ช่วงนี้ กลับมาอ่าน ผู้ชนะสิบทิศของยาขอบ
มีตอนที่ จะเด็ด หรือบุเรงนอง ไปบุกหงสาวดี เมืองหลวงของมอญ ที่ มะกะโท บรรบุรุษมอญสร้างไว้
ทำให้นึกถึงตอนเด็กๆ ชั้นประถม 50 ปีที่แล้ว เรียนเรื่อง มะกะโท ตัวเอกจากเรื่อง ราชาธิราช กัน
เด็กสมัยนี้เรียนกันมั้ย
ที่ชอบเรื่องนี้ ก็ตรงชื่อนี่แหละ มะกะโท เป็นลูก มะกะนาย มีน้องชื่อ มะกะตา บ้านเดิม อยู่เมาะตะมะ
มะกะโท เป็นมอญหนุ่มที่มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ในพงศาวดารไทยสมัยพระร่วง สุโขทัย หรือ พ่อขุนรามคำแหง
บ้านเดิมอยู่ แขวงเมือง เมาะตะมะ แล้ว เดินทางมาค้าขายที่ สุโขทัย ระหว่างทาง เกิดปาฏิหารย์ ฟ้าผ่าโดนไม้คานหัก เกิดสงสัยเลยให้โหรทำนาย โหรบอก เป็นเรื่องดี เอาเงินมากองท่วมหัว แล้วจะทำนายให้
คนจะเป็นใหญ่มักมีปาฏิหารย์
มะกะโท ไม่มีเงินมากขนาดนั้น แต่ด้วย ความฉลาด มองเห็นจอมปลวกสูงท่วมหัว จัดการถอดแหวนจากนิ้ว วางบนจอมปลวกถวายยกครู
โหรปลื้ม ไอ้หมอนี่เก่ง ฉลาด เลยบอกว่า อนาคตจะเป็นใหญ่อย่าค้าขายเลยให้ไปรับราชการ
ฉลาดหัวไวเอาตัวรอดเก่งต้องไปรับราชการจะรุ่ง
ไปอาศัย เป็นคนเลี้ยงช้างในวัง พระร่วงสุโขทัย(พ่อขุนรามคำแหง) คอยให้หญ้าช้าง
วันหนึ่ง พระร่วงเจ้าเสด็จโรงช้าง เห็นมะกะโท ขยันขันแข็ง แอบนึกชอบใจ พอ คายหมากบ้วนออกไปบนพื้น เห็น เบี้ยอันนึงตกที่พื้น เลย บอกว่า "เจ้ามอญน้อยจงเก็บเอาเบี้ย นี้เอาไว้เถิด"
มะกะโท จึงเก็บเอาเบี้ยตามรับสั่ง
คนจะเจริญอย่าหมิ่นเงินน้อย
แต่เงินเบี้ยเดียว น้อยเกินไปทำอะไรก็ได้ อย่ากระนั้นเลยเอาไปซื้อพันธุ์ผักกาดมาปลูกไว้ ดีกว่า
แต่เจ้าของร้านพันธุ์ผักกาด บอกว่า เบี้ยเดียวนี้ มันน้อยเกินไป ตวงเม็ดผักกาดให้ไม่ได้
มะกะโท ก็เลยบอกว่า เบี้ยเดียว ขอไม่มาก ขอเอาแค่ จุ่มนิ้วลงไป ติดขึ้นมาแค่ไหนเอาแค่นั้น
เจ้าของพันธุ์ผักกาด ก็คิดว่า จุ่มมา มันจะติดได้ซักเม็ดมั้ย ก็ว่า เอาเถอะ ขายให้ก็ได้
มะกะโท เอานิ้วมือ จุ่มน้ำลาย แล้ว แล้วก็จิ้มลง ตะกร้าเม็ดผักกาด(เม็ดผักกาดมันเล็กจิ๋วๆ) ก็ติดนิ้วขึ้นมาหลายอยู่
มีทุนน้อยต้องฉลาดพลิกแพลงจะได้เอาตัวรอดได้
มะกะโทได้เมล็ดผักกาด ก็เอามาปลูก เอาขี้ช้างเป็นปุ๋ย จนงอกงามเติบโต
วันนึง พระร่วงเสด็จมาดูช้างอีก มะกะโท เลยเอาผักกาดที่ปลูกมาถวายพระร่วง
ท่านตรัสถามว่า "เอ็งได้พันธุ์ผักกาด นี้ มาจากไหน"
มะกะโท ก็เล่าให้ฟัง ว่าเอาเบี้ยพระราชทานนั้นไปซื้อ มาอย่างไร
พระร่วงได้ฟัง บ๊ะ ถูกใจ ไอ้มอญนี้ ฉลาด กตัญญู ขยัน เลย นำตัวไปเลี้ยงไว้ในวัง
ไต่เต้าจากตำแหน่งเล็กๆ จนถูกใจ พระร่วง จนได้แต่งตั้งเป็นขุนวัง( อ้าววววววววเหมือนจะเด็ดไปเป็นขุนวังเมืองแปรเลยวุ้ย)
เก่งฉลาดขยันแล้วต้องหัดรู้จักประจบนายถึงจะได้ดี
ต่อมามีเกิดกบฏ ที่หัวเมืองชายแดน พระร่วงเจ้ายกทัพออกไปปราบกบฏ สั่งให้มะกะโท ขุนวังอยู่เฝ้าพระนคร
ในตอนนี้ มะกะโท ขุนวัง กับ องค์หญิง สุวรรณเทวี ธิดาของพระร่วงได้ แอบ ปิ๊งกันอยู่ พวก ข้าหลวงในวังก็รู้ แต่เห็น พระร่วง โปรดมะกะโทมาก เลยไม่มีใครกล้าฟ้อง ( แน่ะแอบเหมือนจะเด็ดปิ๊งตะละแม่กุสุมาธิดาเมืองแปรอีกแล้ว)
รักแท้ไม่มีฐานันดรกั้น
หรืออยากโตไวต้องจีบลูกนายหว่า
ฝ่ายมะกะโท กับ ราชธิดา กุ๊กกิ๊กกันแล้ว กลัวกลับมา พระร่วงลงโทษ ก็เลยพากันวิวาห์เหาะ แอบหนีกลับ เมาะตะมะก่อนพระร่วงเสด็จกลับ
เมื่อพระร่วงเจ้าทรงปราบ กลับมา ทราบข่าว กลับไม่พิโรธอย่างที่พากันคาดคิด
กลับตรัสว่า"เจ้า มอญน้อย ผู้นี้มีลักษณะดี นานไปภายหน้าจะมีบุญได้เป็นใหญ่ เรารักใคร่เหมือนลูก
ถ้าเราจะสาปแช่ง มัน หรือยกทัพ ตามไปจับมาลงโทษก็ทำได้ แต่จะเป็นเวรกรรมแก่เรา แล เสียเกียรติยศ เป็นที่อัปยศแก่นานาประเทศ
เจ้ามอญน้อยพาธิดาเราไป ถ้าต่อไป ตั้งตัวเป็นใหญ่ได้เมื่อใด ก็คงจะต้องแต่งตั้งให้ธิดาเราเป็นใหญ่ยิ่งขึ้น จะเป็นเกียรติยศแก่บ้านเมืองทั้งสองฝ่าย
เพราะเหตุนี้ เราจึงจะอวยพรแก่มอญน้อยแลธิดาเรา อย่าให้มีภัยอันตรายใดๆ ให้เกิดความสุข ความเจริญด้วยกันเถิด "
คนเป็นใหญ่ต้องคิดไกลให้อภัยผู้น้อย
คำอวยพรของพระร่วงเจ้าผู้มีวาจาสิทธิ์ ได้ส่งผลแก่มะกะโทต่อมา
พวกชาวบ้านชาวเมืองต่างพากัน ยำเกรงรักใคร่ในมะกะโทและพระราชธิดา พากันมาสวามิภักดิ์มากขึ้นทุกที
มะกะโทนั้นเป็นผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาด จึงช่วยปลดเปลื้องทุกข์ให้ ชาวบ้านทั้งหลาย จน อยู่ดีกินดีกันถ้วนหน้า
เมื่อบารมีมากขึ้น ก็เกลี้ยกล่อมทั้งฝ่ายเหนือฝ่ายใต้ในรามัญประเทศ (แคว้นมอญ ทางตอนใต้ของพม่า) ให้ร่วมสามัคคีรวมน้ำใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
แล้วมะกะโทก็ตั้งตัวเป็นกษัตริย์ครองราชย์สมบัติ ณ เมืองเมาะตะมะ
แม้มะกะโท จะขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์มอญ ก็ ยังไม่ทำพิธีราชาภิเษก
แต่ส่งสารและเครื่องราชบรรณาการไปถวายสมเด็จพระร่วงเจ้า ณ กรุงสุโขทัย แจ้งข่าวการตั้งตัวเป็นใหญ่ พร้อมทั้งขอพระราชทานอภัยโทษที่พาลูกสาว พระองค์ท่านหนีมา
พระร่วงเจ้า ทราบข่าว แล้ว ถูกใจที่ลูกเขยตัวแสบ ที่พาราชธิดาหนี ได้เป็นใหญ่สมใจ เลย อวยชัยให้พร พร้อมกับ พระราชทานพระนามให้มะกะโทว่า “พระเจ้าวาริหู” หรือ “ฟ้ารั่ว” หมายถึงหล่นมาจากฟ้า
กตัญญูอ่อนน้อมพาตัวรอดและได้ดี
ในประวัติศาสตร์พม่า
มะกะโท มีชื่อว่า มะกะทู ว่ากันว่า มะกะทู มี พ่อ เป็นไทย แม่เป็นมอญ เกิดที่เมืองสะเทิม
ตอนพม่าปราบกบฏพวกมอญ มะกะทูได้หนีมาอยู่กรุงสุโขทัย เข้ารับราชการกับพ่อขุนรามคำแหง และได้เป็นนายกองช้าง และ ได้พาพระราชธิดาของพ่อขุนรามคำแหงหนีไปเมาะตะมะ เช่นกัน
มะกะทูได้เกลี้ยกล่อมเจ้าเมืองเมาะตะมะให้เป็นกบฏ ต่อพม่า แต่เจ้าเมืองเมาะตะมะ โปร พม่า ไม่ยอม มะกะทู เลยจัดการยึดอำนาจ แล้ว สังหารเจ้าเมือง เมาะตะมะ ประกาศตัวเป็นกษัตริย์แห่งเมาะตะมะ ทรงพระนามว่า “วาเรรุ” ซึ่งแปลว่า “กษัตริย์ที่หล่นมาจากฟ้า”
และต่อมาก็ได้ ปราบพระเจ้าตละพญา เจ้าเมืองหงสาวดี ได้ครอบครองดินแดนพม่าตอนใต้ไว้ได้ทั้งหมด
จนมาถึงยุค ตะเบงชะเวตี้ที่มี จะเด็ดหรือ บุเรงนองกะยอดินนรธา ผู้ชนะสิบทิศ ที่ตามตะละแม่กุสุมา ไปถึงหงสาวดี ยึดหงสาฯ ได้ราบคาบจนมอญ ลูกหลานมะกะโท เสื่อมอำนาจ ตกมาอยู่ใต้การปกครองของ อาณาจักร ตองอู ของพระเจ้าตะเบงชะเวตี้ และ บุเรงนอง นั้นแล
==แกะรอย มะ กะ โท ลูกมะกะนาย พี่ มะกะตา แห่งเมือง เมาะตะมะ ==
มีตอนที่ จะเด็ด หรือบุเรงนอง ไปบุกหงสาวดี เมืองหลวงของมอญ ที่ มะกะโท บรรบุรุษมอญสร้างไว้
ทำให้นึกถึงตอนเด็กๆ ชั้นประถม 50 ปีที่แล้ว เรียนเรื่อง มะกะโท ตัวเอกจากเรื่อง ราชาธิราช กัน
เด็กสมัยนี้เรียนกันมั้ย
ที่ชอบเรื่องนี้ ก็ตรงชื่อนี่แหละ มะกะโท เป็นลูก มะกะนาย มีน้องชื่อ มะกะตา บ้านเดิม อยู่เมาะตะมะ
มะกะโท เป็นมอญหนุ่มที่มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ในพงศาวดารไทยสมัยพระร่วง สุโขทัย หรือ พ่อขุนรามคำแหง
บ้านเดิมอยู่ แขวงเมือง เมาะตะมะ แล้ว เดินทางมาค้าขายที่ สุโขทัย ระหว่างทาง เกิดปาฏิหารย์ ฟ้าผ่าโดนไม้คานหัก เกิดสงสัยเลยให้โหรทำนาย โหรบอก เป็นเรื่องดี เอาเงินมากองท่วมหัว แล้วจะทำนายให้
คนจะเป็นใหญ่มักมีปาฏิหารย์
มะกะโท ไม่มีเงินมากขนาดนั้น แต่ด้วย ความฉลาด มองเห็นจอมปลวกสูงท่วมหัว จัดการถอดแหวนจากนิ้ว วางบนจอมปลวกถวายยกครู
โหรปลื้ม ไอ้หมอนี่เก่ง ฉลาด เลยบอกว่า อนาคตจะเป็นใหญ่อย่าค้าขายเลยให้ไปรับราชการ
ฉลาดหัวไวเอาตัวรอดเก่งต้องไปรับราชการจะรุ่ง
ไปอาศัย เป็นคนเลี้ยงช้างในวัง พระร่วงสุโขทัย(พ่อขุนรามคำแหง) คอยให้หญ้าช้าง
วันหนึ่ง พระร่วงเจ้าเสด็จโรงช้าง เห็นมะกะโท ขยันขันแข็ง แอบนึกชอบใจ พอ คายหมากบ้วนออกไปบนพื้น เห็น เบี้ยอันนึงตกที่พื้น เลย บอกว่า "เจ้ามอญน้อยจงเก็บเอาเบี้ย นี้เอาไว้เถิด"
มะกะโท จึงเก็บเอาเบี้ยตามรับสั่ง
คนจะเจริญอย่าหมิ่นเงินน้อย
แต่เงินเบี้ยเดียว น้อยเกินไปทำอะไรก็ได้ อย่ากระนั้นเลยเอาไปซื้อพันธุ์ผักกาดมาปลูกไว้ ดีกว่า
แต่เจ้าของร้านพันธุ์ผักกาด บอกว่า เบี้ยเดียวนี้ มันน้อยเกินไป ตวงเม็ดผักกาดให้ไม่ได้
มะกะโท ก็เลยบอกว่า เบี้ยเดียว ขอไม่มาก ขอเอาแค่ จุ่มนิ้วลงไป ติดขึ้นมาแค่ไหนเอาแค่นั้น
เจ้าของพันธุ์ผักกาด ก็คิดว่า จุ่มมา มันจะติดได้ซักเม็ดมั้ย ก็ว่า เอาเถอะ ขายให้ก็ได้
มะกะโท เอานิ้วมือ จุ่มน้ำลาย แล้ว แล้วก็จิ้มลง ตะกร้าเม็ดผักกาด(เม็ดผักกาดมันเล็กจิ๋วๆ) ก็ติดนิ้วขึ้นมาหลายอยู่
มีทุนน้อยต้องฉลาดพลิกแพลงจะได้เอาตัวรอดได้
มะกะโทได้เมล็ดผักกาด ก็เอามาปลูก เอาขี้ช้างเป็นปุ๋ย จนงอกงามเติบโต
วันนึง พระร่วงเสด็จมาดูช้างอีก มะกะโท เลยเอาผักกาดที่ปลูกมาถวายพระร่วง
ท่านตรัสถามว่า "เอ็งได้พันธุ์ผักกาด นี้ มาจากไหน"
มะกะโท ก็เล่าให้ฟัง ว่าเอาเบี้ยพระราชทานนั้นไปซื้อ มาอย่างไร
พระร่วงได้ฟัง บ๊ะ ถูกใจ ไอ้มอญนี้ ฉลาด กตัญญู ขยัน เลย นำตัวไปเลี้ยงไว้ในวัง
ไต่เต้าจากตำแหน่งเล็กๆ จนถูกใจ พระร่วง จนได้แต่งตั้งเป็นขุนวัง( อ้าววววววววเหมือนจะเด็ดไปเป็นขุนวังเมืองแปรเลยวุ้ย)
เก่งฉลาดขยันแล้วต้องหัดรู้จักประจบนายถึงจะได้ดี
ต่อมามีเกิดกบฏ ที่หัวเมืองชายแดน พระร่วงเจ้ายกทัพออกไปปราบกบฏ สั่งให้มะกะโท ขุนวังอยู่เฝ้าพระนคร
ในตอนนี้ มะกะโท ขุนวัง กับ องค์หญิง สุวรรณเทวี ธิดาของพระร่วงได้ แอบ ปิ๊งกันอยู่ พวก ข้าหลวงในวังก็รู้ แต่เห็น พระร่วง โปรดมะกะโทมาก เลยไม่มีใครกล้าฟ้อง ( แน่ะแอบเหมือนจะเด็ดปิ๊งตะละแม่กุสุมาธิดาเมืองแปรอีกแล้ว)
รักแท้ไม่มีฐานันดรกั้น
หรืออยากโตไวต้องจีบลูกนายหว่า
ฝ่ายมะกะโท กับ ราชธิดา กุ๊กกิ๊กกันแล้ว กลัวกลับมา พระร่วงลงโทษ ก็เลยพากันวิวาห์เหาะ แอบหนีกลับ เมาะตะมะก่อนพระร่วงเสด็จกลับ
เมื่อพระร่วงเจ้าทรงปราบ กลับมา ทราบข่าว กลับไม่พิโรธอย่างที่พากันคาดคิด
กลับตรัสว่า"เจ้า มอญน้อย ผู้นี้มีลักษณะดี นานไปภายหน้าจะมีบุญได้เป็นใหญ่ เรารักใคร่เหมือนลูก
ถ้าเราจะสาปแช่ง มัน หรือยกทัพ ตามไปจับมาลงโทษก็ทำได้ แต่จะเป็นเวรกรรมแก่เรา แล เสียเกียรติยศ เป็นที่อัปยศแก่นานาประเทศ
เจ้ามอญน้อยพาธิดาเราไป ถ้าต่อไป ตั้งตัวเป็นใหญ่ได้เมื่อใด ก็คงจะต้องแต่งตั้งให้ธิดาเราเป็นใหญ่ยิ่งขึ้น จะเป็นเกียรติยศแก่บ้านเมืองทั้งสองฝ่าย
เพราะเหตุนี้ เราจึงจะอวยพรแก่มอญน้อยแลธิดาเรา อย่าให้มีภัยอันตรายใดๆ ให้เกิดความสุข ความเจริญด้วยกันเถิด "
คนเป็นใหญ่ต้องคิดไกลให้อภัยผู้น้อย
คำอวยพรของพระร่วงเจ้าผู้มีวาจาสิทธิ์ ได้ส่งผลแก่มะกะโทต่อมา
พวกชาวบ้านชาวเมืองต่างพากัน ยำเกรงรักใคร่ในมะกะโทและพระราชธิดา พากันมาสวามิภักดิ์มากขึ้นทุกที
มะกะโทนั้นเป็นผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาด จึงช่วยปลดเปลื้องทุกข์ให้ ชาวบ้านทั้งหลาย จน อยู่ดีกินดีกันถ้วนหน้า
เมื่อบารมีมากขึ้น ก็เกลี้ยกล่อมทั้งฝ่ายเหนือฝ่ายใต้ในรามัญประเทศ (แคว้นมอญ ทางตอนใต้ของพม่า) ให้ร่วมสามัคคีรวมน้ำใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
แล้วมะกะโทก็ตั้งตัวเป็นกษัตริย์ครองราชย์สมบัติ ณ เมืองเมาะตะมะ
แม้มะกะโท จะขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์มอญ ก็ ยังไม่ทำพิธีราชาภิเษก
แต่ส่งสารและเครื่องราชบรรณาการไปถวายสมเด็จพระร่วงเจ้า ณ กรุงสุโขทัย แจ้งข่าวการตั้งตัวเป็นใหญ่ พร้อมทั้งขอพระราชทานอภัยโทษที่พาลูกสาว พระองค์ท่านหนีมา
พระร่วงเจ้า ทราบข่าว แล้ว ถูกใจที่ลูกเขยตัวแสบ ที่พาราชธิดาหนี ได้เป็นใหญ่สมใจ เลย อวยชัยให้พร พร้อมกับ พระราชทานพระนามให้มะกะโทว่า “พระเจ้าวาริหู” หรือ “ฟ้ารั่ว” หมายถึงหล่นมาจากฟ้า
กตัญญูอ่อนน้อมพาตัวรอดและได้ดี
ในประวัติศาสตร์พม่า
มะกะโท มีชื่อว่า มะกะทู ว่ากันว่า มะกะทู มี พ่อ เป็นไทย แม่เป็นมอญ เกิดที่เมืองสะเทิม
ตอนพม่าปราบกบฏพวกมอญ มะกะทูได้หนีมาอยู่กรุงสุโขทัย เข้ารับราชการกับพ่อขุนรามคำแหง และได้เป็นนายกองช้าง และ ได้พาพระราชธิดาของพ่อขุนรามคำแหงหนีไปเมาะตะมะ เช่นกัน
มะกะทูได้เกลี้ยกล่อมเจ้าเมืองเมาะตะมะให้เป็นกบฏ ต่อพม่า แต่เจ้าเมืองเมาะตะมะ โปร พม่า ไม่ยอม มะกะทู เลยจัดการยึดอำนาจ แล้ว สังหารเจ้าเมือง เมาะตะมะ ประกาศตัวเป็นกษัตริย์แห่งเมาะตะมะ ทรงพระนามว่า “วาเรรุ” ซึ่งแปลว่า “กษัตริย์ที่หล่นมาจากฟ้า”
และต่อมาก็ได้ ปราบพระเจ้าตละพญา เจ้าเมืองหงสาวดี ได้ครอบครองดินแดนพม่าตอนใต้ไว้ได้ทั้งหมด
จนมาถึงยุค ตะเบงชะเวตี้ที่มี จะเด็ดหรือ บุเรงนองกะยอดินนรธา ผู้ชนะสิบทิศ ที่ตามตะละแม่กุสุมา ไปถึงหงสาวดี ยึดหงสาฯ ได้ราบคาบจนมอญ ลูกหลานมะกะโท เสื่อมอำนาจ ตกมาอยู่ใต้การปกครองของ อาณาจักร ตองอู ของพระเจ้าตะเบงชะเวตี้ และ บุเรงนอง นั้นแล