เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่บริษัทได้มีการประชุมผู้บริหารถึงแผนในครึ่งปีหลัง บทสรุปออกมาน่าสนใจที่ "ถ้าเป็นไปได้จะไม่มีการลงทุนเพิ่ม" ซึ่งค่อนข้างแปลกมากเนื่องจากตอนนี้เราไม่สามารถผลิตสินค้าได้ทันตามความต้องการของลูกค้า หรือ Production Lead-time จากเดิม 3 สัปดาห์กลายเป็น 4-5 สัปดาห์ และอาจจะต้องยืดออกเล็กน้อย เราพร้อมที่จะสูญเสียยอดบางส่วนให้กับคู่แข่งทั้งที่อยู่ในและต่างประเทศ เราพยายามที่จะหาฐานธุรกิจใหม่เพื่อรักษา Gross Margin ให้ได้เท่าเดิม แม้นว่ายอดขายจะลดลง (ซึ่งปีนี้ยอดขายมีแนวโน้มลดลง แต่ OT กลับเพิ่มขึ้น)
ฟังดูอาจจะขัดแย้ง แต่ผู้บริหารแทบทุกฝ่ายเห็นพ้องกันว่า เพิ่มยอดขายไปเพื่ออะไร กำไรแค่นี้ก็เพียงพอกับความอยู่รอดของบริษัทได้อย่างสบายๆ เนื่องจากไม่ใช่บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ ผู้ถือหุ้นทุกคนก็ไม่ได้มีความเดือดร้อนกับกำไรที่ลดลงหรือเงินปันผลที่ลดลง พนักงานก็มีเงินเดือนมีโบนัสเท่าเดิม ต่อให้ต้องมีการปรับเพิ่มเงินเดือนประจำปีก็ไม่ได้ทำให้บริษัทต้องเดือดร้อนอะไร ที่สำคัญ บริษัทไม่ได้มีหนี้สิน หรือภาระการเงินที่ต้องกังวล แต่การที่จะลงทุนเพิ่ม ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มของวัตถุดิบหรือเครื่องมือและอุปกรณ์ นั่นหมายถึงการเพิ่มขึ้นของพนักงานและความปวดหัวที่ทุกฝ่ายต้องมีกับคนงาน ทุกวันนี้คนงานก็หายากเหลือเกิน แค่เพียงนึกว่าต้องมีพนักงานเพิ่มขึ้นก็รู้สึกว่าการลงทุนไม่คุ้มค่าแล้ว การหาแรงงานต่างด้าวก็มีระเบียบอะไรที่ค่อนข้างเยอะ หากจะลงทุนในเครื่องจักร หุ่นยนต์ คราวนี้คงได้ลงทุนในบุคคลากรที่มีคุณภาพสูงขึ้นมาควบคุม และการหายิ่งยากเข้าไปอีก
เมื่อมองกันแบบนี้ จะลงทุนเพิ่มไปทำไม อยู่แบบนี้ก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร เอาไว้รัฐสามารถแก้ปัญหาเรื่องแรงงานได้แล้ว เราค่อยมาพิจารณาเรื่องการลงทุนใหม่ก้ได้ ตอนนี้อยู่นิ่งๆดีกว่า เพราะได้ไม่คุ้มเสีย (เสียในที่นี้คือ เสียเวลาและเสียสุขภาพจิต)
อีกมุมมองที่เอกชนไม่อยากลงทุนเพิ่ม
ฟังดูอาจจะขัดแย้ง แต่ผู้บริหารแทบทุกฝ่ายเห็นพ้องกันว่า เพิ่มยอดขายไปเพื่ออะไร กำไรแค่นี้ก็เพียงพอกับความอยู่รอดของบริษัทได้อย่างสบายๆ เนื่องจากไม่ใช่บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ ผู้ถือหุ้นทุกคนก็ไม่ได้มีความเดือดร้อนกับกำไรที่ลดลงหรือเงินปันผลที่ลดลง พนักงานก็มีเงินเดือนมีโบนัสเท่าเดิม ต่อให้ต้องมีการปรับเพิ่มเงินเดือนประจำปีก็ไม่ได้ทำให้บริษัทต้องเดือดร้อนอะไร ที่สำคัญ บริษัทไม่ได้มีหนี้สิน หรือภาระการเงินที่ต้องกังวล แต่การที่จะลงทุนเพิ่ม ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มของวัตถุดิบหรือเครื่องมือและอุปกรณ์ นั่นหมายถึงการเพิ่มขึ้นของพนักงานและความปวดหัวที่ทุกฝ่ายต้องมีกับคนงาน ทุกวันนี้คนงานก็หายากเหลือเกิน แค่เพียงนึกว่าต้องมีพนักงานเพิ่มขึ้นก็รู้สึกว่าการลงทุนไม่คุ้มค่าแล้ว การหาแรงงานต่างด้าวก็มีระเบียบอะไรที่ค่อนข้างเยอะ หากจะลงทุนในเครื่องจักร หุ่นยนต์ คราวนี้คงได้ลงทุนในบุคคลากรที่มีคุณภาพสูงขึ้นมาควบคุม และการหายิ่งยากเข้าไปอีก
เมื่อมองกันแบบนี้ จะลงทุนเพิ่มไปทำไม อยู่แบบนี้ก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร เอาไว้รัฐสามารถแก้ปัญหาเรื่องแรงงานได้แล้ว เราค่อยมาพิจารณาเรื่องการลงทุนใหม่ก้ได้ ตอนนี้อยู่นิ่งๆดีกว่า เพราะได้ไม่คุ้มเสีย (เสียในที่นี้คือ เสียเวลาและเสียสุขภาพจิต)