เรื่องราวต่อไปนี้ เราอธิบายค่อนข้างรวบรัด เนื่องจากเรื่องราวบางอย่างมันยาวมาก จึงจะอธิบายพอเข้าใจ
เราขอเริ่มด้วยเรื่องในโรงเรียนนะ เพราะเมื่อเป็นที่ที่อะไรหลาย ๆ ให้เล่ามากกว่าที่บ้าน >> ในตอนเด็ก ๆ ช่วงประถมต้น-ปลาย เราเป็นเด็กนักกิจกรรมตัวยงคนหนึ่งเลยค่ะ ถึงจะอยู่ในโรงเรียนเล็ก ๆ แต่ก็ได้เข้าร่วมกิจกรรมหลาย ๆ อย่างเลยค่ะ ทั้งร้องเพลง เต้น ทำละครเล็ก ๆ แสดงให้คุณครูในวันจบ และยังมีได้ไปแข่งขันวิชาการอย่างแข่งเปิดพจนานุกรมระดับภาค(ระดับประถมนะ) แข่งเรียงความ หรืออย่างแข่งตอบคำถามธรรมะก็ยังเคยทำมา เวลาอยู่ในโรงเรียนเนื่องด้วยเป็นโรงเรียนเล็ก เราเป็นเด็กเรียนดีและเก่งในระดับต้น ๆ ของโรงเรียน(นร. 300 กว่า ๆ 5555) ตอนที่เราไปสอบเข้าโรงเรียนหญิงประจำจังหวัด พ่อแม่ คุณครูทุกคนเป็นกำลังใจให้เรา และเราก็สอบเข้าได้ ถึงแม้จะเป็นธรรมดา(top-star มันอยากอ่ะ) เราก็ได้เข้าไปเรียนในโรงเรียนที่เป็นชื่อเสียงของจังหวัด เราก็ยังคงได้ทำกิจกรรมเรื่อย ๆ ถึงแม้ว่าจะได้เข้าแข่งขันมากแบบแต่ก่อน แต่ก็ยังมีร่วมบ้าง ส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมด้วยจะเป็นกิจกรรมอาสามากกว่า แต่ตอนม.2 ก็เริ่มห่างกิจกรรม เพราะรู้สึกว่าการเรียนย่ำแย่ บวกกับที่ตอนนั้นเกเรด้วยเลยห่าง ๆ กิจกรรมทุกอย่าง พอมาม.3 ก็กลับมาทำกิจกรรมบางเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างได้พูดเสียงตามสายในตอนเช้าของโรงเรียน แต่ก็ทำอยู่ไม่กี่ครั้ง จำได้ว่ากิจกรรมที่รู้สึกภูมิใจมากคือ เป็นรำวงหน้าขบวนแห่วันลอยกระทง ซึ่งเป็นกิจกรรมของจังหวัด และโรงเรียนเรา(ในตอนนั้น) ชนะเลิศขบวนแห่ เรารู้สึกดีมากว่าเราเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ขบวนชนะ พอใกล้จบม.3 ก็เริ่มตัดสินใจเรื่องเรียนต่อ เพราะไม่อยากต่อ 4/5/6 รู้ตัวเองดีว่าไปไม่รอดแน่ ๆ แม่เลยบอกว่าให้ต่อปวช. บัญชี แต่ใจเราเองไม่อยากเรียนบัญชี เพราะตอนอยู่ม.ต้น ไม่เคยเรียนคณิตได้เกรดดี ๆ กับเขาเลย รู้สึกว่าเรียนไม่รู้เรื่อง และเป็นวิชาเดียวที่เรียนไม่ได้เรื่อง ที่ได้เกรดดี ๆ ก็มีแต่วิชาที่ไม่ใช่วิชาหลักที่เขาเอาไว้วัดระดับ พอแม่บอกว่าบัญชีถ้าเรียนรู้ไว้มันได้เปรียบกว่า เราจึงตัดสินใจต่อปวช. สาขาบัญชี
และนี้ คือจุดเริ่มต้น
พอเราเข้ามาเรียนระดับปวช. เรารู้สึกกลัวบ้าง เพราะเป็นอะไรที่เราไม่เคยเรียนมาก่อน ปี 1 ผ่านไปก็รู้สึกว่า เฮ้ย เรามันก็ไม่เลวนะ เพราะเกรดออกมาค่อนข้างดีเลย พอขึ้นปี 2 รู้สึกว่ามันยากขึ้นมาก จากที่เรียนจากตอนปี 1 เรารู้สึกเลยว่ามันเริ่มโอเคสำหรับเรา กว่ามันจะผ่านไปมันก็เกือบไม่รอด ขึ้นปี 3 รู้สึกย่ำแย่มาก จากที่ตอนม.ต้นคณิตย่ำแย่แล้ว มาเจอบัญชี บัญชีนะ ผิดสตางค์เดียวก็ผิดหมด ยิ่งงบไม่ลงตัวยิ่งย่ำแย่ เราก็เริ่มเครียด บวกช่วงนั้นผ่าตัดไส้ติ่งอีก จากที่ปกติเป็นคนคิดมาก มากจนเกินคนปกติ เจอแบบนี้เข้าไปก็เครียดสิ และแน่นอนว่าเมื่อเราเป็นคิดมากและวิตกกังวน กิจกรรม(ที่ไม่ร่วมกีฬาสี)เราไม่เข้าร่วมเลย เพราะกลัวเรียนไม่ได้ กลัวเกรดไม่ดี เกรดไม่ถึงแล้วจะไม่ได้เรียนต่อ และมีอีกอย่างนึงที่ทำให้ไม่อยากทำกิจกรรมคือ ตอนปี 1 มีพิธีทางศาสนา แล้วเกิดเหตุการณ์บางอย่างกับตัวเรา หลังจากนั้นมาเริ่มรู้สึกว่ามักมีสายตาแปลก ๆ มองมาที่เรา
พ้นช่วงปวช.มา กำลังจะขึ้นปวส. เรามีความกังวนและคิดมากเรื่อย ๆ เพราะช่วงปวช. เราเรียนได้ไม่ดีเลย เกรดแย่มาก และมีอะไรหลาย ๆ อย่างจนรู้สึกว่าชีวิตฉันไม่มีค่าเลย อยู่ไปก็เป็นแต่ตัวถ่วงคนอื่น ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ เรารู้สึกแบบนั้น จนก่อนเปิดเรียน เราไม่อยากเรียนแล้ว กลัวเรียนไม่ได้ เกรดไม่ถึง สอบไม่ผ่าน แล้วต้องเรียนซ้ำ พอเวลามีอะไรมีกระตุ้นให้รู้สึกแย่ มันคิดฆ่าตัวตายทุกครั้ง จนมีอยู่วันนึงเราทะเลาะกับแม่เรื่องอะไรสักอย่าง แล้วแม่พูดบางคำที่เราฟังแล้วมันรู้สึกย่ำแย่ มันรู้สึกแย่ แย่จนร้องไห้ไม่หยุด เริ่มอาละวาด และทำร้ายตัวเอง เรารู้สึกแย่ เครียด จนไม่รู้จะทะยังไงให้ความรู้สึกนี้หายไป เราเลยเอาเครื่องคิดเลขกระแทกกับหัวแรง ๆ (ถ้านึกไม่ออกว่าแรงแค่ไหน ให้นึกถึงคนฆ่าหมูที่เอาค่อนทุบหัวหมูอะ) จนชาไปครึ่งตัว หยุดร้องไห้ไม่ได้ และเลือกกำเดาไหล พอไปถึงโรงพยาบาลจากที่เริ่มหยุดร้องไห้ พยาบาลถามว่าเป็นอะไรมา ร้องไห้ใหญ่เลยที่นี้ ตอบไปก็ไม่รู้เรื่อง แบบมันหยุดไม่ได้ จนหมอต้องมาฉีดยา(อะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน)ให้ อาการเลยดีขึ้น(บ้าง) แต่ก่อนหน้านี้(ช่วงประถม)เราก็มีนิสัยแบบนี้นะ นิสัยที่ควบคุมไม่ได้ เวลาที่มีอะไรที่ทำให้รู้สึกแย่ เราเหมือนวิตกจริต กังวนและคิดมากเกินไป(ซึ่งตอนนั้นไม่รู้ว่ามันคืออะไร) เคยเป็นหนัก ๆ แค่ครั้งเดียวคือ เกือบฆ่าลูกหมาที่ตัวเองเลี้ยง(แต่ไม่ตายนะ) พอรู้สึกตัวเราเองก็รู้สึกผวานะ และรู้สึกแย่กับเรื่องนั้นมาตลอด
กลับมาที่ขึ้นปวส. เราเรียนแย่มาก เราแทบไม่เข้าเรียนเลย เพราะคิดมากเกินไป กลัวนั้น กลัวนี้ กลัวมากจนไม่กล้าไปเรียน ตอนนั้นเราก็ไม่รู้ว่าเราเป็นอะไร ทำไมถึงเป็นคนแบบนี้ และคิดเสมอว่าเราเป็นคนไม่ดี ไม่มีอะไรดี แย่ แย่ แย่ แย่ และก็แย่ ไม่มีอะไรดีสักอย่าง และเหตุการณ์บางอย่างก็ซ้ำรอยเดิม ปวส.1 ที่วิทยาลัยมีพิธีทางศาสนา(ที่จัด 2 ปีครั้ง) เราก็เป็นเมื่อเดิมเหมือนตอนนั้น แต่เราไม่ได้เป็นหนักมาก ตอนนั้นเรารู้สึกว่าตัวเราไม่ได้เป็นอะไรแล้ว แค่เหน็บกินขาแล้วเดินไปได้ มีเพื่อนสนิทคนหนึ่งกับอาจารย์ฝึกสอนเข้ามาช่วยผยุงไว้ แต่มีอาจารย์คนหนึ่ง(เป็นคนที่ไม่เชื่อแบบหัวเด็ดตีนขาดกับเรื่องแบบนี้)เข้ามากระชากตัวเราแล้วผลักอ.กับเพื่อนเราออก ทั้ง ๆ ที่ทั้ง 2 คนก็บอกไปแล้วว่าเราไม่ได้เป็นอะไร เราก็บอกแล้วว่าเราไม่เป็นอะไรแล้ว แค่เหน็บกินขา แบบทั้งขา แล้วเราก็อ้วนมาก มันเดินไม่ได้ อ.คนนั้นก็ไม่ฟัง หลังจากนั้นก็เหมือนจะมีความคิดที่ย้อนแย้งกันตลอด มีอาจารย์บางคน(แต่ในความรู้สึกเรามันหลายคน)ที่มองเราด้วยสายตาแปลก ๆ พูดแปลก ๆ เหมือนเราเป็นตัวประหลาด มันเลยยิ่งไม่อยากจะไปเรียน พูดอะไรให้ใครฟังก็ไม่ได้ เหมือนไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่เราเป็น พูดให้เพื่อนฟัง เพื่อนก็ทำได้เพียงให้กำลังใจ แต่เราไม่รู้สึกถึงอะไรเลย ตอนนั้นช่วงที่มีความสุขที่สุดคือการติดตามศิลปินที่เราชื่นชอบ นอกนั้นก็มีแต่อะไรที่รู้สึกแย่ไปหมด ขนาดเพื่อนสนิทของตัวเอง เราว่าแบบ.. พอนึกกลับไปตอนนั้น ทำไมเราว่าเพื่อนไปแบบนั้นว่ะ คือไม่มีอะไรดีเลยอ่ะ
แต่พอขึ้นมาปวส.2 อาการมันดีขึ้นนะ ไม่มีความคิดอะไรพวกนั้นเลย เรียนจบอย่างไร้ความกังวน จริง ๆ ก็มีบ้างแต่ไม่เท่าตอนปวส.1 และตอนนี้เราอายุ 20 ปีค่ะ กำลังจะต่อปริญญาตรีที่วิทยาลัยเดิมค่ะ(เปิดหลักสูตรป.ตรีได้ 3 ปีแล้ว)และต้องทำงานไปด้วย แรก ๆ เราไม่คิดอะไรมากเลยค่ะ แต่พอทำไปสักพักเริ่มมีอะไร ๆ หลายอย่างเปลี่ยนแปลง ลืมบอกไปว่าเราทำงานปั๊มค่ะ ทำในช้อปเป็นพนักงานเรียงสินค้า ตอนแรกเราขอเป็นประจำค่ะ แต่ทีนี่ว่ามันต้องเข้ากะ เราเข้ากะไม่ได้ และอาจไม่ได้ไปทำทุกวัน จึงเปลี่ยนเป็นพาร์ทไทม์ ซึ่งทำงานได้แค่ 7 ชม. โอทีไม่ได้ ค่าคอมฯ ไม่ได้ โบนัสไม่มี ทำเกินเวลาก็ได้ไม่เยอะ แล้วเราต้องทำงานเพื่อนำเงินไปจ่ายค่าเรียน เพราะลำพังพ่อกับแม่เงินไม่พอจ่ายแน่นอน ตอนนี้เราเลยรู้สึกว่าความรู้สึกเดิม ๆ ที่เราเคยเป็นมันจะกลับมารุนแรงอีก เพราะตอนนี้เราต้องหางานสำนักงานบัญชีทำ แต่ยังหาไม่ได้ ที่ที่เคยติดต่อกับอาจารย์ที่วิทยาลัยก็ไม่รับคนเพิ่มแล้ว เลยไม่รู้ว่าชีวิตจะได้ไปทางไหน ถ้ายังทำงานที่ปั๊มอยู่ เราไม่มีโอกาสได้ทำงานที่อาจารย์สั่งแน่ ๆ ปกติกลับบ้านมาก็เหมือนตายแล้วอ่ะ แล้วช่วงนี้ยังไม่เปิดเทอม เราก็ได้อยู่แต่กะบ่าย กลับบ้านเกิน 3 ทุ่มทุกวัน บางวัน 4 ทุ่มพึ่งได้กลับ โอทีก็ไม่ได้อีก เลยเหมือนคิดมากไปหมด ใครพูดอะไรก็เริ่มขัดหู เริ่มรู้สึกแย่ เราเลยไม่รู้ว่าเราต้องทำยังไงก็ชีวิตดี
อยากรู้ว่าเราเป็นอะไร เราต้องทำยังไง
ขอความกรุณาไม่ใช่ภาษาเสียดแทงจิตใจกันนะ ตอนนี้เรารู้สึกแย่มากจริง ๆ
ปล.ขออภัยถ้าหัวข้อกับเรื่องที่เล่ามันขัด ๆ กัน
ปลล.ขออภัยถ้าอ่านไม่รู้เรื่อง
ปลลล.เราไม่รู้ว่าต้องแท๊กอะไรบ้าง
ปลลลล.จริง ๆ อยากไปหาหมอนะ ว่าเป็นอะไร แต่ไปแล้วเจอแต่หมอรีบ ยังไม่ทันถามหมอหมดเลย ให้ยาแล้ว.. เฮ้อออ
ชีวิตแบบคนปกติกับการคิดมากเกินคนปกติ
เราขอเริ่มด้วยเรื่องในโรงเรียนนะ เพราะเมื่อเป็นที่ที่อะไรหลาย ๆ ให้เล่ามากกว่าที่บ้าน >> ในตอนเด็ก ๆ ช่วงประถมต้น-ปลาย เราเป็นเด็กนักกิจกรรมตัวยงคนหนึ่งเลยค่ะ ถึงจะอยู่ในโรงเรียนเล็ก ๆ แต่ก็ได้เข้าร่วมกิจกรรมหลาย ๆ อย่างเลยค่ะ ทั้งร้องเพลง เต้น ทำละครเล็ก ๆ แสดงให้คุณครูในวันจบ และยังมีได้ไปแข่งขันวิชาการอย่างแข่งเปิดพจนานุกรมระดับภาค(ระดับประถมนะ) แข่งเรียงความ หรืออย่างแข่งตอบคำถามธรรมะก็ยังเคยทำมา เวลาอยู่ในโรงเรียนเนื่องด้วยเป็นโรงเรียนเล็ก เราเป็นเด็กเรียนดีและเก่งในระดับต้น ๆ ของโรงเรียน(นร. 300 กว่า ๆ 5555) ตอนที่เราไปสอบเข้าโรงเรียนหญิงประจำจังหวัด พ่อแม่ คุณครูทุกคนเป็นกำลังใจให้เรา และเราก็สอบเข้าได้ ถึงแม้จะเป็นธรรมดา(top-star มันอยากอ่ะ) เราก็ได้เข้าไปเรียนในโรงเรียนที่เป็นชื่อเสียงของจังหวัด เราก็ยังคงได้ทำกิจกรรมเรื่อย ๆ ถึงแม้ว่าจะได้เข้าแข่งขันมากแบบแต่ก่อน แต่ก็ยังมีร่วมบ้าง ส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมด้วยจะเป็นกิจกรรมอาสามากกว่า แต่ตอนม.2 ก็เริ่มห่างกิจกรรม เพราะรู้สึกว่าการเรียนย่ำแย่ บวกกับที่ตอนนั้นเกเรด้วยเลยห่าง ๆ กิจกรรมทุกอย่าง พอมาม.3 ก็กลับมาทำกิจกรรมบางเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างได้พูดเสียงตามสายในตอนเช้าของโรงเรียน แต่ก็ทำอยู่ไม่กี่ครั้ง จำได้ว่ากิจกรรมที่รู้สึกภูมิใจมากคือ เป็นรำวงหน้าขบวนแห่วันลอยกระทง ซึ่งเป็นกิจกรรมของจังหวัด และโรงเรียนเรา(ในตอนนั้น) ชนะเลิศขบวนแห่ เรารู้สึกดีมากว่าเราเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ขบวนชนะ พอใกล้จบม.3 ก็เริ่มตัดสินใจเรื่องเรียนต่อ เพราะไม่อยากต่อ 4/5/6 รู้ตัวเองดีว่าไปไม่รอดแน่ ๆ แม่เลยบอกว่าให้ต่อปวช. บัญชี แต่ใจเราเองไม่อยากเรียนบัญชี เพราะตอนอยู่ม.ต้น ไม่เคยเรียนคณิตได้เกรดดี ๆ กับเขาเลย รู้สึกว่าเรียนไม่รู้เรื่อง และเป็นวิชาเดียวที่เรียนไม่ได้เรื่อง ที่ได้เกรดดี ๆ ก็มีแต่วิชาที่ไม่ใช่วิชาหลักที่เขาเอาไว้วัดระดับ พอแม่บอกว่าบัญชีถ้าเรียนรู้ไว้มันได้เปรียบกว่า เราจึงตัดสินใจต่อปวช. สาขาบัญชี
และนี้ คือจุดเริ่มต้น
พอเราเข้ามาเรียนระดับปวช. เรารู้สึกกลัวบ้าง เพราะเป็นอะไรที่เราไม่เคยเรียนมาก่อน ปี 1 ผ่านไปก็รู้สึกว่า เฮ้ย เรามันก็ไม่เลวนะ เพราะเกรดออกมาค่อนข้างดีเลย พอขึ้นปี 2 รู้สึกว่ามันยากขึ้นมาก จากที่เรียนจากตอนปี 1 เรารู้สึกเลยว่ามันเริ่มโอเคสำหรับเรา กว่ามันจะผ่านไปมันก็เกือบไม่รอด ขึ้นปี 3 รู้สึกย่ำแย่มาก จากที่ตอนม.ต้นคณิตย่ำแย่แล้ว มาเจอบัญชี บัญชีนะ ผิดสตางค์เดียวก็ผิดหมด ยิ่งงบไม่ลงตัวยิ่งย่ำแย่ เราก็เริ่มเครียด บวกช่วงนั้นผ่าตัดไส้ติ่งอีก จากที่ปกติเป็นคนคิดมาก มากจนเกินคนปกติ เจอแบบนี้เข้าไปก็เครียดสิ และแน่นอนว่าเมื่อเราเป็นคิดมากและวิตกกังวน กิจกรรม(ที่ไม่ร่วมกีฬาสี)เราไม่เข้าร่วมเลย เพราะกลัวเรียนไม่ได้ กลัวเกรดไม่ดี เกรดไม่ถึงแล้วจะไม่ได้เรียนต่อ และมีอีกอย่างนึงที่ทำให้ไม่อยากทำกิจกรรมคือ ตอนปี 1 มีพิธีทางศาสนา แล้วเกิดเหตุการณ์บางอย่างกับตัวเรา หลังจากนั้นมาเริ่มรู้สึกว่ามักมีสายตาแปลก ๆ มองมาที่เรา
พ้นช่วงปวช.มา กำลังจะขึ้นปวส. เรามีความกังวนและคิดมากเรื่อย ๆ เพราะช่วงปวช. เราเรียนได้ไม่ดีเลย เกรดแย่มาก และมีอะไรหลาย ๆ อย่างจนรู้สึกว่าชีวิตฉันไม่มีค่าเลย อยู่ไปก็เป็นแต่ตัวถ่วงคนอื่น ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ เรารู้สึกแบบนั้น จนก่อนเปิดเรียน เราไม่อยากเรียนแล้ว กลัวเรียนไม่ได้ เกรดไม่ถึง สอบไม่ผ่าน แล้วต้องเรียนซ้ำ พอเวลามีอะไรมีกระตุ้นให้รู้สึกแย่ มันคิดฆ่าตัวตายทุกครั้ง จนมีอยู่วันนึงเราทะเลาะกับแม่เรื่องอะไรสักอย่าง แล้วแม่พูดบางคำที่เราฟังแล้วมันรู้สึกย่ำแย่ มันรู้สึกแย่ แย่จนร้องไห้ไม่หยุด เริ่มอาละวาด และทำร้ายตัวเอง เรารู้สึกแย่ เครียด จนไม่รู้จะทะยังไงให้ความรู้สึกนี้หายไป เราเลยเอาเครื่องคิดเลขกระแทกกับหัวแรง ๆ (ถ้านึกไม่ออกว่าแรงแค่ไหน ให้นึกถึงคนฆ่าหมูที่เอาค่อนทุบหัวหมูอะ) จนชาไปครึ่งตัว หยุดร้องไห้ไม่ได้ และเลือกกำเดาไหล พอไปถึงโรงพยาบาลจากที่เริ่มหยุดร้องไห้ พยาบาลถามว่าเป็นอะไรมา ร้องไห้ใหญ่เลยที่นี้ ตอบไปก็ไม่รู้เรื่อง แบบมันหยุดไม่ได้ จนหมอต้องมาฉีดยา(อะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน)ให้ อาการเลยดีขึ้น(บ้าง) แต่ก่อนหน้านี้(ช่วงประถม)เราก็มีนิสัยแบบนี้นะ นิสัยที่ควบคุมไม่ได้ เวลาที่มีอะไรที่ทำให้รู้สึกแย่ เราเหมือนวิตกจริต กังวนและคิดมากเกินไป(ซึ่งตอนนั้นไม่รู้ว่ามันคืออะไร) เคยเป็นหนัก ๆ แค่ครั้งเดียวคือ เกือบฆ่าลูกหมาที่ตัวเองเลี้ยง(แต่ไม่ตายนะ) พอรู้สึกตัวเราเองก็รู้สึกผวานะ และรู้สึกแย่กับเรื่องนั้นมาตลอด
กลับมาที่ขึ้นปวส. เราเรียนแย่มาก เราแทบไม่เข้าเรียนเลย เพราะคิดมากเกินไป กลัวนั้น กลัวนี้ กลัวมากจนไม่กล้าไปเรียน ตอนนั้นเราก็ไม่รู้ว่าเราเป็นอะไร ทำไมถึงเป็นคนแบบนี้ และคิดเสมอว่าเราเป็นคนไม่ดี ไม่มีอะไรดี แย่ แย่ แย่ แย่ และก็แย่ ไม่มีอะไรดีสักอย่าง และเหตุการณ์บางอย่างก็ซ้ำรอยเดิม ปวส.1 ที่วิทยาลัยมีพิธีทางศาสนา(ที่จัด 2 ปีครั้ง) เราก็เป็นเมื่อเดิมเหมือนตอนนั้น แต่เราไม่ได้เป็นหนักมาก ตอนนั้นเรารู้สึกว่าตัวเราไม่ได้เป็นอะไรแล้ว แค่เหน็บกินขาแล้วเดินไปได้ มีเพื่อนสนิทคนหนึ่งกับอาจารย์ฝึกสอนเข้ามาช่วยผยุงไว้ แต่มีอาจารย์คนหนึ่ง(เป็นคนที่ไม่เชื่อแบบหัวเด็ดตีนขาดกับเรื่องแบบนี้)เข้ามากระชากตัวเราแล้วผลักอ.กับเพื่อนเราออก ทั้ง ๆ ที่ทั้ง 2 คนก็บอกไปแล้วว่าเราไม่ได้เป็นอะไร เราก็บอกแล้วว่าเราไม่เป็นอะไรแล้ว แค่เหน็บกินขา แบบทั้งขา แล้วเราก็อ้วนมาก มันเดินไม่ได้ อ.คนนั้นก็ไม่ฟัง หลังจากนั้นก็เหมือนจะมีความคิดที่ย้อนแย้งกันตลอด มีอาจารย์บางคน(แต่ในความรู้สึกเรามันหลายคน)ที่มองเราด้วยสายตาแปลก ๆ พูดแปลก ๆ เหมือนเราเป็นตัวประหลาด มันเลยยิ่งไม่อยากจะไปเรียน พูดอะไรให้ใครฟังก็ไม่ได้ เหมือนไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่เราเป็น พูดให้เพื่อนฟัง เพื่อนก็ทำได้เพียงให้กำลังใจ แต่เราไม่รู้สึกถึงอะไรเลย ตอนนั้นช่วงที่มีความสุขที่สุดคือการติดตามศิลปินที่เราชื่นชอบ นอกนั้นก็มีแต่อะไรที่รู้สึกแย่ไปหมด ขนาดเพื่อนสนิทของตัวเอง เราว่าแบบ.. พอนึกกลับไปตอนนั้น ทำไมเราว่าเพื่อนไปแบบนั้นว่ะ คือไม่มีอะไรดีเลยอ่ะ
แต่พอขึ้นมาปวส.2 อาการมันดีขึ้นนะ ไม่มีความคิดอะไรพวกนั้นเลย เรียนจบอย่างไร้ความกังวน จริง ๆ ก็มีบ้างแต่ไม่เท่าตอนปวส.1 และตอนนี้เราอายุ 20 ปีค่ะ กำลังจะต่อปริญญาตรีที่วิทยาลัยเดิมค่ะ(เปิดหลักสูตรป.ตรีได้ 3 ปีแล้ว)และต้องทำงานไปด้วย แรก ๆ เราไม่คิดอะไรมากเลยค่ะ แต่พอทำไปสักพักเริ่มมีอะไร ๆ หลายอย่างเปลี่ยนแปลง ลืมบอกไปว่าเราทำงานปั๊มค่ะ ทำในช้อปเป็นพนักงานเรียงสินค้า ตอนแรกเราขอเป็นประจำค่ะ แต่ทีนี่ว่ามันต้องเข้ากะ เราเข้ากะไม่ได้ และอาจไม่ได้ไปทำทุกวัน จึงเปลี่ยนเป็นพาร์ทไทม์ ซึ่งทำงานได้แค่ 7 ชม. โอทีไม่ได้ ค่าคอมฯ ไม่ได้ โบนัสไม่มี ทำเกินเวลาก็ได้ไม่เยอะ แล้วเราต้องทำงานเพื่อนำเงินไปจ่ายค่าเรียน เพราะลำพังพ่อกับแม่เงินไม่พอจ่ายแน่นอน ตอนนี้เราเลยรู้สึกว่าความรู้สึกเดิม ๆ ที่เราเคยเป็นมันจะกลับมารุนแรงอีก เพราะตอนนี้เราต้องหางานสำนักงานบัญชีทำ แต่ยังหาไม่ได้ ที่ที่เคยติดต่อกับอาจารย์ที่วิทยาลัยก็ไม่รับคนเพิ่มแล้ว เลยไม่รู้ว่าชีวิตจะได้ไปทางไหน ถ้ายังทำงานที่ปั๊มอยู่ เราไม่มีโอกาสได้ทำงานที่อาจารย์สั่งแน่ ๆ ปกติกลับบ้านมาก็เหมือนตายแล้วอ่ะ แล้วช่วงนี้ยังไม่เปิดเทอม เราก็ได้อยู่แต่กะบ่าย กลับบ้านเกิน 3 ทุ่มทุกวัน บางวัน 4 ทุ่มพึ่งได้กลับ โอทีก็ไม่ได้อีก เลยเหมือนคิดมากไปหมด ใครพูดอะไรก็เริ่มขัดหู เริ่มรู้สึกแย่ เราเลยไม่รู้ว่าเราต้องทำยังไงก็ชีวิตดี
อยากรู้ว่าเราเป็นอะไร เราต้องทำยังไง
ขอความกรุณาไม่ใช่ภาษาเสียดแทงจิตใจกันนะ ตอนนี้เรารู้สึกแย่มากจริง ๆ
ปล.ขออภัยถ้าหัวข้อกับเรื่องที่เล่ามันขัด ๆ กัน
ปลล.ขออภัยถ้าอ่านไม่รู้เรื่อง
ปลลล.เราไม่รู้ว่าต้องแท๊กอะไรบ้าง
ปลลลล.จริง ๆ อยากไปหาหมอนะ ว่าเป็นอะไร แต่ไปแล้วเจอแต่หมอรีบ ยังไม่ทันถามหมอหมดเลย ให้ยาแล้ว.. เฮ้อออ