แม้ว่าประสบการณ์ผมอาจจะสู้หลายคนไม่ได้ แต่อยากเล่าสู่กันฟังครับ เพราะมือใหม่เยอะมากช่วงนี้ จนต้องหนีไปหุ้นต่างประเทศ ให้มือใหม่เอาไปเป็นคติสอนใจนะครับ
เกรินก่อน ผมเป็นคนที่การศึกษาธรรมดาแค่ปริญญาโทสาย IT พนักงานเอกชนกินเงินเดือน ทางบ้านก็ไม่ได้รวย ให้เงินมาแค่ 8000 เอง ตอนนั้นพ่อบอกเอาไป 8000 ที่เหลือก็ไปหาเอาเองครับ ในใจก็บอกได้แล้วผมจะทำให้ดู (ใจสู้ 55555)
ปี 2010 เป็นปีแรกและหางานได้แล้ว จนทำงานไปสักพัก แม่ขอเงินทั้งหมดที่มีไปลงทุนรวม 90000 บาท (ตั๋ว B/E) และอีก 6 เดือน ทางแบงค์จะคืนเงินให้ซึ่งตอนนี้ก็คืนมาหมดแล้ว แต่ตอนนั้นเงินในบัญชี 90000 เหลือ 23.50 บาท ผมก็มานั่งคิดไงให้เงินเพิ่มเร็วๆ
ในที่สุดก็คิดได้ว่า ลองเล่นหุ้นดูดีกว่า และนี่คือจุดเริ่มต้น
ปี 2010-2011 ตอนแรกเล่นไปสักพัก หุ้นตัวแรก คือ KTB ตอนนั้น 12 บาท จำได้ เงินลงทุนทั้งหมดคือ 10000 บาท แถมเล่น Day Trade ด้วยเสียบางได้บางตอนนั้นเล่น กองทุนทอง นำ้มัน หุ้น SET50 รวมแลล้วลงทุนไปรวม 100,000 กว่า สุดท้าย ขาดทุน -20% หนักมาก เพราะเงินที่เอามาลงคือเงินเก็บทั้งหมด (ทุ่มสุดตัว) .............. จากนั้นพอรู้ว่าขาดทุนก็ตัดสินใจล้าง Port หมดทั้งหุ้นและกองทุนทั้งหมด กลับมา คิดว่าทำไมเราถึงขาดทุน เสียใจมาก ลางานไป 3 วัน จนคิดว่าจะออกจากตลาด แต่วันสุดท้ายของการลางานนั้นมีเหตุการณ์อย่างหนึ่งคือ เปิด money channel ไปเจอ ด.ร นิเวศ แกพูดว่า
การลงทุนในหุ้น คือ การลงทุนในกิจการ เราก็มนุษย์เงินเดือน ก็อยากเป็นเจ้าของกิจการเหมือนกัน นั้นคือจุดเริ่มต้น
2 วันต่อมาผมได้เดินเข้า SE-ED หาหนังสือ 3 เล่มที่ลงทุนแนว VI มาอ่าน จากนั้นลงทุนเลย ได้หุ้น TUF (ตัวเปลี่ยนเป็น TU) แต่ยังขาดทุนอยู่เพราะยังไม่รู้จุดเข้า แต่ หุ้นผมพื้นฐานดี ก็เก็บๆมาเรื่อยๆ ในปี 2012 ผมก็มีหุ้นอยู่ 5-6 ตัวใน port หุ้นที่ลงทุนใหม่ตอนแรกๆก็แดงเริ่มเขียวสดใสบวกกับหาหนังมาอ่านเรื่อยๆ จนกลางปี 2012 ตอนนั้นหุ้นขึ้นมาเรื่อยจนถึง 1,200 กว่าจุด หุ้นขึ้นมาดีมาก ตอนปลายๆปี 2012 ผมได้คุยกับคนขับแท็กชี่ระหว่างทางกลับบ้าน เรื่องหุ้น และ ผมจำได้จาก หนังสือหุ้นเล่มหนึ่งบอกไว้ว่า ถ้าแม่ค้ากับคนขับแท็กซี่ คุยเรื่องหุ้น ให้ออกจากตลาดได้แล้ว ผมก็ได้หยุดซื้อหุ้น
ปี 2013 ตอนต้นปีหุ้นขึ้นดีมาก ถึง 1,650 จุดตั้งแต่ตอนต้นปีถึงกลางปี 2013 จากนั้น Fed บอกว่าจะลดวงเงิน QE เท่านั้นแหละครับ ครึ่งวันเช้า -140 จุดบ่ายๆ Rebound เหลือ -70 จุด ตอนพักกลางวันนั้นแทบกรี๊ด สลบ เลยครับ เลยมาตั้งสติใหม่คิดว่า พื้นฐานดี ไม่ต้องขาย Port ผมก็เริ่มเขียวน้อยไปเรื่อยๆผมก็ทำใจครับทนถือต่อไป จนมีอยู่วันหนึ่งไปเปิดเจอ คุณ พิชัย จาวลา เลยได้สูตร Crack เกมหุ้นมาเลย ผ่านมา 2014 port ผม +15-20% จนถึง port 26% บวกกับ กองทุนที่ลงทุนใน USA EUROPE CHINA ที่ซื้อมาตอนต้นปี 2014 ก็โตขึ้น และ หุ้นหลายตัวเติบโตมากครับ แต่ปี 2014 เจอการเมืองทำพิษผมก็มองบวกครับตอนนั้นสวนเลยได้หุ้นมาอีก 3 ตัว
จากนั้นพอปี 2015 เกิดวิกฤติตลาดหุ้นจีน ซึ่งผมก็ได้ขายกองทุนที่ลงทุนใน USA EUROPE CHINA ต้องขอขอบคุณ คุณ พิชัย จาวลา อีกรอบฟาดกำไรไป 30% จากเงินที่ลงทุนในกองทุนต่าง 3 กอง ซึ่งขายก่อนที่ตลาดหุ้นจีนตกหนักๆ 3 เดือน จากนั้นก็เริ่มลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศเนื่องจากตอนนี้เห็นว่าหุ้นหลายตัวในต่างประเทศยังถูกอยู่ โดยใช้หลักการแบบ VI ล้วนๆ สิ้นปี เจอวิกฤติเศรษฐกินบ้านเราเอง ก็ปรับ Port โดย เอาหุ้น Bank ใน Port ออกแล้วเลือกหุ้นขนาดกลางแต่เป็นหุ้นดีมีความมั่นคงสูงหนึ่งนั้นคือหุ้น MC จัดไป 11 บาท สิ้นปี 2015 Port +30% บวกกับ Port ต่างประเทศ +5% ซึ่งตอนปลายปี มีขาดทุนไปบางครับ เสียดายมากครัย ถ้าทนถือไว้ ได้กำไรเยอะมากเลย
ปี 2016 ที่ผ่านมา ผมไม่ลงทุนหุ้นไทยเพิ่มแล้ว เนื่องจากหุ้นแพง หันไปลงทุนในประเทศ Hongkong Singapore แทนเพราะ หุ้นในตลาด HK กับ STI เป็นบริษัทที่ค่อนข้างใหญ่มีหุ้นบางตัวให้ 5-6% กอง REIT ที่โน้นปันผลให้ 6-8% แถมสินทรัพย์ กอง REIT ของต่างประเทศมีกระจายไปหลายๆประเทศกอง REIT ไทยผมก็เคยซื้อนะแต่ไม่ชื้อเพิ่มและขายบางตัวออกไปลงของต่างประเทศแทน กอง REIT ไทยน่าเกลี่ยดมากเพราะเวลาออกกอง REIT มักจะออกเพราะประกันสังคมบ้านเราขอร้องมา และ คนที่จะได้คือประกันสังคมไม่ใช่คนลงทุนและคนที่เอาสินทรัพย์มาเข้ากองความเขาไม่อยากจะเอาเข้าหรอกครับ
จากนั้นเจอ Brexit ผมนี้หวานหมูเลยจัดไปหุ้นต่างประเทศเพิ่ม Key หุ้นแทบไม่ทัน หุ้นไทยลงไป 42 จุด Singapore -70 จุด Hongkong -1000 จุด ซึ่งเป็น Low ของวัน ซึ่งพอตอนปิดตลาด ลบนิดเดียวเองได้กำไรมาเน้นๆ
ปี 2017 ที่ผ่านมานั้นก็ลงหุ้นบางตัวในไทยเพิ่มซึ่งเป็นหุ้นที่กองทุนไม่มีและคนไม่สนใจ ราคานิ่งมาก ตอนนี้ราคาก็นิ่งให้ปันผล 7-8% รอสบายๆ ช่วงปีนี้หุ้นไม่ไปไหนเลย ส่วนหุ้นต่างประเทศจะไปซื้อหุ้นใน EU เพิ่มระหว่างเจอเลือกตั้ง แต่ก็น่าจะผ่านไปได้ครับ
Port หุ้นล่าสุด THAI Stock 30% Offshore Stock (หุ้นต่างประเทศ) 16%
**หมายเหตุ ระหว่างมีใส่เงินเพิ่มด้วยนะครับ ได้เงินที่เหลือจากการใช้จ่ายก็ใส่เพิ่มไปทุกเดือน 5000 ถึง 10000 จนตอนนี้มี port การลงทุนรวมแล้ว
เกือบ 600,000 ความจริงถ้ารวมเงินเก็บได้เป็นล้านครับ แต่เอาไปจัดงานแต่งหมดแล้ว 555555
ข้อคิด
1. การลงทุนให้ประสบความสำเร็จไม่เกี่ยวกับจำนวนเงิน
2. หุ้นที่ดีนั้นราคาจะขึ้นไปสอดรับกับกิจการที่ดี ส่วนการซื้อหุ้นที่ในราคาตำ่นั้นเปรียบเหมือนคุณได้ Margin of Safety เพิ่มขึ้น
3. จงกลัวในเวลาที่คนอื่นกล้า และ กล้าในเวลาที่คนอื่นกลัว
4. การลงทุนต่างประเทศอาจจะสร้างผลตอบแทนพร้อมกับเปิดโอกาสการลงทุนได้มากขึ้นกว่าเดิม
5. การอดทนรอคือสิ่งที่สำคัญพอๆกับการเลือกหุ้น ต่อให้เป็นหุ้นที่ดีมันก็จะไร้ความหมายถ้าคุณขายมันก่อนชะที่หุ้นมันจะขึ้น
6. จิดวิทยาการลงทุนกับทฤษฎีผลประโยชน์นั้นสำคัญมากเพราะมันจะทำให้คุณนั้นเข้าและออกได้ถูกจังหวะ
ึ7. ผมเองลงทุนหุ้นแบบซื้อเก็บ รอปันผลตามรายทาง ซึ่งส่วนตัวคิดดีกว่านั่งซื้อขายในช่วงตลาดไม่ไปไหนแถมเอาเวลาไปทำงานอย่างอื่นได้
8. การลงทุนในหุ้นคือการซื้อกิจการ รู้ว่าบริษัททำอะไร ได้รายได้ทางไหน กำไร ขาดทุน ลูกค้า สินค้าและบริการคืออะไร
9. การลงทุนส่วนใหญ่อาจจะรอถึง 5-10 ปี ซึ่งคนส่วนใหญ่รอไม่ได้ ซึ่ง ถ้าเปรียบเทียบกับการทำธุรกิจและเหมือนคุณเปิดร้านแล้ววันแรก ปีแรกจะหวังกำไรซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้
10. การซื้อหุ้นแพงไม่ได้หมายความว่ามันแพงแล้วราคาจะแพงอีกไม่ได้ ซึ่งถ้าพื้นฐานของบริษัมดีมากๆก็อาจจะคุ้มค่าที่จะซื้อแพงได้ เช่น หุ้น Starbuck Visa Adidas Hermes และ อื่นๆ ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นต่างประเทศเพราะบริษัทใหญ่กว่าไทยมากและกำไรโตไม่ว่าเศรษฐกิจจะถดถอย ส่วนตัวคิดว่าจ่ายแพงได้
เล่าสู่กันฟังประสบการณ์การลงทุน 7 ปี กำลังก้าวสู่ปีที่ 8
เกรินก่อน ผมเป็นคนที่การศึกษาธรรมดาแค่ปริญญาโทสาย IT พนักงานเอกชนกินเงินเดือน ทางบ้านก็ไม่ได้รวย ให้เงินมาแค่ 8000 เอง ตอนนั้นพ่อบอกเอาไป 8000 ที่เหลือก็ไปหาเอาเองครับ ในใจก็บอกได้แล้วผมจะทำให้ดู (ใจสู้ 55555)
ปี 2010 เป็นปีแรกและหางานได้แล้ว จนทำงานไปสักพัก แม่ขอเงินทั้งหมดที่มีไปลงทุนรวม 90000 บาท (ตั๋ว B/E) และอีก 6 เดือน ทางแบงค์จะคืนเงินให้ซึ่งตอนนี้ก็คืนมาหมดแล้ว แต่ตอนนั้นเงินในบัญชี 90000 เหลือ 23.50 บาท ผมก็มานั่งคิดไงให้เงินเพิ่มเร็วๆ
ในที่สุดก็คิดได้ว่า ลองเล่นหุ้นดูดีกว่า และนี่คือจุดเริ่มต้น
ปี 2010-2011 ตอนแรกเล่นไปสักพัก หุ้นตัวแรก คือ KTB ตอนนั้น 12 บาท จำได้ เงินลงทุนทั้งหมดคือ 10000 บาท แถมเล่น Day Trade ด้วยเสียบางได้บางตอนนั้นเล่น กองทุนทอง นำ้มัน หุ้น SET50 รวมแลล้วลงทุนไปรวม 100,000 กว่า สุดท้าย ขาดทุน -20% หนักมาก เพราะเงินที่เอามาลงคือเงินเก็บทั้งหมด (ทุ่มสุดตัว) .............. จากนั้นพอรู้ว่าขาดทุนก็ตัดสินใจล้าง Port หมดทั้งหุ้นและกองทุนทั้งหมด กลับมา คิดว่าทำไมเราถึงขาดทุน เสียใจมาก ลางานไป 3 วัน จนคิดว่าจะออกจากตลาด แต่วันสุดท้ายของการลางานนั้นมีเหตุการณ์อย่างหนึ่งคือ เปิด money channel ไปเจอ ด.ร นิเวศ แกพูดว่า
การลงทุนในหุ้น คือ การลงทุนในกิจการ เราก็มนุษย์เงินเดือน ก็อยากเป็นเจ้าของกิจการเหมือนกัน นั้นคือจุดเริ่มต้น
2 วันต่อมาผมได้เดินเข้า SE-ED หาหนังสือ 3 เล่มที่ลงทุนแนว VI มาอ่าน จากนั้นลงทุนเลย ได้หุ้น TUF (ตัวเปลี่ยนเป็น TU) แต่ยังขาดทุนอยู่เพราะยังไม่รู้จุดเข้า แต่ หุ้นผมพื้นฐานดี ก็เก็บๆมาเรื่อยๆ ในปี 2012 ผมก็มีหุ้นอยู่ 5-6 ตัวใน port หุ้นที่ลงทุนใหม่ตอนแรกๆก็แดงเริ่มเขียวสดใสบวกกับหาหนังมาอ่านเรื่อยๆ จนกลางปี 2012 ตอนนั้นหุ้นขึ้นมาเรื่อยจนถึง 1,200 กว่าจุด หุ้นขึ้นมาดีมาก ตอนปลายๆปี 2012 ผมได้คุยกับคนขับแท็กชี่ระหว่างทางกลับบ้าน เรื่องหุ้น และ ผมจำได้จาก หนังสือหุ้นเล่มหนึ่งบอกไว้ว่า ถ้าแม่ค้ากับคนขับแท็กซี่ คุยเรื่องหุ้น ให้ออกจากตลาดได้แล้ว ผมก็ได้หยุดซื้อหุ้น
ปี 2013 ตอนต้นปีหุ้นขึ้นดีมาก ถึง 1,650 จุดตั้งแต่ตอนต้นปีถึงกลางปี 2013 จากนั้น Fed บอกว่าจะลดวงเงิน QE เท่านั้นแหละครับ ครึ่งวันเช้า -140 จุดบ่ายๆ Rebound เหลือ -70 จุด ตอนพักกลางวันนั้นแทบกรี๊ด สลบ เลยครับ เลยมาตั้งสติใหม่คิดว่า พื้นฐานดี ไม่ต้องขาย Port ผมก็เริ่มเขียวน้อยไปเรื่อยๆผมก็ทำใจครับทนถือต่อไป จนมีอยู่วันหนึ่งไปเปิดเจอ คุณ พิชัย จาวลา เลยได้สูตร Crack เกมหุ้นมาเลย ผ่านมา 2014 port ผม +15-20% จนถึง port 26% บวกกับ กองทุนที่ลงทุนใน USA EUROPE CHINA ที่ซื้อมาตอนต้นปี 2014 ก็โตขึ้น และ หุ้นหลายตัวเติบโตมากครับ แต่ปี 2014 เจอการเมืองทำพิษผมก็มองบวกครับตอนนั้นสวนเลยได้หุ้นมาอีก 3 ตัว
จากนั้นพอปี 2015 เกิดวิกฤติตลาดหุ้นจีน ซึ่งผมก็ได้ขายกองทุนที่ลงทุนใน USA EUROPE CHINA ต้องขอขอบคุณ คุณ พิชัย จาวลา อีกรอบฟาดกำไรไป 30% จากเงินที่ลงทุนในกองทุนต่าง 3 กอง ซึ่งขายก่อนที่ตลาดหุ้นจีนตกหนักๆ 3 เดือน จากนั้นก็เริ่มลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศเนื่องจากตอนนี้เห็นว่าหุ้นหลายตัวในต่างประเทศยังถูกอยู่ โดยใช้หลักการแบบ VI ล้วนๆ สิ้นปี เจอวิกฤติเศรษฐกินบ้านเราเอง ก็ปรับ Port โดย เอาหุ้น Bank ใน Port ออกแล้วเลือกหุ้นขนาดกลางแต่เป็นหุ้นดีมีความมั่นคงสูงหนึ่งนั้นคือหุ้น MC จัดไป 11 บาท สิ้นปี 2015 Port +30% บวกกับ Port ต่างประเทศ +5% ซึ่งตอนปลายปี มีขาดทุนไปบางครับ เสียดายมากครัย ถ้าทนถือไว้ ได้กำไรเยอะมากเลย
ปี 2016 ที่ผ่านมา ผมไม่ลงทุนหุ้นไทยเพิ่มแล้ว เนื่องจากหุ้นแพง หันไปลงทุนในประเทศ Hongkong Singapore แทนเพราะ หุ้นในตลาด HK กับ STI เป็นบริษัทที่ค่อนข้างใหญ่มีหุ้นบางตัวให้ 5-6% กอง REIT ที่โน้นปันผลให้ 6-8% แถมสินทรัพย์ กอง REIT ของต่างประเทศมีกระจายไปหลายๆประเทศกอง REIT ไทยผมก็เคยซื้อนะแต่ไม่ชื้อเพิ่มและขายบางตัวออกไปลงของต่างประเทศแทน กอง REIT ไทยน่าเกลี่ยดมากเพราะเวลาออกกอง REIT มักจะออกเพราะประกันสังคมบ้านเราขอร้องมา และ คนที่จะได้คือประกันสังคมไม่ใช่คนลงทุนและคนที่เอาสินทรัพย์มาเข้ากองความเขาไม่อยากจะเอาเข้าหรอกครับ
จากนั้นเจอ Brexit ผมนี้หวานหมูเลยจัดไปหุ้นต่างประเทศเพิ่ม Key หุ้นแทบไม่ทัน หุ้นไทยลงไป 42 จุด Singapore -70 จุด Hongkong -1000 จุด ซึ่งเป็น Low ของวัน ซึ่งพอตอนปิดตลาด ลบนิดเดียวเองได้กำไรมาเน้นๆ
ปี 2017 ที่ผ่านมานั้นก็ลงหุ้นบางตัวในไทยเพิ่มซึ่งเป็นหุ้นที่กองทุนไม่มีและคนไม่สนใจ ราคานิ่งมาก ตอนนี้ราคาก็นิ่งให้ปันผล 7-8% รอสบายๆ ช่วงปีนี้หุ้นไม่ไปไหนเลย ส่วนหุ้นต่างประเทศจะไปซื้อหุ้นใน EU เพิ่มระหว่างเจอเลือกตั้ง แต่ก็น่าจะผ่านไปได้ครับ
Port หุ้นล่าสุด THAI Stock 30% Offshore Stock (หุ้นต่างประเทศ) 16%
**หมายเหตุ ระหว่างมีใส่เงินเพิ่มด้วยนะครับ ได้เงินที่เหลือจากการใช้จ่ายก็ใส่เพิ่มไปทุกเดือน 5000 ถึง 10000 จนตอนนี้มี port การลงทุนรวมแล้ว
เกือบ 600,000 ความจริงถ้ารวมเงินเก็บได้เป็นล้านครับ แต่เอาไปจัดงานแต่งหมดแล้ว 555555
ข้อคิด
1. การลงทุนให้ประสบความสำเร็จไม่เกี่ยวกับจำนวนเงิน
2. หุ้นที่ดีนั้นราคาจะขึ้นไปสอดรับกับกิจการที่ดี ส่วนการซื้อหุ้นที่ในราคาตำ่นั้นเปรียบเหมือนคุณได้ Margin of Safety เพิ่มขึ้น
3. จงกลัวในเวลาที่คนอื่นกล้า และ กล้าในเวลาที่คนอื่นกลัว
4. การลงทุนต่างประเทศอาจจะสร้างผลตอบแทนพร้อมกับเปิดโอกาสการลงทุนได้มากขึ้นกว่าเดิม
5. การอดทนรอคือสิ่งที่สำคัญพอๆกับการเลือกหุ้น ต่อให้เป็นหุ้นที่ดีมันก็จะไร้ความหมายถ้าคุณขายมันก่อนชะที่หุ้นมันจะขึ้น
6. จิดวิทยาการลงทุนกับทฤษฎีผลประโยชน์นั้นสำคัญมากเพราะมันจะทำให้คุณนั้นเข้าและออกได้ถูกจังหวะ
ึ7. ผมเองลงทุนหุ้นแบบซื้อเก็บ รอปันผลตามรายทาง ซึ่งส่วนตัวคิดดีกว่านั่งซื้อขายในช่วงตลาดไม่ไปไหนแถมเอาเวลาไปทำงานอย่างอื่นได้
8. การลงทุนในหุ้นคือการซื้อกิจการ รู้ว่าบริษัททำอะไร ได้รายได้ทางไหน กำไร ขาดทุน ลูกค้า สินค้าและบริการคืออะไร
9. การลงทุนส่วนใหญ่อาจจะรอถึง 5-10 ปี ซึ่งคนส่วนใหญ่รอไม่ได้ ซึ่ง ถ้าเปรียบเทียบกับการทำธุรกิจและเหมือนคุณเปิดร้านแล้ววันแรก ปีแรกจะหวังกำไรซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้
10. การซื้อหุ้นแพงไม่ได้หมายความว่ามันแพงแล้วราคาจะแพงอีกไม่ได้ ซึ่งถ้าพื้นฐานของบริษัมดีมากๆก็อาจจะคุ้มค่าที่จะซื้อแพงได้ เช่น หุ้น Starbuck Visa Adidas Hermes และ อื่นๆ ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นต่างประเทศเพราะบริษัทใหญ่กว่าไทยมากและกำไรโตไม่ว่าเศรษฐกิจจะถดถอย ส่วนตัวคิดว่าจ่ายแพงได้