มันเป็นเรื่องราวความรักครั้งแรกของเราเอง
ที่เป็นเหมือนนิยายดีๆ เรื่องหนึ่งที่อยากจะนำมาแบ่งปันให้เพื่อนๆได้รู้
มันจะเรียกว่าเป็นความไม่รู้ หรือความผิดพลาดของชีวิตก็ได้มั้ง
แต่คำพูดนั้นอาจจะดูโหดร้ายไปหน่อย 555+
เป็นเพราะอะไรกันนะ ถึงทำให้คนที่บอกเลิกถูกตราหน้าว่าทำผิด
แล้วคนอย่างเราก็รู้สึกผิดมาจนถึงทุกวันนี้
"เขารักเรามากไปจนมองว่าที่เราทำมันน้อยไป" "ส่วนเราก็รักเขาแต่เขาก็ดูเยอะไป"
สุดท้ายก็คือความไม่ลงตัว
อยากส่งไปให้ถึง (มะโนไปไกล 55)
ตอนที่ 1
ต้องขอเกริ่นก่อนว่า เราเป็นเด็กผู้หญิงธรรมดาๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดจะมีฟงมีแฟนเหมือนกับคนอื่นๆ อาจจะเป็นเพราะโลกสูงนิดๆ หรือยังติดอยู่ในโลกของจิตนาการ(ซีรีย์ การ์ตูน บลาๆๆ) หรืออาจจะเจ็บช้ำจากความรักข้างเดียวมามากมาย จนกระทั่งได้เข้ามาในมหาลัยมาเจอคนๆนึงที่ทำให้ชีวิตเปลี่ยนไป
ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้รู้จักและเป็นเพื่อนกัน เขาเป็นคนนิสัยดี เงียบๆ นิ่งๆ เรียบร้อย ไม่ได้โดดเด่นอะไร และเราก็มองเขาเป็นผู้ชายธรรมดาคนนึงที่ไม่ได้รู้สึกใจเต้นตุ๊บตับเหมือนที่เรามองคนอื่นๆที่เราเคยชอบด้วยซ้ำ แต่เราก็ดันไปล่วงรู้ตวามลับว่าเขานั้นแอบมองเราและชอบเรามาสักพักแล้ว ด้วยฝีมือการยุยงของเพื่อน ทำให้เราสองคนกลายเป็นเหมือนคู่จิ้นโดยปริยาย ช่วงแรกๆ เราก็ขำๆไปตามน้ำ เพื่อให้วงสนทนาสนุกสนาน แต่การทำอย่างนั้นอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของฉนวนเรื่องราวในครั้งนี้ เขาเริ่มคุยกับเรามาขึ้น ช่วยเหลือเรามาขึ้น เดินเข้ามาหาเรามาขึ้น ซึ่งในขณะนั้นเองเราก็ดันมีคนที่ชอบอยู่แล้ว เขาเลยจะดูเหมือนพยายามอยู่ข้างเดียว แต่ด้วยความที่เป็นชะนีรู้ตัวช้าและไม่เคยปฏิเสธคนมาก่อน จุดนี้เลยอาจจะเป็นเรื่องผิดพลาดที่เราเองไม่ได้ตอบปฏิเสธเขาไปตรงๆ จนกระทั้งเขาเลิกทำไปเอง (ขอบโทษนะ) แต่แล้ว
"คนที่เราชอบเขาก็ไม่ชอบเรา คนที่เขาชอบเรา เราก็ดันไม่ชอบเขา"
เราอกหักทั้งๆที่ยังไม่ได้เป็นแฟนกัน ทำให้เราค่อนข้างเหงา และเศร้ามาก อยากหลุดพ้นจากตรงนี้ เพื่อนจึงแนะนำให้ลองมองเขา เขาที่ทำดีกับเราเสมอมา ตอนนั้นเลยคิดว่า เราควรจะมองมุมใหม่ได้แล้ว เราควรจะชอบคนที่เขาชอบเราสิ ดีกว่าได้แต่มองคนที่เราชอบสิ เพราะถ้าเขาชอบเรา เขาจะไม่มีวันทำให้เราเสียใจ สิ่งเดียวที่จะทำให้หลุดจากวงจรรักสามเศร้า คือ...เราต้องรักเขา (คนที่เขาชอบเราสินะ) พออ่านมาถึงจุดนี้หลายๆคนคงคิดว่า เราเป็นคนประเภทเอาแต่ได้ หรือเป็นคนหลายใจทำนองนั้น แต่ตอนนั้นเราคิดจะจริงจังกับคนๆนี้นะ เพราะเราไม่เคยมีแฟนหรือมีใครที่พอจะเดินเข้ามาในหัวใจเราได้เลย เราคิดอย่างนั้นว่า คนนี้อาจจะเป็นคนที่ใช่ แต่พอคิดได้แบบนั้นเราเลยให้โอกาสเขา เราใช้เวลาจีบกันประมาณ 1 ปี หรืออาจจะมากกว่านั้นด้วยซ้ำ เพื่อจะได้เข้าใจกันมากขึ้น และเพื่อพยายามให้เห็นธาตุแท้ที่เป็นเขา จนกระทั้งเขาเห็นไดอารีของเราที่เคยเขียนตอนไปเชียร์เขาแข่งกีฬา เขาถึงกับพกความมั่นใจมาสารภาพรัก ขอเป็นแฟนทีเดียว [แต่ไดอารีนั้นก็เป็นความรู้สึกเมื่อนานมาแล้ว ความรู้สึกของเพื่อนที่มาเชียร์และคอยให้กำลังใจ มันอาจจะทำให้เขาคิดไปเองในตอนนั้น] แต่ด้วยความตกใจและไม่เคยมีใครมาสารภาพรักมาก่อน ทำให้รู้สึกตื่นเต้นจนไม่รู้ว่าความตื่นเต้นนี้คือดีใจหรืออะไรกันแน่ ด้วยความไม่แน่ใจและคววมคิดหัวโบราณที่อยากจะมีแฟนคนเดียวไปจนถึงแต่งงาน มองผู้ชายจะมาเป็นแฟนหมายถึงคู่ชีวิต เลยขอเวลาคิดคำตอบ 1 เดือน ภายใน 1 เดือนนี้เขาได้มีโอกาสมาเจอพ่อแม่เรา พ่อแม่เราก็เฉยๆไม่ได้ว่าอะไร รวมถึงแม่เรายังดูชื่นชมเขาว่าเขาเป็นคนดีอีกด้วย ทำให้เรารู้สึกหาคำตอบได้ง่ายขึ้น และตอบตกลงคบกับเขาไป
ด้วยความไม่เคยมีแฟนมาก่อนทำให้เราบอกเขาว่า ขอทำตัวเหมือนเดิม อาจจะไม่มีเปลี่ยนแปลงไป รวมถึงเป็นคนไม่ชอบกระโตกกระตากกับเรื่องเขินๆแบบนี้ เลยจะไม่ขอลงฟ่งลงเฟสเหมือนคู่อื่นๆ ซึ่งเขาก็เห็นด้วย เขาก็ไม่ได้อยากทำแบบนั้นอยู่แล้ว ทุกอย่างดูจะไปได้สวย แต่เพียงแค่ 3 วันผ่านไป เรากลับรู้สึกอึดอัดใจอย่างประหลาด วันเวลาค่อยๆผ่านไปกับเขา ที่เขามาในชีวิตเรา เข้ามาใกล้เรื่อยๆจนอึดอัด ทำให้เห็นเขาที่มีอีกมุมหนึ่งที่ไม่รู้จัก ที่ชอบพูดจาหวานชวนเลี่ยน ชอบคุยแชทตลอดเวลา ชอบจู้จี้จุกจิก ชอบตามตื้อ และอื่นๆ ที่คนอย่างเรารู้สึกว่าไม่ชอบ แต่ก็ได้แต่คิดว่า เราเลือกแล้ว สิ่งที่เราควรทำคือประคองความรักให้ได้ ปรับตัวเอง พยายามพูดจากด้วยคำหวานชวนน่าขนลุกให้เขาฟัง ทั้งๆที่นี่ไม่ใช้นิสัยของเราเลย
พยายามจนกระทั้งใกล้ครบ 1 เดือน ก็เกิดเหตุการณ์แห่งความขัดแย้งกัน คือเราไม่สบายอย่างหนัก แต่ยังต้องสอบ ทั้งๆที่กำลังฝืนตัวเองเพื่ออ่านหนังสืออยู่ เขาก็แชทมาคุยด้วย บอกว่าเขานั่งอยู่โต๊ะข้างหลัง เห็นเรานอนอ่านหนังสือ เราเลยบอกว่าไม่สบาย กำลังจะสอบด้วย แล้วเราก็อ่านหนังสือต่อไปด้วยสภาพนั้น จากนั้นแชทก็เด้งรัวๆ เราตอบเขาด้วยสติกเกอร์ตัวนึง และบอกว่าเราอ่านหนังสือก่อนนะ จากนั้นแชทก็เด้งอีกรัวๆ เราก็เลยคว่ำมือถือไว้ เพราะอ่านหนังสือไม่ทันแล้ว จากนั้น ก็ได้ยินเสียงอีกรัวๆ และเสียงเก็บของดังจากโต๊ะข้างหลัง ทำให้เราหันไปมอง เห็นว่าเขาลุกออกไปด้วยท่าทางๆไม่ดี เราเปิดดูแชทแล้วพบประโยคสุดท้ายว่า "เธอไม่รักเขาแล้วใช่มั้ย" ตอนนั้นอึ้งไปเลย ว่าแค่ไม่ตอบแชทนี่นะ?! เราเลยไล่ดูเรื่องว่าเราพลาดอะไรไปมั้ย สุดท้ายก็ไม่มีอะไรกับแชทนั้นเลย พยายามให้เราคุยเล่นด้วยเท่านั้น ตอนนั้นด้วยความไม่สบายและเครียดเรื่องสอบ ทำให้สมองคิดว่า ไม่ไหวแล้ว เราพยายามแล้วนะ เขาไม่มองความรู้สึกเราเลยนี่หน่า บลาๆๆ เลยคิดว่าเราไปต่อไม่ไหวแล้ว และการมีใครสักคนมาอยู่ข้างๆคงไม่ใช่วิสัยเราเป็นแน่
หลังจากวันนั้นเราก็ขอลาจากเขา แต่เขาก็คงพยายามตามตื้อเรื่อยมา แต่คนอย่างเราเป็นคนตัดใจจากอะไรแล้ว คือตัดใจจริงๆ เขาก็เขาหาเราไม่ได้อีกพักใหญ่ๆ จนกระทั้งมีรุ่นพี่มาขอให้เรากลับไปคืนดีกับเขา กลับไปเป็นเพื่อนของเขา เพราะเขานั้นมาระบายร้องไห้กับรุ่นพี่ รวมถึงเพื่อนของเขาก็มาขอร้องเช่นกัน เพราะเขาไม่เป็นอันเรียนเลย เรารู้สึกสองอย่างคือ ทำไมเขาต้องยึดติดชีวิตเราจนเขาทำร้ายตัวเองแบบนี้ด้วย และเราก็รู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องแย่ สุดท้ายเราเลยตัดสินใจ ยกโทษให้เขา อย่างน้อยก็ไม่ต้องมาบาดหมางกัน และก็ยอมให้เขาเป็นเพื่อนเหมือนเดิม แต่คงไม่ได้สนิทเท่าที่ผ่านมา เมื่อเขาได้ยินอย่างนั้น เขาก็ทำท่าน้ำตาจะไหล และบอกกลับมาว่า "แค่นั้นก็พอแล้ว" เราก็โอเค แต่คำว่าพอแล้วของเขาก็คงไม่ได้หมายความว่าพอจริงๆ
ภายใน 1 ปีถัดมา เขาพยายามเขาใกล้เรามากขึ้นๆ และสนิทกับเรามากขึ้นๆ ตอนนั้นคือไม่ได้คิดอะไรกับเขาแล้ว แต่ก็รู้สึกว่า ถ้าเขาเป็นเพื่อน เขาก็ถือว่าเป็นคนดีคนหนึ่งเลยนะ เราเลยให้ความสนิทและความไว้วางใจเขาอีกครั้ง โดยไม่ได้คิดหน้าคิดหลังว่าอะไรจะเกิดขึ้นตามมา และก็ไม่คิดว่านั้นคือการที่เขาต้องการจะเข้ามาในชีวิตเราอีกครั้ง
เมื่อเริ่มรู้ตัว เขาก็เริ่มเข้ามาใกล้เรื่อยๆจนคนอื่นๆเริ่มกลับมาล้อเรื่องคู่จิ้นอีกครั้ง คราวนี้เรากล้าที่จะคุยกับเขามาขึ้น ว่าเราไม่โอเคที่เพื่อนล้อแบบนี้ เขาก็โอเค แต่เขาก็ไม่ได้ทำอะไร จนเราต้องบอกเขาใหม่ว่า ถ้าเพื่อนล้อมาก็ปฏิเสธหน่อย อย่าให้เราปฏิเสธคนเดียว คือเราเข้าใจนะว่าเขาคงมีความสุขกับการถูกล้อตรงนี้ แต่เราไม่สุขด้วยเลย
วันเวลาผ่านไป การทำกิจกรรมมหาลัยด้วยกันทำให้เราใกล้ชิดกันมาขึ้น รวมถึงช่วงนั้นเราโดนคนเข้ามาขายขนมจีบเยอะจนเครียด (เครียดว่าจะปฏิเสธยังไงให้เลิกตามตื้อ) แล้วพี่ที่เคยทำเราอกหักดันมาเชียร์ให้เรากับเขาคู่กับอีก และเขาก็รุกหนักมากตอนนั้น เราก็แขวเลย (ไม่ชอบตัวเองเลยที่หักแน่นไม่พอ ขอบโทษนะ) บางทีตรงจุดนี้อาจจะทำให้เขาคิดไปไกลอีกครั้งก็เป็นได้
จนกระทั้งเขามาชวนเราไปเที่ยวสองคน ไปขออนุญาติถึงแม่เรา แล้วแม่ดันอนุญาติอีก และยังบอกว่าคนนี้ไว้ใจได้ เรารู้ทันทีว่าเขามีแผน จะสารภาพอีกรอบแน่ๆ เราเตรียมคำพูดที่จะทำให้เขารู้สึกเจ็บน้อยที่สุดถ้าเราจะปฏิเสธ ปรึกษาแม่ว่า เอาไงดี บลาๆๆ หาข้อมูลมาพร้อมปฏิเสธ พอเวลาจริงเขาก็สารภาพจริงๆด้วย พอเตรียมจะปฏิเสธตามที่เตรียมมา เขาก็เปิดโหมดจะร้องไห้ และไกลเกลี่ยให้เราลองคบกับเขาดู เขาพยายามบอกว่าตลอดเวลาว่าเขาได้เปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อเรามาโดยตลอด เขาอยากให้เราเห็นเขา ว่าเขาจะดูแลเราได้ บลาๆๆ คำพูดมากมายที่เขาบอกให้เรารู้สึกว่าเขามีค่ามากพอ ถ้าเราทิ้งเขาไปเราจะต้องเป็นฝ่ายเสียใจ คำพูดหลายๆคำก็ทำให้เราฉุดคิด และคิดมากขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้าย เขาจบด้วยประโยคที่บอกว่า ขอให้เรานึกถึงแต่ปัจจุบันว่าเรารู้สึกดีกับเขามั้ย ถ้ารู้สึกดีก็คบกับเขาได้มั้ย ไม่ต้องไปคิดถึงอนาคตว่าจะเป็นยังไง เพราะอนาคตเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ใช่! เขาพูดถูก เพราะว่าเรานึกถึงอนาคตว่าเรายังจะยังรักเขาอยู่ไหม เราจะรับเขาที่เป็นเขาเองได้หรือเปล่า และรักเราจะอยู่รอดไหม.... แต่พอคำพูดของเขาเลยทำให้เราใจอ่อน ยอมที่จะคบกับเขาอีกครั้ง โดยมีเงื่อนไขว่า ถ้าวันนึงเราเลิกกันจะกลับมาเป็นเพื่อนเหมือนเดิมได้ไหม เขาก็ตอบกลับมาว่า "ได้สิ" (คงไม่มีใครที่เขามั่นใจว่าจะรักกันจริง จะมาพูดประโยคนี้หรอก จริงมั้ย TT )
มีทั้งหมด 3 ตอนนะคะเพื่อนๆ [ตอน 2 และ 3 อยู่ในช่องความคิดเห็นน้าาา]
แม้จะพยายามทำให้ความรักของเราทั้งคู่เกิดขึ้น แต่ก็ยังทำให้เราต้องเลิกกัน [เพราะอะไรคนบอกเลิกถึงเป็นคนผิดเสมอ T^T]
ที่เป็นเหมือนนิยายดีๆ เรื่องหนึ่งที่อยากจะนำมาแบ่งปันให้เพื่อนๆได้รู้
มันจะเรียกว่าเป็นความไม่รู้ หรือความผิดพลาดของชีวิตก็ได้มั้ง
แต่คำพูดนั้นอาจจะดูโหดร้ายไปหน่อย 555+
เป็นเพราะอะไรกันนะ ถึงทำให้คนที่บอกเลิกถูกตราหน้าว่าทำผิด
แล้วคนอย่างเราก็รู้สึกผิดมาจนถึงทุกวันนี้
ตอนที่ 1
ต้องขอเกริ่นก่อนว่า เราเป็นเด็กผู้หญิงธรรมดาๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดจะมีฟงมีแฟนเหมือนกับคนอื่นๆ อาจจะเป็นเพราะโลกสูงนิดๆ หรือยังติดอยู่ในโลกของจิตนาการ(ซีรีย์ การ์ตูน บลาๆๆ) หรืออาจจะเจ็บช้ำจากความรักข้างเดียวมามากมาย จนกระทั่งได้เข้ามาในมหาลัยมาเจอคนๆนึงที่ทำให้ชีวิตเปลี่ยนไป
ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้รู้จักและเป็นเพื่อนกัน เขาเป็นคนนิสัยดี เงียบๆ นิ่งๆ เรียบร้อย ไม่ได้โดดเด่นอะไร และเราก็มองเขาเป็นผู้ชายธรรมดาคนนึงที่ไม่ได้รู้สึกใจเต้นตุ๊บตับเหมือนที่เรามองคนอื่นๆที่เราเคยชอบด้วยซ้ำ แต่เราก็ดันไปล่วงรู้ตวามลับว่าเขานั้นแอบมองเราและชอบเรามาสักพักแล้ว ด้วยฝีมือการยุยงของเพื่อน ทำให้เราสองคนกลายเป็นเหมือนคู่จิ้นโดยปริยาย ช่วงแรกๆ เราก็ขำๆไปตามน้ำ เพื่อให้วงสนทนาสนุกสนาน แต่การทำอย่างนั้นอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของฉนวนเรื่องราวในครั้งนี้ เขาเริ่มคุยกับเรามาขึ้น ช่วยเหลือเรามาขึ้น เดินเข้ามาหาเรามาขึ้น ซึ่งในขณะนั้นเองเราก็ดันมีคนที่ชอบอยู่แล้ว เขาเลยจะดูเหมือนพยายามอยู่ข้างเดียว แต่ด้วยความที่เป็นชะนีรู้ตัวช้าและไม่เคยปฏิเสธคนมาก่อน จุดนี้เลยอาจจะเป็นเรื่องผิดพลาดที่เราเองไม่ได้ตอบปฏิเสธเขาไปตรงๆ จนกระทั้งเขาเลิกทำไปเอง (ขอบโทษนะ) แต่แล้ว "คนที่เราชอบเขาก็ไม่ชอบเรา คนที่เขาชอบเรา เราก็ดันไม่ชอบเขา"
เราอกหักทั้งๆที่ยังไม่ได้เป็นแฟนกัน ทำให้เราค่อนข้างเหงา และเศร้ามาก อยากหลุดพ้นจากตรงนี้ เพื่อนจึงแนะนำให้ลองมองเขา เขาที่ทำดีกับเราเสมอมา ตอนนั้นเลยคิดว่า เราควรจะมองมุมใหม่ได้แล้ว เราควรจะชอบคนที่เขาชอบเราสิ ดีกว่าได้แต่มองคนที่เราชอบสิ เพราะถ้าเขาชอบเรา เขาจะไม่มีวันทำให้เราเสียใจ สิ่งเดียวที่จะทำให้หลุดจากวงจรรักสามเศร้า คือ...เราต้องรักเขา (คนที่เขาชอบเราสินะ) พออ่านมาถึงจุดนี้หลายๆคนคงคิดว่า เราเป็นคนประเภทเอาแต่ได้ หรือเป็นคนหลายใจทำนองนั้น แต่ตอนนั้นเราคิดจะจริงจังกับคนๆนี้นะ เพราะเราไม่เคยมีแฟนหรือมีใครที่พอจะเดินเข้ามาในหัวใจเราได้เลย เราคิดอย่างนั้นว่า คนนี้อาจจะเป็นคนที่ใช่ แต่พอคิดได้แบบนั้นเราเลยให้โอกาสเขา เราใช้เวลาจีบกันประมาณ 1 ปี หรืออาจจะมากกว่านั้นด้วยซ้ำ เพื่อจะได้เข้าใจกันมากขึ้น และเพื่อพยายามให้เห็นธาตุแท้ที่เป็นเขา จนกระทั้งเขาเห็นไดอารีของเราที่เคยเขียนตอนไปเชียร์เขาแข่งกีฬา เขาถึงกับพกความมั่นใจมาสารภาพรัก ขอเป็นแฟนทีเดียว [แต่ไดอารีนั้นก็เป็นความรู้สึกเมื่อนานมาแล้ว ความรู้สึกของเพื่อนที่มาเชียร์และคอยให้กำลังใจ มันอาจจะทำให้เขาคิดไปเองในตอนนั้น] แต่ด้วยความตกใจและไม่เคยมีใครมาสารภาพรักมาก่อน ทำให้รู้สึกตื่นเต้นจนไม่รู้ว่าความตื่นเต้นนี้คือดีใจหรืออะไรกันแน่ ด้วยความไม่แน่ใจและคววมคิดหัวโบราณที่อยากจะมีแฟนคนเดียวไปจนถึงแต่งงาน มองผู้ชายจะมาเป็นแฟนหมายถึงคู่ชีวิต เลยขอเวลาคิดคำตอบ 1 เดือน ภายใน 1 เดือนนี้เขาได้มีโอกาสมาเจอพ่อแม่เรา พ่อแม่เราก็เฉยๆไม่ได้ว่าอะไร รวมถึงแม่เรายังดูชื่นชมเขาว่าเขาเป็นคนดีอีกด้วย ทำให้เรารู้สึกหาคำตอบได้ง่ายขึ้น และตอบตกลงคบกับเขาไป
ด้วยความไม่เคยมีแฟนมาก่อนทำให้เราบอกเขาว่า ขอทำตัวเหมือนเดิม อาจจะไม่มีเปลี่ยนแปลงไป รวมถึงเป็นคนไม่ชอบกระโตกกระตากกับเรื่องเขินๆแบบนี้ เลยจะไม่ขอลงฟ่งลงเฟสเหมือนคู่อื่นๆ ซึ่งเขาก็เห็นด้วย เขาก็ไม่ได้อยากทำแบบนั้นอยู่แล้ว ทุกอย่างดูจะไปได้สวย แต่เพียงแค่ 3 วันผ่านไป เรากลับรู้สึกอึดอัดใจอย่างประหลาด วันเวลาค่อยๆผ่านไปกับเขา ที่เขามาในชีวิตเรา เข้ามาใกล้เรื่อยๆจนอึดอัด ทำให้เห็นเขาที่มีอีกมุมหนึ่งที่ไม่รู้จัก ที่ชอบพูดจาหวานชวนเลี่ยน ชอบคุยแชทตลอดเวลา ชอบจู้จี้จุกจิก ชอบตามตื้อ และอื่นๆ ที่คนอย่างเรารู้สึกว่าไม่ชอบ แต่ก็ได้แต่คิดว่า เราเลือกแล้ว สิ่งที่เราควรทำคือประคองความรักให้ได้ ปรับตัวเอง พยายามพูดจากด้วยคำหวานชวนน่าขนลุกให้เขาฟัง ทั้งๆที่นี่ไม่ใช้นิสัยของเราเลย
พยายามจนกระทั้งใกล้ครบ 1 เดือน ก็เกิดเหตุการณ์แห่งความขัดแย้งกัน คือเราไม่สบายอย่างหนัก แต่ยังต้องสอบ ทั้งๆที่กำลังฝืนตัวเองเพื่ออ่านหนังสืออยู่ เขาก็แชทมาคุยด้วย บอกว่าเขานั่งอยู่โต๊ะข้างหลัง เห็นเรานอนอ่านหนังสือ เราเลยบอกว่าไม่สบาย กำลังจะสอบด้วย แล้วเราก็อ่านหนังสือต่อไปด้วยสภาพนั้น จากนั้นแชทก็เด้งรัวๆ เราตอบเขาด้วยสติกเกอร์ตัวนึง และบอกว่าเราอ่านหนังสือก่อนนะ จากนั้นแชทก็เด้งอีกรัวๆ เราก็เลยคว่ำมือถือไว้ เพราะอ่านหนังสือไม่ทันแล้ว จากนั้น ก็ได้ยินเสียงอีกรัวๆ และเสียงเก็บของดังจากโต๊ะข้างหลัง ทำให้เราหันไปมอง เห็นว่าเขาลุกออกไปด้วยท่าทางๆไม่ดี เราเปิดดูแชทแล้วพบประโยคสุดท้ายว่า "เธอไม่รักเขาแล้วใช่มั้ย" ตอนนั้นอึ้งไปเลย ว่าแค่ไม่ตอบแชทนี่นะ?! เราเลยไล่ดูเรื่องว่าเราพลาดอะไรไปมั้ย สุดท้ายก็ไม่มีอะไรกับแชทนั้นเลย พยายามให้เราคุยเล่นด้วยเท่านั้น ตอนนั้นด้วยความไม่สบายและเครียดเรื่องสอบ ทำให้สมองคิดว่า ไม่ไหวแล้ว เราพยายามแล้วนะ เขาไม่มองความรู้สึกเราเลยนี่หน่า บลาๆๆ เลยคิดว่าเราไปต่อไม่ไหวแล้ว และการมีใครสักคนมาอยู่ข้างๆคงไม่ใช่วิสัยเราเป็นแน่
หลังจากวันนั้นเราก็ขอลาจากเขา แต่เขาก็คงพยายามตามตื้อเรื่อยมา แต่คนอย่างเราเป็นคนตัดใจจากอะไรแล้ว คือตัดใจจริงๆ เขาก็เขาหาเราไม่ได้อีกพักใหญ่ๆ จนกระทั้งมีรุ่นพี่มาขอให้เรากลับไปคืนดีกับเขา กลับไปเป็นเพื่อนของเขา เพราะเขานั้นมาระบายร้องไห้กับรุ่นพี่ รวมถึงเพื่อนของเขาก็มาขอร้องเช่นกัน เพราะเขาไม่เป็นอันเรียนเลย เรารู้สึกสองอย่างคือ ทำไมเขาต้องยึดติดชีวิตเราจนเขาทำร้ายตัวเองแบบนี้ด้วย และเราก็รู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องแย่ สุดท้ายเราเลยตัดสินใจ ยกโทษให้เขา อย่างน้อยก็ไม่ต้องมาบาดหมางกัน และก็ยอมให้เขาเป็นเพื่อนเหมือนเดิม แต่คงไม่ได้สนิทเท่าที่ผ่านมา เมื่อเขาได้ยินอย่างนั้น เขาก็ทำท่าน้ำตาจะไหล และบอกกลับมาว่า "แค่นั้นก็พอแล้ว" เราก็โอเค แต่คำว่าพอแล้วของเขาก็คงไม่ได้หมายความว่าพอจริงๆ
ภายใน 1 ปีถัดมา เขาพยายามเขาใกล้เรามากขึ้นๆ และสนิทกับเรามากขึ้นๆ ตอนนั้นคือไม่ได้คิดอะไรกับเขาแล้ว แต่ก็รู้สึกว่า ถ้าเขาเป็นเพื่อน เขาก็ถือว่าเป็นคนดีคนหนึ่งเลยนะ เราเลยให้ความสนิทและความไว้วางใจเขาอีกครั้ง โดยไม่ได้คิดหน้าคิดหลังว่าอะไรจะเกิดขึ้นตามมา และก็ไม่คิดว่านั้นคือการที่เขาต้องการจะเข้ามาในชีวิตเราอีกครั้ง
เมื่อเริ่มรู้ตัว เขาก็เริ่มเข้ามาใกล้เรื่อยๆจนคนอื่นๆเริ่มกลับมาล้อเรื่องคู่จิ้นอีกครั้ง คราวนี้เรากล้าที่จะคุยกับเขามาขึ้น ว่าเราไม่โอเคที่เพื่อนล้อแบบนี้ เขาก็โอเค แต่เขาก็ไม่ได้ทำอะไร จนเราต้องบอกเขาใหม่ว่า ถ้าเพื่อนล้อมาก็ปฏิเสธหน่อย อย่าให้เราปฏิเสธคนเดียว คือเราเข้าใจนะว่าเขาคงมีความสุขกับการถูกล้อตรงนี้ แต่เราไม่สุขด้วยเลย
วันเวลาผ่านไป การทำกิจกรรมมหาลัยด้วยกันทำให้เราใกล้ชิดกันมาขึ้น รวมถึงช่วงนั้นเราโดนคนเข้ามาขายขนมจีบเยอะจนเครียด (เครียดว่าจะปฏิเสธยังไงให้เลิกตามตื้อ) แล้วพี่ที่เคยทำเราอกหักดันมาเชียร์ให้เรากับเขาคู่กับอีก และเขาก็รุกหนักมากตอนนั้น เราก็แขวเลย (ไม่ชอบตัวเองเลยที่หักแน่นไม่พอ ขอบโทษนะ) บางทีตรงจุดนี้อาจจะทำให้เขาคิดไปไกลอีกครั้งก็เป็นได้
จนกระทั้งเขามาชวนเราไปเที่ยวสองคน ไปขออนุญาติถึงแม่เรา แล้วแม่ดันอนุญาติอีก และยังบอกว่าคนนี้ไว้ใจได้ เรารู้ทันทีว่าเขามีแผน จะสารภาพอีกรอบแน่ๆ เราเตรียมคำพูดที่จะทำให้เขารู้สึกเจ็บน้อยที่สุดถ้าเราจะปฏิเสธ ปรึกษาแม่ว่า เอาไงดี บลาๆๆ หาข้อมูลมาพร้อมปฏิเสธ พอเวลาจริงเขาก็สารภาพจริงๆด้วย พอเตรียมจะปฏิเสธตามที่เตรียมมา เขาก็เปิดโหมดจะร้องไห้ และไกลเกลี่ยให้เราลองคบกับเขาดู เขาพยายามบอกว่าตลอดเวลาว่าเขาได้เปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อเรามาโดยตลอด เขาอยากให้เราเห็นเขา ว่าเขาจะดูแลเราได้ บลาๆๆ คำพูดมากมายที่เขาบอกให้เรารู้สึกว่าเขามีค่ามากพอ ถ้าเราทิ้งเขาไปเราจะต้องเป็นฝ่ายเสียใจ คำพูดหลายๆคำก็ทำให้เราฉุดคิด และคิดมากขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้าย เขาจบด้วยประโยคที่บอกว่า ขอให้เรานึกถึงแต่ปัจจุบันว่าเรารู้สึกดีกับเขามั้ย ถ้ารู้สึกดีก็คบกับเขาได้มั้ย ไม่ต้องไปคิดถึงอนาคตว่าจะเป็นยังไง เพราะอนาคตเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ใช่! เขาพูดถูก เพราะว่าเรานึกถึงอนาคตว่าเรายังจะยังรักเขาอยู่ไหม เราจะรับเขาที่เป็นเขาเองได้หรือเปล่า และรักเราจะอยู่รอดไหม.... แต่พอคำพูดของเขาเลยทำให้เราใจอ่อน ยอมที่จะคบกับเขาอีกครั้ง โดยมีเงื่อนไขว่า ถ้าวันนึงเราเลิกกันจะกลับมาเป็นเพื่อนเหมือนเดิมได้ไหม เขาก็ตอบกลับมาว่า "ได้สิ" (คงไม่มีใครที่เขามั่นใจว่าจะรักกันจริง จะมาพูดประโยคนี้หรอก จริงมั้ย TT )
มีทั้งหมด 3 ตอนนะคะเพื่อนๆ [ตอน 2 และ 3 อยู่ในช่องความคิดเห็นน้าาา]