่ภายใต้คำสั่งของกษัตริย์โชซอน ทั้งในด้านกฎหมาย อำนาจปกครอง และอำนาจอธิปไตย บริหารด้วยระบบราชการอีกต่อหนึ่ง
ปัญหาของโชซอนมีอยู่ไม่มากครับ(แต่หนักช...หาย) คือ ดินแดนของตนเองดันไปตั้งอยู่ตรง "สามเหลี่ยมอำนาจ"
(จริง ๆ สมัยนั้นน่าจะ 4 ด้วยซ้ำ) คือ จีนราชวงศ์หมิง (พี่ใหญ่) แมนจู(ตอนนั้นโหด) และ ญี่ปุ่น (จริง ๆ อาจจะรวมมองโกลด้วยในช่วงราชวงศ์หยวน) นั่นทำให้ภูมิรัฐศาสตร์ของโชซอนมีปัญหาครับ คือ
1. ขยายอำนาจไปไหนไม่ได้ เพราะความที่เป็นรัฐขนาดเล็ก(ในแถบนั้น) และอ่อนแอที่สุด(เพราะมีพีใหญ่คุ้มกันเสมอ)= อำนาจหันไปกระจุกตัวที่ราชสำนัก = ขุนนางต้องแย่งชิงอำนาจกันเอง ถึงจะได้ตำแหน่งสูง = ราชวงศ์โชซอนถึงแม้จะไม่มีการเปลี่ยนราชวงศ์ใหม่แบบราชสำนักอยุธยา (ก็อยุธยาเค้า เชื้อสายเยอะซะขนาดนั้น ทั้งจาก อู่ทอง สุพรรณบุรี ละโว้เขมร ฯลฯ แต่งข้ามกันไปกันมา) แถมมีพี่จีนคอย "แต่งตั้ง" และควบคุมอำนาจอยู่เหนือหัว ทำให้การแย่งชิงดีในราชสำนักเข้มข้นขึ้นครับ ราชวงศ์โชซอนจึงเต็มไปด้วยปัญหาด้าน "สายตระกูล" ขุนนาง แทนที่จะเป็นปัญหาด้านราชวงศ์ (เช่น ตระกูล คิมดันดง ฝ่ายตะวันตก ตะวันออก โนรน โซรน ฯลฯ)
สังเกตจากซีรี่ย์ โชซอนแทบไม่มีปัญหาอะไรเลยนอกจาก "ตีกันเอง" กับขุนนาง พระสนม มเหสี วุ่นวายกันอยู่ในวัง เท่านั้นเองครับ
แต่ระบบที่ดี(ตามแบบจีน) ก็แพร่กระจายการศึกษาและวิทยาการ(จีน) ได้ดีกว่าระบบศักดินาของรัฐอยุธยา สังเกตได้อีกว่า ไม่ว่าหนังจีนหรือเกาหลี จะปรากฏขุนนางที่มีความสามารถออกมามากกว่าครับ เพราะขุนนางในรัฐแบบจีน จะมีทั้ง "บุ๋น" และ "บู๊" ในขณะที่อยุธยา คือ ขุนนาง จะมีหน้าที่เดียวกับนักรบ ไปในตัวครับ อีกทั้งโชซอน(และจีน) ยังมีการตั้งโรงเรียนตามท้องถิ่นได้ มีการสอบข้าราชการ(จอหงวน) ซึ่งอยุธยามักจะเน้นที่ความดีความชอบจากสงครามและ"การฝากตัว" มากกว่าครับ ในขณะที่ตำรับตำราก็เป็นเพียงการสอนต่อทอดจากขุนนางที่ปลดเกษียณและมาบวชละทางโลกในวัดเท่านั้น (แต่ก็อย่าลืม ซี่รี่ย์ ก็คือ ซี่รี่ย์ ครับ มันRomantic มากกว่าภาพจริง ๆ มาก)
2. แฟชั่น เนื่องจากรัฐโชซอนตั้งอยู่ปลายสุดติ่งเขตแผ่นดินเหลียวตง และพื้นที่เต็มไปด้วยภูเขา ทำให้คนกลุ่มนี้อยู่ในสภาวะ "ครึ่ง ๆ กลาง ๆ " ครับ ในที่นี้หมายว่า ตนเองรับแฟชั่นจากจีนเต็ม ๆ เพราะแทบจะติดต่ออะไรกับรัฐอื่น ๆ ไม่ได้เลย ยิ่งลดความหลากหลายทางวัฒนธรรมลงไปอีก ซึ่งต่างจากรัฐประเภท "เมืองท่า" ที่รับเกือบทุกสิ่งเช่นอยุธยา (สังเกตจากซีรี่ว่า ของดีอะไรในหนัง เขาก็จะอวดว่า "มาจากจีนเชียวนะเธออออ" ) ชุดราชสำนักของโชซอนจึงแทบลอกเอามาจากราชวงศ์หมิงทั้งหมดเลยครับ (มีราชวงศ์หยวนบ้าง - ถ้าเป็นชุดของชาวบ้าน เช่นหมวกคลุมหัวของผู้หญิง) ผมไม่ได้ว่าไม่ดีนะฮะ เพราะหมิงคือตัวแม่แฟชั่นสำหรับรัฐตะวันออกครับ มันคือวิธีคิดในเวลานั้น (อยุธยาก็มีครับ แต่มีให้เลือกชอบทั้งตะวันตก(พระมาลาเส้าสูง) ญี่ปุ่น(ขุนนางอยุธยาชอบดาบญี่ปุ่นมากครับ) กริช(ขุนนางมักจะเหน็บกริชมลายู เหมือนรูปวาดในหนังสือของราชทูตลาลูแบร์ ฝรั่งเศส จีน(ขุนนางบางคนก็ชอบสวมเสื้อคอจีน แต่มาฮิตมากในสมัยกรุงเทพแล้ว) ซึ่งหลากหลายกว่ามากครับ
3. สงคราม การที่โชซอนตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ของมหาอำนาจถึง 3-4 ฝ่าย คือ ขึ้นเหนือ - แมนจู ออกทะเล - ญี่ปุ่น ลงไปทางใต้ -จีน ทำให้ที่นี่เป็นทั้ง "แหล่งเสบียง" เอาไว้ "ปล้น" อย่างดีของกองทัพแมจูทางเหนือ และเป็น "เส้นทางอย่างดี" สำหรับญี่ปุ่นที่จะรุกเข้าจีนและใช้โชซอนเป็นฐานทัพ ในขณะที่โชซอนมีเพียงระบบ "ทหารเกณฑ์" หรือจ่ายภาษีผ้าแทนการฝึกทหารในการปกป้องอาณาจักรเท่านั้น(ถึงแม้จะมีการสอบขุนนางฝ่ายบู๋ แต่การที่สงครามกระจุกตัวถาวรและว่างเว้นเป็นระยะเวบานาน ๆ ทำให้กล่ยเป็นการคอรัปชั่นแทนความสามารถ) ยังไม่ความด้อยของอาวุธซึ่งจะอธิบายในข้อต่อไป
กองกำลังโชซอนจึงมี "ศึกที่ปราบไม่ได้" ถึง 2 ทาง คือ แมนจู ที่โชซอนมีกองกำลังประจำการบางส่วนเท่านั้น ป้องกันไว้ทางเหนือ โชซอนไม่เคยยกทัพเข้าไปยึดอะไรในแมนจูเลย (แม้จะเกิดสงครามแมนจู ถึง 2 ครั้ง - ดู War of the arrow ก็ได้ครับ) ส่วนญี่ปุ่น เกิดสงคราม Imjin 2 ครั้ง ในช่วง 1692-1698 (ดูเรื่อง Roaring current) กองทัพโชซอนถูกตีแตกพ่ายด้วยแสงยานุภาพกองทัพญี่ปุ่นโดยสามารถยึดเมืองฮันซอง(โซล) ได้ในเวลาเพียง 2 อาทิตย์ (อยุธยายังโดนล้อมถึง 12 เดือนนะครับ ตอนจะแตก) ด้วยระบบทหารเกณฑ์ที่อ่อนแอและมีจำนวนน้อย(ใช้ระบบเกณฑ์ทหารแบบอยุธยา แต่รอบข้างโชซอนดันมีแต่รัฐที่มีวัฒนธรรมทหารสูง อย่างซามูไร หรือทหารขี่ม้าธนูล่าสัตว์ที่เป็นชีวิตประจำวัน ต่างกับทหารราบโชซอน รวมถึงจีน ที่เมื่อเสร็จสงครามก็กลับไปทำนาตามปกติ) กับแสงยานุภาพอาวุธที่มีเพียงจากจีนอย่างเดียวเท่านั้น ในขณะที่ปืนไฟ Tanegashims เป็นที่นิยมทั้งในอยุธยาและญี่ปุ่นแล้ว กองทัพเกาหลีมีปืนไฟแบบสมัยใหม่แค่ 120 กระบอกเท่านั้นในประวัติการรบของกองทัพ(ดูรายละเอียดในสงครามImjin ตอน Seige of Jinju) ไม่มีการค้าขายอาวุธ(และวิทยาการอื่นๆ)กับต่างชาติอย่างยุโรปนอกจากของที่ผ่านจีนมาแล้วเท่านั้น ประกอบกับปืนใหญ่จีน กับปืน Handgunner รุ่นเก่ากึกจากจีนครับ นั่นหมายความว่า นอกจากกองทัพเรือแล้ว ก็ไม่มีอะไรดีอีกเลย กองทหารม้ามีปัญหาในการฝึกภูมิประเทศแบบภูเขา (ทั้งที่ปูมหลังของชนเผ่าในแถบเกาหลี คือ กลุ่มคนบนหลังม้า ใช้ภาษาตระกูลTurkik ตะวันออกกลางนะครับ)
เมื่อถึงศตวรรษที่ 19 เมื่อจีนอ่อนแอถึงจัดสุดในสงครามฝิ่น โชซอนจึงกลายเป็นลูกน้องที่พลอยย่ำแย่ตามลูกพี่ไปด้วย เนื่องจากความล้าสมัยทางเทคโนโลยี (เราก็ล้าครับ แต่ล้าทั้งภูมิภาค) ในขณะที่ญี่ปุ่นกลายเป็นมหาอำนาจในเอเชียจากการปฏิรูปเมจิแย่างรวดเร็ว โชซอนกล่ยเป็นที่ขนาดนามว่า " Hermit Kingdom " หรือ อาณาจักรฤาษีเพราะความที่มีแต่ขุนนางสายอนุรักษ์นิยมในราชสำนักมาเกือบจะตลอด ที่ปวรณาระบบขงจื๊อแบบสุดโต่ง และพ่ายแพ้ให้กับการบุกยึดของญี่ปุ่นและทำให้ราชวงศ์ต้องล่มสลาย เกาหลีกลายเป็นอาณานิคมตั้งแต่ 1910-1945 (กลายเป็นหนังเรื่อง The Age of Shadows) ครับ
ผมว่าเท่านี้นะจะพอเปรียบให้เห็นภาพได้ชัดเจนแล้วนะครับ ว่าในทางภูมิรัฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์
ปล. ไม่ชอบคนที่ชอบอ้างว่า "เกาหลีไม่มีประวัติศาสตร์" ครับ เค้าไม่ใช่อยู่ ๆ จะผุดออกมาจากกอไม้ไผ่นะครับ เสลาฟังใครพูดก็กรุณาหาเหตุผล กลั่นกรองด้วย จริงอยู่ที่มีการเขียนแต่งเติมประวัติศาสตร์เกาหลีให้ดูยิ่งใหญ่ (ยังกับเราไม่เคยเขียนยังงั้นแหละ...) การเขียนประวัติศาสตร์เราก็มีปัญหาครับ ตัวอย่างก็เห็น ๆ กันอยู่ ไม่เข้าใจมิติว่า อยุธยา ไม่เท่ากับ ไทย โอ้อวด แพรวพราวด์เหมือนตัวเองเป็นคนสมัยนั้น พระราชพงศาวดารก็โดน"ชำระ"แต่งเติมกันก็หลายฉบับ แนะนำให้หา หนังสือ "วิชาการ" หรือหลักฐานชั้นต้นอ่านจะดีกว่าครับ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 12
ซีรี่ย์โบราณเกาหลีล้วนแต่มโนว่าตนยิ่งใหญ่อย่างนั้นอย่างนี้ จนคนดูคล้อยตาม ถ้าไม่ไปศึกษาดู
จริงๆดินแดนต่างๆที่กว่าจะรวมเป็นเกาหลี ล้วนแต่เป็นเมืองเล็กๆทั้งนั้น และแทบจะถูกจีนและญี่ปุ่กลืนกินไปอยู่แล้ว
แต่เวลามาสร้างซีรีย์ เค้าก็ต้องยกหางชาติตนเป็นธรรมดา
ซึ่งก็ประสบความสำเร็จนะ จนหลายๆคนอิน และเชื่อในสิ่งที่เค้าสร้างความยิ่งใหญ่ให้ตนเอง
จริงๆเราน่าเอาเยี่ยงอย่าง เพราะเรามีเรื่องราวยิ่งใหญ่มากมายที่สนุกกว่าเสียอีก น่าจะนำมาทำเป็นซีรีย์
แต่เรามักอ่อนไหวเรื่องผู้ปกครอง เลยกั๊กเอาไว้ ไม่กล้าเสี่ยงทำ ซึ่งน่าเสียดายมาก
สรุปคือยืนยันตามคห.บนๆเลยค่ะ ว่าไม่ว่าเมืองใดที่รวมเป็นเกาหลี ไม่มีเมืองไหนยิ่งใหญ่งดงามและเจริญเท่าอาณาจักรอยุธยา
จริงๆดินแดนต่างๆที่กว่าจะรวมเป็นเกาหลี ล้วนแต่เป็นเมืองเล็กๆทั้งนั้น และแทบจะถูกจีนและญี่ปุ่กลืนกินไปอยู่แล้ว
แต่เวลามาสร้างซีรีย์ เค้าก็ต้องยกหางชาติตนเป็นธรรมดา
ซึ่งก็ประสบความสำเร็จนะ จนหลายๆคนอิน และเชื่อในสิ่งที่เค้าสร้างความยิ่งใหญ่ให้ตนเอง
จริงๆเราน่าเอาเยี่ยงอย่าง เพราะเรามีเรื่องราวยิ่งใหญ่มากมายที่สนุกกว่าเสียอีก น่าจะนำมาทำเป็นซีรีย์
แต่เรามักอ่อนไหวเรื่องผู้ปกครอง เลยกั๊กเอาไว้ ไม่กล้าเสี่ยงทำ ซึ่งน่าเสียดายมาก
สรุปคือยืนยันตามคห.บนๆเลยค่ะ ว่าไม่ว่าเมืองใดที่รวมเป็นเกาหลี ไม่มีเมืองไหนยิ่งใหญ่งดงามและเจริญเท่าอาณาจักรอยุธยา
แสดงความคิดเห็น
โชซอน กับ อยุธยา ใครเจริญกว่ากันครับ